ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 156-1 ซ่งซีเยวี่ย
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 156-1 ซ่งซีเยวี่ย
แม้ว่าสำหรับคนบ้านเสิ่นแล้ว การเข้าวังมาร่วมงานฉลองจะนับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ แต่อย่างไรก็ไม่อาจเทียบได้กับงานมงคลในบ้านของญาติมิตรหรือสหาย หากไม่เอ่ยถึงเรื่องต่างๆ ที่ต้องระมัดระวังอย่างละเอียดยามพบปะกับบรรดาเชื้อพระวงศ์ในวัง ลำพังแค่ต้องสวมเสื้อผ้าหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ลำบากมากพอแล้ว ซึ่งสาเหตุนี้เองที่ฮูหยินซูต้องไปขอพระราชทานอนุญาตให้เว่ยฉางอิ๋งไม่ต้องเข้าวังไปถวายพระพร
เย็นวันนั้นพวกของฮูหยินซูกลับมาบ้าน แทบทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยหนักหนา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อกันอย่างง่ายๆ แล้ว พอหัวถึงหมอนก็ต่างพากันหลับกันหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงอดไปร่วมสนุกด้วย
วันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งให้คนประคองค่อยๆ เดินไปที่คารวะที่เรือนหลัก แม้ฮูหยินซูจะได้พักผ่อนมาหนึ่งคืนแล้วแต่สีหน้าก็ยังคงดูเหน็ดเหนื่อยอยู่ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมาก็ตำหนินางว่า “มิใช่บอกให้เจ้าคอยอยู่แต่ในเรือนให้ดีหรอกรึ? แล้วไยเจ้าจึงออกมาอีกแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าสะใภ้สามารถออกมาเดินสักหน่อยได้แล้วเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ไม่ได้มาคารวะท่านแม่ จึงคิดถึงอยู่ในใจเสมอเจ้าค่ะ”
“ข้าน่ะ สบายดียิ่ง!” ฮูหยินซูเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ต่อให้มีเรื่องใดให้ต้องดูแล ถ้าไม่นับพวกแม่นมเถา ก็มิใช่ว่ายังมีพวกพี่สะใภ้ของเจ้าอยู่? เจ้าก็เชื่อฟังสักหน่อย ต้องกลับไปดูแลครรภ์ที่เรือนจินถงให้ดีเป็นสำคัญ”
ก็มิน่าเล่า เหตุที่ฮูหยินซูให้ความสำคัญเพียงนี้ …ก็ด้วยสองวันก่อนนางอดทนต่อคำพูดกระแนะกระแหนของจี้ชวี่ปิ้ง และเชิญท่านหมอเทวดาอารมณ์ร้ายผู้นี้มาที่จวน ทั้งคอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวังทั้งชาดีอาหารดี นับว่าไม่เสียแรงเปล่า …และเลียบๆ เคียงๆ สอบถามมาได้ว่าครรภ์นี้ของ เว่ยฉางอิ๋งเป็นคุณชายน้อย นี่เป็นลูกชายคนโตของเสิ่นจั้งเฟิงเชียว! เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ไกลถึงชายแดน แล้วฮูหยินซูจะไม่ปรารถนาดีกับบุตรชายได้ที่ใด?
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสายของหมิงเพ่ยถัง เวลานี้ก็มีเสิ่นซูหมิงเป็นหลานชายเพียงคนเดียว ไม่ว่าบ้านใดกำลังจะมีหลานชายคนใหม่มาเพิ่ม พวกผู้ใหญ่ในบ้านล้วนอยากได้จนใจแทบขาด
ฉะนั้น เมื่อนางเห็นเว่ยฉางอิ๋งตื่นแต่เช้ามาคารวะตนในยามนี้ ฮูหยินซูจึงเป็นห่วงนางมาจากขั้วหัวใจ “ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าเจ้าสามารถเดินได้สักหน่อยแล้ว เจ้าก็เดินอยู่ในเรือนสักก้าวสองก้าว มิใช่ว่าได้แล้วรึ? เรือนจินถงอยู่ห่างจากเรือนหลักเพียงนี้ หากระหว่างทางเจ้าเหนื่อยขึ้นมากระหายน้ำขึ้นมา แล้วจะทำเช่นใดเล่า?”
แม่สามียังเป็นห่วงถึงเพียงนี้ คนเป็นสะใภ้ก็ไม่อาจไม่แสดงท่าทีใดบ้าง นางหลิวและนางตวนมู่ต่างพากันขอร้องให้เว่ยฉางอิ๋งกลับไปดูแลครรภ์ที่ในเรือนจินถงในทันใด และไม่ต้องกังวลเรื่องของฮูหยินซูทางนี้ หรือเรื่องงานในบ้านโดยเด็ดขาด เพราะทุกเรื่องล้วนมีพวกนางคอยดูแลให้
ทุกคนต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าหากวันหน้าเว่ยฉางอิ๋งไม่มีเรื่องใดก็อย่าออกมาจากเรือนอีก ถ้าขาดเหลือสิ่งใดก็ให้ส่งคนมาบอก ถ้าเป็นสิ่งที่คนในบ้านทำได้ก็จะทำตามประสงค์นางแน่นอน ทุกคนในบ้านล้วนพากันมีท่าทีประหนึ่งว่าเห็นนางเป็นมนุษย์แก้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่ต้องเอ่ยลาไปอย่างเก้อเขิน
เมื่อกลับมาถึงเรือนจินถงและเหลือเพียงบ่าวคนสนิทเช่นนางหวงอยู่ตรงหน้า จึงอดจะระบายความในใจสักหน่อยไม่ได้ว่า “ต้องอุดอู้อยู่แต่ในเรือนทั้งวันก็น่าเบื่อนัก”
“ฮูหยินน้อยอดทนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ดีชั่วก็เพียงแค่สิบเดือน” นางหวงและนางเฮ่อปลอบนาง “อยู่ดูแลครรภ์ในเรือนเราเองอย่างสบายใจไม่ดีหรือเจ้าคะ? หากท่านอยากออกไปข้างนอก ก็รอให้หลังจากคุณชายน้อยคลอดเสียก่อน แล้วท่านดูแลร่างกายให้ดี ไม่ว่าท่านอยากไปที่ใดก็ได้ทั้งนั้น”
นางหวงพูดต่อว่า “คราก่อน ตอนคุณหนูซ่งไปก็บอกแล้วว่า รอให้นางมีเวลาว่างก็จะต้องมาเยี่ยมท่านอีก”
“ยังมีคุณหนูซ่งสองท่าน บุตรีของนายหญิงใหญ่อีกนะเจ้าค่ะ” นางเฮ่อพูดบ้าง
เว่ยฉางอิ๋งเบ้ปากว่า “ยามนี้ใกล้สิ้นปีแล้ว พวกนางต่างก็มีเรื่องต้องยุ่งกันทั้งนั้น จะมีเวลาใดมาเยี่ยมข้าเล่า? ข้าเองก็ไม่ควรเห็นแก่ว่าตอนเองรู้สึกเบื่อ ไปขอให้พวกนางละวางธุระสำคัญแล้วมาช่วยข้าคลายเหงาโดยเฉพาะกระมัง?”
กำลังพูดอยู่ ไม่ทันคาดคิดมาก่อน หานเกอที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามารายงานว่า “นายหญิงใหญ่และคุณหนูผู้น้องทั้งสองมาเจ้าค่ะ”
“…” นายบ่าวทั้งสามคนในห้องต่างสบตากันหนหนึ่ง พลางมีท่าทีร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิง และต่างพูดว่า “นี่เรียกว่าพอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาโดยแท้”
หลังจากต้อนรับเว่ยเซิ่งเซียนสามแม่ลูกเข้ามานั่งในห้องแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ขอบคุณในความห่วงใยของท่านอาหญิงใหญ่ ทว่าดูไปแล้วเว่ยเซิ่งเซียนกลับคล้ายมีเรื่องในใจมากมาย ไม่เหมือนเพียงมาเยี่ยมเยือนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น นางฝืนทักทายสอบถามไปคราวหนึ่ง แล้วมองไปซ้ายขวาคล้ายมีเรื่องจะพูดแต่ยังเก็บเอาไว้
เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาอยู่ในใจว่าจะเป็นในตระกูลซ่งมาบีบบังคับนางที่เรือนอีกหรือไม่? จึงสั่งให้บ่าวออกไปจนหมด
ก่อนหน้านี้ นางล้วนคาดเดาเว่ยเซิ่งเซียนไม่ถูกมาหลายครั้งหลายครา หนนี้ก็ปรากฏว่าไม่ถูกอีกแล้ว รอจนทุกคนออกไปหมด เหลือกันอยู่เพียงสี่คน เว่ยเซิ่งเซียนจึงถอนหายใจหนหนึ่ง กล่าวว่า “ตามหลักแล้วเวลานี้ไม่ควรมารบกวนเจ้าเลยจริงๆ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของซีเยวี่ย ในเมืองหลวงนี้อาก็ไม่มีคนอื่นที่เชื่อถือได้ พอถามอาหญิงรองนางก็บอกว่าไม่รู้ชัด บอกแต่เพียงว่าเจ้าอาจจะรู้?”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ว่า “ท่านอาหญิงใหญ่โปรดบอกมาเถิด เกี่ยวกับน้องเยวี่ยหรือเจ้าคะ?”
แล้วหันไปมองทางซ่งซีเยวี่ย… ซ่งซีเยวี่ยหน้าแดง ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า เอ่ยเสียงเบาๆ ไปว่า “วานนี้เป็นงานวันอภิเษกขององค์รัชทายาท ท่านแม่พาพวกเราเข้าวังไปถวายพระพรด้วย ระหว่างนั้นสนมเอกเติ้งก็เรียกข้าเข้าไปพบและสังเกตดูข้าหนแล้วหนเล่า แล้ว…แล้วถามอายุข้า และยัง…ยังถามว่าได้หมั้นหมายแล้วหรือไม่ ข้ารู้สึกสงสัยอยู่ในใจ รอจนออกมาจากตรงหน้าพระสนมเอกแล้วจึงไปบอกกับท่านแม่ ท่านแม่ไปสอบถามกับท่านน้ารอง ท่านน้ารองก็เดาว่าอาจเป็นเพราะ…พระสนมเอก…”
เพราะนางเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อายเสียจนพูดต่อไปไม่ได้
เว่ยเซิ่งเซียนจึงพูดแทนนางว่า “เจิ้งอินเดาว่าพระสนมเอกอาจจะสอบถามให้เติ้งจงฉีหลานชายของนาง แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมาหมายตาซีเยวี่ยได้?”
“คุณชายตระกูลเติ้ง!” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดอยู่เป็นนาน พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วถามซ่งซีเยวี่ยว่า “น้องเยวี่ย ในงานวันพระธิดาเฉิงเสียนออกเรือนเมื่อคราก่อน ตอนที่พวกเจ้าอยู่ในจวนรุ่นอ๋องได้พบกับคนที่เกี่ยวข้องกับพระสนมเอกบ้างหรือไม่?”
ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียนเอ่ยถามอย่างสงสัยพร้อมกันว่า “ก่อนลูกผู้พี่ท่านจะมาไป เติ้งวานวาน หลานสาวของพระสนมเอกก็สนทนาอยู่กับพวกเราอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
“แล้วในภายหลัง ตอนลูกผู้พี่หญิงรองบ้านซูออกเรือนเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งถามอีก
คราวนี้สองพี่น้องคิดสักพักจึงบอกว่า “วันนั้นก็ได้พบกับเติ้งวานวานอีก แต่นางมากับท่านป้าใหญ่ของนาง ไม่ได้สนทนากันเท่าใดก็แยกกันไปแล้วเจ้าค่ะ โอ๊ะ ตอนเข้าไปนั่งที่โต๊ะยังได้พบกับแม่นมเหยา ซึ่งก็คือแม่นมที่คอยดูแลอยู่ใกล้ชิดพระสนมเอกผู้นั้นเจ้าค่ะ แม่นนเหยา…ชมเชยพวกเราสองสามคำ แต่นั่นก็น่าจะเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทกระมังเจ้าคะ? เพราะอย่างไรคุณหนูมีตระกูลที่งดงามในโต๊ะก็มีอยู่มากมาย เมื่อพวกเราอยู่ในนั้นก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “น้องหญิงทั้งสองถ่อมตัวแล้ว!” แล้วหันไปพูดกับเว่ยเซิ่งเซียนว่า “ข้าพอจะรู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรแล้ว อาจเป็นเพราะคุณหนูตระกูลเติ้ง เติ้งวานวานได้พบกับน้องหญิงทั้งสองที่จวนรุ่นอ๋อง ระหว่างที่กำลังสนทนากันจึงไปหมายตาน้องเยวี่ยให้พี่ชายของนาง เวลานี้คุณชายเติ้ง เติ้งจงฉี พี่ชายของนางมิใช่ว่าไปซีเหลียงแล้วหรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นบิดามารดาของพวกเขาก็เสียไปแล้ว ทั้งยังเข้ากับญาติๆ ในตระกูลเติ้งไม่ใคร่ได้ จะใกล้ชิดก็แต่เพียงพระสนมเอกเท่านั้น นี่คงไม่ใช่ว่านางไปเอ่ยกับพระสนมเอกแล้ว?”
————————————