ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 157-1 เผยความในใจ
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 157-1 เผยความในใจ
หลังจากทานอาหารเที่ยงในเรือนจินถงแล้ว หลังเที่ยงเว่ยเซิ่งเซียนกลับมาที่บ้านตนด้วยจิตใจสับสน นางสั่งให้ทุกคนออกไปและสั่งความกับบุตรสาวทั้งสองคนเป็นการส่วนตัวว่า “ลูกผู้พี่ของพวกเจ้าแนะนำว่าการแต่งงานครานี้ ไม่แต่งจะดีกว่า หลังจากแม่ฟังเหตุผลของนางแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล”
ซ่งซีเยวี่ยเอ่ยพลางหน้าแดงหูแดงว่า “ลูกล้วนว่าตามที่ท่านแม่ตัดสินใจเจ้าค่ะ” และไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็นเหตุผลใด
เว่ยเซิ่งเซียนรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งที่บุตรสาวรู้จักมารยาทและรู้ความ จึงอดจะอธิบายกับพวกนางทั้งสองคนไม่ได้ว่า “ลูกผู้พี่ของพวกเจ้าบอกว่าเติ้งจงฉีผู้นี้เป็นคนดีนัก แต่เพราะบิดามารดาของเขาล้วนเสียไปแล้ว จึงได้รับการดูแลจากพระสนมเอกเป็นอย่างมาก วันหน้าจึงต้องได้รับผลกระทบจากสนมเอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” แล้วเล่าเรื่องความแค้นและสภาพการณ์ในปัจจุบันระหว่างฮองเฮาและสนมเอกในวังหลวงให้ฟังโดยคร่าวๆ แล้วถอนใจว่า “ความจริงแล้ว ลูกผู้พี่ของพวกเจ้าเพิ่งจะเริ่มพูด ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องแต่งงานครานี้อย่าแต่งเสียดีกว่า นับแต่โบราณจนบัดนี้ เรื่องที่เกี่ยวพันกับราชสำนักไม่มีเรื่องใดที่ไม่ซับซ้อน เรื่องในบ้านเราเองก็ยังวุ่นวายเพียงนี้แล้ว แม่จะไปหาบ้านสามีที่บ้านเขาเองก็มีเรื่องวุ่นวายเช่นกันให้พวกเจ้าได้อย่างไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงในวังหรอก วานนี้ท่านน้ารองของพวกเจ้าก็แอบบอกแล้วว่าครั้งบิดาของเติ้งจงฉียังมีชีวิตอยู่ก็เคยก่อความแค้นกับคนในตระกูลเอาไว้ พลอยทำให้พวกเขาพี่น้องต้องรับเคราะห์ไปด้วยและได้รับความลำบากอย่างมาก…”
ซ่งหรูเซวียนได้ฟัง อดเอ่ยเตือนไม่ได้ว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ในเมื่อพวกเราไม่คิดจะให้พี่หญิงแต่งงานกับคุณชายตระกูลเติ้ง เช่นนั้นหากพระสนมเอกหมายตาพี่หญิงแล้วจริงๆ จะทำเช่นใดเจ้าคะ?”
เว่ยเซิ่งเซียนเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “เวลานี้ลูกผู้พี่ของพวกเจ้าก็ดันมาตั้งท้องไปไหนมาไหนไม่สะดวกเสียด้วย! ท่านน้ารองของพวกเจ้าก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ …ดีที่เวลานี้เติ้งจงฉีอยู่ที่ซีเหลียง คิดว่าเขาเป็นเพียงหลานชายของสนมเอก หาใช่องค์ชาย เหนือพระสนมเอกขึ้นไปก็ยังมีฮองเฮาคอยข่มอยู่ แม้นางมีความต้องการดังนี้ ก็คงขอพระราชโอการสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ไม่ได้ง่ายๆ กระมัง? อาศัยช่วงเวลานี้เลือกหาสักหน่อย หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะพาพวกเจ้ากลับไปเยี่ยมญาติที่เฟิ่งโจว! ถึงยามนั้น ทุกเรื่องก็ให้ท่านยายของพวกเจ้าเป็นคนตัดสินใจ!”
พูดนั้นพูดได้ เว่ยเซิ่งเซียนกลัวว่าจะเพิ่มความกดดันให้แก่บุตรสาวของตน จึงได้เอาคำพูดที่เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยในตอนสุดท้ายมาเตือนสติและกลบเกลื่อนเรื่องในครานี้ไป …เว่ยฉางอิ๋งพูดว่า “เวลานี้คุณชายเติ้งอยู่ไกลถึงซีเหลียง ตามหลักแล้วหากจะแต่งงานก็ต้องรอหลังสามปี ให้เขากลับมาเสียก่อนจึงค่อยแต่ง ทว่าพระสนมเอกก็เริ่มมองหาคู่ครองให้เขาแล้ว ดูไปแล้ว หากมิใช่ว่าก่อนคุณชายเติ้งไปก็ได้มอบอำนาจทั้งหมดในเรื่องนี้ให้แก่สนมเอก ก็เป็นพระสนมเอกเองที่ตัดสินใจจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้ให้แก่คุณชายเติ้ง! ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ก็ต้องป้องกันไม่ให้พระสนมเอกหมั้นหมายน้องเยวี่ยให้ได้!”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ เว่ยเซิ่งเซียนเป็นกังวลมากขึ้น แม้เติ้งจงฉีจะไปสร้างความชอบที่ซีเหลียง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถคว้าโอกาสแสนงามนี้เอาไว้ได้ด้วย แต่อย่างไรก็ต้องเข้าสนามรบ …ดาบทวนไร้ดวงตา หลิวจี้เจ้าบุตรชายบ้านใหญ่ของ ตระกูลหลิวแห่งตงหูก็ยังต้องมาตายอยู่กลางสนามรบในถิ่นฐานเดิมของตระกูลตน แล้วถือดีอันใดที่เติ้งจงฉีบุตรชายตระกูลใหญ่ ซึ่งไม่มีพื้นเพใดๆ ในซีเหลียงเลย จะไม่มีโอกาสเป็นเช่นเขา?
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงวาหากให้บุตรสาวแต่งกับเติ้งจงฉีแล้ว ภายหลังจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ภายในวัง หรือถูกคนในตระกูลเติ้งข่มเหงเอาหรือไม่ หากวันใดเติ้งจงฉีเกิดเรื่องในซีเหลียง บุตรสาวของตนยังไม่เคยแม้จะได้เห็นคู่หมั้นสักหน ก็ต้องมาเป็นม่ายเพราะเขาเสียแล้ว …เว่ยเซิ่งเซียนมีเพียงบุตรสาวสองคนนี้แล้ว ตลอดสิบกว่าปีมานี้ล้วนอบรมเลี้ยงดูพวกนางจนงดงามดังดอกไม้สูงค่าดังหยกและเพียบพร้อมตามแบบฉบับกุลสตรี แล้วจะต้องแลกมากับซุ้มประตูประกาศความดีของหญิงม่ายเช่นนั้นหรือ?!
นางพยายามตั้งสติเพื่อปลอบโยนบุตรสาวทั้งสอง เว่ยเซิ่งเซียนยังคงรู้สึกว่าใจเต้นแรงไม่อาจสงบลงได้ คล้ายรู้สึกเป็นลางไม่ดี ทว่าหากคิดปฏิเสธเรื่องที่พระสนมเอกจะหมั้นหมายให้หลานชาย ก็นอกเสียจากว่าต้องจัดการเรื่องแต่งงานของซ่งซีเยวี่ยให้เรียบร้อยก่อนที่พระสนมเอกจะเอ่ยปาก หาไม่แล้ว ทั้งด้วยตัวของเติ้งจงฉีเอง และหน้าตาของพระสนมเอก เว่ยเซิ่งเซียนก็คิดไม่ออกว่าจะมีเหตุผลที่ฟังขึ้นอันใดไปปฏิเสธได้
‘อย่างไรก็ต้องรีบส่งคนไปหาท่านพี่ บอกกับท่านพี่สักคำ…’ เว่ยเซิ่งเซียนใคร่ครวญและแอบคิดในใจ ‘หากมีสิ่งใดไม่เข้าที ข้าก็จะอ้างว่าพาพวกนางกลับไปเยี่ยมญาติที่เฟิ่งโจวเสียเลย ไปขอให้ท่านแม่วางแผนให้ ท่านแม่มีกลวิธีมากมายมาแต่ไร จะต้องมีวิธีเป็นแน่!’
เมื่อคิดถึงแม่ใหญ่ซึ่งเป็นความสมบูรณ์แบบในดวงใจของตน เว่ยเซิ่งเซียนจึงค่อยๆ โล่งใจขึ้นมา แล้วสั่งให้คนไปเรียกบ่าวมา ทางหนึ่งส่งจดหมายไปหาสามี อีกทางหนึ่งก็ให้พวกเขาไปจัดเตรียมสัมภาระเดินทาง เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
ทางนี้นางวางแผนการรับมืออย่างคร่าวๆ แต่กลับไม่รู้ว่าในวังก็มีคนสังเกตเห็นเรื่องนี้แล้ว…
ฮองเฮากู้รับโจ๊กข้าวเหนียวใส่ดอกฮวายฮวาที่นางกำนัลตัวน้อยยกมาให้ ทานไปเรื่อยเปื่อยสองสามคำ แล้วยัดกลับไปในมือของนางกำนัลน้อยผู้นั้น “ยกให้เจ้า”
นางกำนัลตัวน้อยรีบขอบพระทัยอย่างเปรมปรีดิ์ นางรับโจ๊กมาแล้วก็ถอยไปข้างๆ นางอวิ๋นจึงเอ่ยเตือนว่า “สองสามวันมานี้ องค์ฮองเฮาต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่องานอภิเษกขององค์รัชทายาททั้งวันทั้งคืน วันนี้ก็ยังทรงตื่นบรรทมแต่เช้ามารับพิธีคารวะจากองค์รัชทายาทและพระชายาองค์รัชทายาทอีก พระพลานามัยถดถอยลงไปไม่น้อย ควรต้องบำรุงให้ดีนะเพคะ วันนี้ก็ยังเสวยน้อยเพียงนี้ จะได้อย่างไรเพคะ?”
“คงเพราะเหนื่อยเกินไป” ฮองเฮากู้ถอนหายใจหนหนึ่งแล้วว่า “ก่อนนี้ล้วนเฝ้าคอยแต่ให้ถึงงานอภิเษกของสวินเอ๋อร์ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็จะได้พักผ่อนให้ดีๆ ไม่คิดว่าเวลานี้ว่างลงแล้วก็กลับไม่อยากอาหารเลย”
“ห้องครัวเล็กตุ๋นน้ำแกงไก่มาแต่คืนวาน และตุ๋นกับโสมด้วย ไม่มีกลิ่นยามากนัก หากองค์ฮองเฮาไม่อยากเสวยโจ๊ก หรือจะเสวยน้ำแกงสักหน่อยเพคะ?” นางอวิ๋นพูดไปพลาง ก็มีนางกำนัลที่คล่องแคล่วนางหนึ่งวิ่งลับมุมกำแพงไปยกมาให้จากในครัว
ฮองเฮากู้ก็ไม่อยากดื่มน้ำแกงไก่เช่นกัน ทว่าทัดทานการรบเร้าของนางอวิ๋นไม่ได้ เมื่อนางกำนัลยกมาแล้วนางก็ยังดื่มไปกว่าครึ่งถ้วย ที่เหลืออีกเกือบครึ่งก็มอบให้นางกำนัลที่ไปยกน้ำแกงมาให้
น้ำแกงไก่บำรุงร่างกายได้ดีจริงแท้ หลังจากฮองเฮาดื่มไปแล้วสีหน้าก็ดีขึ้นอย่างมาก และอยากจะพูดธุระสำคัญขึ้นมาสักหน่อย จึงสั่งให้นางกำนัลที่นอกเหนือจากนางอวิ๋นออกไปเสีย
“วานนี้มีเรื่องมากมายในงานเลี้ยง ข้าไม่ว่างจะมาถามรายละเอียด ได้ยินว่านางเติ้งเรียกคุณหนูซ่งผู้หนึ่งมาไถ่ถามข้างกายนาง?” ฮองเฮากู้เอ่ยถาม “เป็นคุณหนูคนใดของตระกูลซ่ง? อย่าได้เป็นผู้นั้นเล่า!”
นางอวิ๋นบอกว่า “นับแต่คุณหนูใหญ่แห่งบ้านใหญ่ของเจียงหนานถังผู้นั้นเกิดเรื่อง นางก็อยู่แต่ภายในจวนไม่ออกไปข้างนอกตลอดมา ก่อนหน้านี้ฮูหยินเว่ยแห่งตระกูลเสิ่นตั้งครรภ์ เพราะฮูหยินเว่ยเป็นลูกผู้น้องของนาง นานทีปีหนนางจึงออกมาหนหนึ่งเพคะ ทว่าก็สวมหมวกคลุมหน้าเอาไว้ ปิดหน้าปิดหลังไม่ให้คนเห็นใบหน้าของนางเพคะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหากนางไม่เกิดเรื่องใด คนที่จะได้มารับคำอวยพรและเป็นคนที่น่าอิจฉาก็ควรเป็นนางแล้ว ฉะนั้น นางจะเข้าวังมาแสดงความยินดีได้อย่างไรเพคะ? จึงได้แต่ขอลาป่วยดังเช่นปกติเพคะ”
“เช่นนั้นแล้วเป็นผู้ใดเล่า?” เมื่อเอ่ยถึงซ่งไจ้สุ่ยขึ้นมาในเวลานี้ ดวงตาของ ฮองเฮากู้ก็ยังคงอดจะมีแววเสียดายออกมาไม่ได้ นี่ไม่ใช่หนแรกที่ฮองเฮากู้แสดงความพึงพอใจที่มีต่อซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเดิมทีเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทผู้นี้ เพียงแต่เมื่อเปลี่ยนไปเลือกหลิวรั่วอวี้จากตระกูลหลิวมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว …ในสายตาคนนอกอาจคิดว่าสนมเอกเติ้งเป็นคนจัดการเรื่องนี้ และไม่แน่ว่าตระกูลซ่ง ตระกูลเว่ยก็จะนึกว่าพวกเขาเป็นคนเลือกด้วย แต่นางอวิ๋นรู้ว่าเบื้องลึกของเรื่องนี้เป็นความต้องการของฮองเฮากู้เอง
——————————