ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 159-1 เพิ่มคน
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 159-1 เพิ่มคน
ขณะที่ในวังหลวงกำลังสับสนวุ่นวายกันอยู่นั้น จวนราชครูกลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี …หลังจากสะใภ้สามเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งแต่งเข้ามาปีนี้มีข่าวว่าต้องครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากได้รับคำยืนยันจากจี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลว่าเป็นคุณชายน้อยคนหนึ่ง วันนี้ก็ยังมีข่าวดีหนึ่งมาถึงจวนด้วยว่า ในบรรดาพระราชโอรสที่ ฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการสั่งให้กลับมาร่วมงานเทศกาลที่เมืองหลวงนั้นมีรายนามของจี้อ๋องด้วย
บุตรธิดาของเสิ่นเสวียนและฮูหยินซู รวมทั้งของอนุด้วยมีทั้งหมดแปดคน ทว่ามีบุตรสาวเพียงสองคน และบุตรสาวทั้งสองก็ล้วนเป็นบุตรจากภรรยาเอก มีบุตรสาวน้อยเกินไป แต่กลับไม่ขาดเหลือบุตรชาย ย่อมต้องรักทะนุถนอมบุตรสาวมากเป็นพิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเสิ่นจั้งซิ่วบุตรสาวบ้านใหญ่คนโตแต่งงานกับเซินเจีย พระราชโอรสองค์ที่สามของฮ่องเต้ และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจี้อ๋อง หลังแต่งงานได้เพิ่งจะครบเดือนก็ต้องติดตามจี้อ๋องไปที่แคว้นศักดินา จี้อ๋องเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ในระดับกลางๆ คล้ายว่าเว้นระยะสักปีสองปีฮ่องเต้จึงจะคิดถึงขึ้นมาได้ และเรียกตัวเขากลับมาที่เมืองหลวงสักครั้ง เสิ่นจั้งซิ่วเองก็ต้องรอให้สามีได้กลับมาที่เมืองหลวงและพาตนมาด้วยจึงจะมีโอกาสได้พบกับบ้านฝั่งแม่สักหน
ทุกๆ ปี ฮูหยินซูล้วนเฝ้าแต่หวังว่าในรายชื่อที่ฮ่องเต้จะเรียกตัวกลับมาร่วมงานเทศกาลจะมีจี้อ๋องด้วย แต่สามปีห้าปีจึงจะกลับมาสักหน คราก่อนที่จี้อ๋องถูกเรียกตัวกลับบ้านคือปีที่แล้ว ตามหลักแล้วโอกาสที่จะได้พบเสิ่นจั้งซิ่วในปีนี้จึงมีไม่มาก …ฉะนั้นสำหรับบ้านเสิ่นทั้งบ้านแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่มาอย่างเกิดคาด
ในขณะที่ฮูหยินซูยินดีออกหน้าออกตากว่าทุกคน ทางหนึ่งก็สั่งการด้วยตนเอง ให้บ่าวนำสิ่งของที่เสิ่นจั้งซิ่วและจี้อ๋องโปรดปรานจำนวนมากออกมาจัดวาง เพื่อเตรียมไว้ว่าเมื่อถึงเวลาจะได้ต้อนรับบุตรสาวและบุตรเขยให้ดีๆ อีกทางหนึ่งกลับเข้าไปในห้องหนังสือของเสิ่นเซวียนเพียงลำพังเพื่อหารือกับสามีว่า “ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานท่านจี้อ๋องเพียงพื้นๆ เท่านั้น นับตั้งแต่ไปอยู่ที่แคว้นศักดินา รวมครั้งนี้แล้วก็เพิ่งถูกเรียกตัวกลับมาสี่ครั้ง ปีก่อนเพิ่งกลับมา แล้วปีนี้ก็ยังเรียกเขากลับมาอีก เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะมีเหตุผลใดหรือไม่?”
บุตรสาวคนโตสามารถกลับมาเยี่ยมบ้านได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน หากภายในเรื่องนี้มีแผนการใด ฮูหยินซูกลับยอมรอให้ผ่านไปสองปีค่อยพบกันเสียดีกว่า
เสิ่นเซวียนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าลืมแล้วหรือว่าแคว้นศักดินาของอีอ๋องก็อยู่ติดกับแคว้นศักดินาของจี้อ๋อง?”
“ที่แท้เป็นฮองเฮากู้เสนอความคิดนี้หรอกหรือ?” เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “ก็มิใช่เพราะฮองเฮาคิดว่าพอถึงยามก็จักอาศัยจี้อ๋องมาย้ำเตือนฮ่องเต้ว่า หลังจากปีใหม่ก็ต้องเร่งจัดการเรื่องอภิเษกของอีอ๋องให้เรียบร้อย และส่งเขาและจี้อ๋องไปที่แคว้นศักดินาพร้อมกันเสียเลยหรอกหรือ?”
“และเป็นการทำดีกับบ้านเราไปพร้อมกันด้วย” เสิ่นเซวียนเอ่ยเรียบๆ “ถึงยามนั้นเจ้าก็บอกกล่าวกับซิ่วเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวสักคำ ให้นางเตือนจี้อ๋องสักหน่อยว่าให้คอยระวังตัวไว้ อย่าให้ฮองเฮาหรือสนมเอกลากเขาลงน้ำไปด้วย”
ฮูหยินซูได้ยินคำเรียกขานว่า ‘ซิ่วเอ๋อร์’ คำนี้ ในใจพลันสะท้านอยู่น้อยๆ เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งตนเองเพิ่งแต่งงานนั้นรักใคร่หวานชื่นกับสามียิ่งนัก กระทั่งบุตรสาวคนโตเกิด เมื่อเสิ่นเซวียตั้งชื่อจึงตั้งใจเลือกอักษรหนึ่งตัวในชื่อ ‘ซิ่วม่าน’ ของนางมาเป็นพิเศษ เพื่อเป็นการแสดงถึงความรัก …เวลานี้เพียงเวลาชั่วพริบตาทั้งสองคนก็ต่างเป็นปู่เป็นย่าแล้ว นางใจลอยไปพักใหญ่จึงบอกว่า “บารมีของอีอ๋องไม่ได้มีมากมายมาแต่ไร แล้วจะคิดแค้นจี้อ๋องและซิ่วเอ๋อร์ด้วยเหตุนี้หรือไม่?”
เสิ่นเซวียนเอ่ยเสียงหนักว่า “พระราชโองการออกมาแล้ว หรือพวกเรายังจะไม่ให้พวกเข้ามาได้? ถึงยามนั้นค่อยว่ากันเถิด”
เมื่อหารือเรื่องนี้ถึงตรงนี้ก็ไม่มีเรื่องใดจะพูดอีก ฮูหยินซูจึงเปลี่ยนมาสนทนากับสามีเรื่องบุตรสาวอีกคนหนึ่ง “พอปีใหม่จั้งหนิงก็จะปักปิ่นแล้ว เรื่องแต่งงานของนาง…?”
ด้วยเหตุที่เสิ่นเซวียนมีบุตรชายมากกว่าบุตรสาว แต่ไรมาเขาจึงค่อนข้างตามใจบุตรสาว และเพราะว่าบุตรสาวคนโตแต่งออกไปอยู่ไกลมีโอกาสได้พบหน้าน้อยครั้ง ตอนนี้จึงมีเพียงเสิ่นจั้งหนิงคนเดียวที่อยู่ด้วย นางจึงยิ่งถูกเขาเอาใจประหนึ่งมุกในฝ่ามือ แม้แต่เรื่องที่เสิ่นจั้งหนิงช่วยเสิ่นจั้งเฟิงขโมยกระบี่ ‘ลู่หู’ เมื่อปีก่อน จนทำให้เขาต้องกลับมาจัดการเรื่องแต่งงานให้เรียบร้อย ทั้งที่เดิมทีตัดสินใจแล้วว่าจะถอนหมั้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้น เสิ่นเซวียนกลับเพียงตำหนินางไปเล็กน้อยสองสามคำ กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีกที่ต้องกุมหัวปิดหน้าระหว่างถูกเสิ่นเซวียนตีไปยกหนึ่ง หากมิใช่ว่าเขาต้องเข้าถวายงานหน้าพระพักตร์ เสิ่นเซวียนก็ยังคิดจะตีเขาให้ลุกจากตั่งไม่ได้สักครึ่งปีเลย…
เมื่อเป็นเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของบุตรสาวที่เขารักหลงเพียงนี้ เสิ่นเซวียนย่อมต้องเป็นห่วงอย่างมาก และหารือกับฮูหยินซูเรื่องคุณชายจากสองสามตระกูล เมื่อคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่างานราชการของตนก็ยุ่งวุ่นวายนัก อย่างไรเสียบุตรสาวก็อยู่กับมารดามากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเสิ่นจั้งหนิงเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของ ฮูหยินซู ฮูหยินซูย่อมไม่มีทางทำร้ายบุตรสาว เขาจึงบอกว่า “สองสามคนนี้ล้วนใช้ได้ เจ้าลองดูว่าผู้ใดที่เหมาะสมกับจั้งหนิงมากกว่าสักหน่อย?”
ทว่า ฮูหยินซูกลับยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “วันหน้า เรื่องแต่งงานของลูกๆ นอกจาก อวี๋อินที่ข้าเห็นนางเติบโตมา หากไม่แล้ว อย่างไรก็ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจเถิด!”
เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เพราะเหตุใด?”
“เจ้าดูจั้งจูกับจั้งฮุยสิ” ฮูหยินซูเอ่ยอย่างขมขื่นใจ “เรื่องนี้ก็เคราะห์ดีที่น้องรองใจกว้างไม่ถือสาหาความข้า เรื่องแต่งงานของบุตรสาวและบุตรชายคนโตบ้านใหญ่ของเขาล้วนมาไหว้วานข้า ปรากฏว่าชีวิตแต่งงานของเด็กทั้งสองคนไม่มีแม้สักคนที่จะราบรื่นสมบูรณ์! สวรรค์เป็นพยานได้ว่าข้าดูแลพวกเขาดังเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ แต่จนใจเหลือที่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์กลับไม่เหมือนดังใจคิดทุกคราไป…ข้าคิดว่าคงเพราะข้าวาสนาไม่พอ? ฉะนั้นอย่างไรก็ให้ท่านจัดการเถิด”
เสิ่นเซวียนได้ยินคำพลันตกตะลึง นึกถึงว่าก่อนหน้านี้ ครั้งตนรู้เรื่องหลานสะใภ้ไม่เป็นคนดีงามก็เคยบัดดาลโทสะใส่ฮูหยินซูมาก่อน เมื่อใจเย็นลงและมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าภรรยาจะต้องรู้ผิดเช่นกัน จึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนไปว่า “ก็ไม่อาจโทษเจ้าได้ทั้งหมด ก่อนนี้ข้าใจร้อนเกินไปหน่อย คาดว่าคงเป็นชะตาที่ลิขิตเอาไว้แล้วกระมัง?”
แม้เสิ่นเซวียนจะปลอบโยนภรรยา ทว่าเรื่องเช่นนี้ ยอมเชื่อว่ามีดีกว่าเชื่อว่าไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงชั่วชีวิตของบุตรสาวคนเล็กที่ตนรักที่สุด ฉะนั้นหลังจากเสิ่นเซวียนปลอบโยน ฮูหยินซูไปสองสามประโยคแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าตนเองควรเป็นคนตัดสินใจเรื่องแต่งงานของเสิ่นจั้งหนิงดีกว่า สองสามีภรรยาสนทนากันถึงเรื่องลูกๆ ของพวกเขาอีกสองสามคำ เสิ่นเซวียนจึงว่า “เวลานี้เฟิงเอ๋อร์อยู่ไกลถึงซีเหลียง ในบ้านสามไม่มีคนดูแล นางเว่ยก็มาตั้งท้อง เจ้าช่วยเฟิงเอ๋อร์ดูแลสักหน่อย”
ฮูหยินซูบอกว่า “เรื่องนี้ยังต้องให้ท่านบอกรึ? เวลานี้ ข้าล้วนส่งหม่านโหลวไปดูที่เรือนจินถงแทบจะวันเว้นวัน” แล้วว่า “เคราะห์ดีที่ตระกูลเว่ยเชิญจี้ชวี่ปิ้ง มาดูแลครรภ์ให้นาง นางหวงบ่าวติดตามข้างกายของนางเว่ยก็เคยได้รับการสั่งสอนมาจาก จี้ชวี่ปิ้งด้วย”
เสิ่นเซวียนบอกว่า “คราก่อนเจ้าว่าท้องนี้ของนางเว่ยเป็นหลานชายรึ?”
“ก็มิใช่รึ?” ฮูหยินซูเอ่ยพลางยิ้มจางๆ “บุตรสาวตระกูลเว่ยผู้นี้ นับว่ามีวาสนาดีจริงๆ”
เวลานี้พวกเรามีซูจิ่งเป็นหลานชายเพียงคนเดียว” เสิ่นเซวียนลูบเครา อารมณ์ดีไม่เบา พลางเอ่ยอย่างเปรมปรีดิ์ “นี่นับเป็นหลานชายคนที่สองของพวกเรา ทั้งยังเป็นหลานชายบ้านใหญ่ ภรรยาและอนุของสือเอ๋อร์ก็เพียงให้หลานสาวพวกเรามาสามคน แต่ก็มิใช่ว่าหลานสาวไม่ดี เพียงแต่จนบัดนี้บ้านสองยังคงไม่มีหลานชาย ก็ทำให้ไม่อาจวางใจได้จริงๆ! ก่อนนี้ข้ากลัวเป็นที่สุดว่าเฟิงเอ๋อร์จะมีอุปสรรคเรื่องผู้สืบสกุลเช่นเดียวกับสือเอ๋อร์ เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็ยากจะไม่ถูกคนพวกนั้นใช้เรื่องนี้มาโจมตี แต่เวลานี้ก็กลับวางใจได้แล้ว!”
———————————