ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 160-1 หลิวซือฮวาย
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 160-1 หลิวซือฮวาย
“ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกที่เกิดจากอนุหรือจากตนเอง ก็มิใช่ว่าต้องเรียก น้องสะใภ้รองว่า ‘ท่านแม่’ ? เวลานี้น้องสะใภ้รองไม่มีบุตรชาย หากอนุทั้งสี่คนนี้มีบุตรชายให้ได้จริงๆ ก็มิใช่ว่านางต้องเป็นคนเลี้ยงดู? ว่ากันว่า บุญคุณที่ให้กำเนิดไม่ ‘ยิ่งใหญ่’ เท่าบุญคุณที่เลี้ยงดู เมื่อเลี้ยงดูนานวันเข้าก็ไม่ผิดจากลูกของตนจริงๆ แล้ว” หลังเที่ยง แสงแดดอุ่นสบายในวันฤดูหนาวสาดส่องผ่านหน้าตาเข้ามาถึงบนตั่งนั่ง เว่ยฉางอิ๋งและนางหลิวนั่งอยู่โดยมีโต๊ะเล็กขั้นกลาง บนโต๊ะมีกระดานหมากรุก สองคนถือหมากกันคนละฝ่าย ค่อยๆ วางหมากอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
นางหลิวถือหมากขาว ทางหนึ่งวางหมาก อีกทางหนึ่งก็สนทนาเรื่องงานในเรือนกับเว่ยฉางอิ๋ง ที่เวลานี้ถูกขอร้องให้ไม่ออกไปจากเรือน “วันนั้นเมื่อน้องสะใภ้รองกลับไปถึงเรือน ก็ปิดประตูร้องไห้ยกใหญ่ ผ่านไปสองวันท่านแม่บังเอิญได้ยินเข้า ก็ไม่พอใจเป็นอันมาก …ความจริงแล้ว คนก็รับกลับมาแล้ว ต่อให้ร้องห่มร้องไห้หรืออาละวาดอีกปานใด แล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า? กลับกันยิ่งทำให้ผู้ใหญ่ไม่พอใจ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะต้องบอกว่าบุตรีตระกูลตวนมู่ ที่แท้ก็….จุ๊ๆ!”
เว่ยฉางอิ๋งถือหมากสีดำ ก้มหัวลงใคร่ครวญยุทธวิธีบนกระดานหมากอย่างถี่ถ้วน ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” ความจริงแล้วในใจนางรู้สึกไม่ใคร่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ของนางหลิวนัก เป็นเพราะนางหลิวไม่มีบุตรของอนุ จึงพูดได้อย่างง่ายดาย หากยามนี้คนที่ถูกขอให้รับอนุสี่คนให้สามีคือนางหลิว นางก็คงไม่อาจพูดออกมาได้ตรงไปตรงมาเช่นนี้… ครั้งหลิวรั่วเหยียมาที่จวน ก็มิใช่ว่าเพราะนางพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้สีหน้าของนางหลิวเปลี่ยนไปทันตาหรอกหรือ? เห็นได้ว่าในเรือนหลังของเสิ่นจั้งลี่ก็เคยเกิดเรื่องใดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นนางหลิวยังคิดว่าเป็นเรื่องต้องห้ามโดดเด็ดขาดอีกด้วย
ทว่าเวลานี้ เมื่อนางหลิวมีเวลาว่างก็มาเยี่ยมและมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ความปรารถนาดีนี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ฉะนั้นไม่ว่าในใจจะรู้สึกทนไม่ไหวเพียงใด แต่ปากกลับยังต้องว่าตามนางไปทุกเรื่อง
นางใคร่ครวญอยู่เป็นนานจึงวางหมากลง ถึงคราวนางหลิวคิดบ้าง อย่างไรเสียฝีมือการวางหมากของคู่สะใภ้ทั้งสองก็ไม่ได้เก่งกาจอันใดนัก ที่เวลานี้มาเล่นหมากรุกกันก็เพราะว่าว่างไม่อะไรใดทำจึงหาเรื่องทำสักหน่อย ฉะนั้นจึงไม่ได้เร่งร้อนอันใด ทางหนึ่งนางหลิวก็คิดว่าต่อไปควรจะวางหมากอย่างไร ทางหนึ่งก็เอ่ยพลางหัวเราะว่า “เจ้าก็น่าจะรู้ หลังจากน้องสะใภ้รองร้องไห้แล้ว สองสามวันมานี้ล้วนแอบด่าเจ้าทางนี้อยู่นะ!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เรื่องนี้เกี่ยวกับข้าที่ใด?” ยังไม่ทันสิ้นเสียงนางก็พลันตระหนักขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิงว่า “เพราะท่านแม่เอาเรื่องที่ข้าตั้งท้องมาเปิดประเด็นหรือ?”
“และยิ่งเพราะว่าเจ้าท้องหลานชายตัวน้อยน่ะสิ” นางหลิวเอ่ยยิ้มๆ “ครานี้ท่านแม่เดินให้นางหาคนมาเพิ่มให้น้องชายรอง ก็มิใช่เพราะจนถึงบัดนี้น้องชายรองยังไม่มีบุตรชาย?”
เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะเสียงหลง กล่าวว่า “หรือที่บ้านสองไร้บุตรชาย ก็จะไม่ยอมให้พวกเราบ้านสามมีด้วย? พี่สะใภ้รองก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
น้องสะใภ้ว่า “ก็มิใช่รึ? ดังนั้นตอนไปคารวะท่านแม่วานนี้ ท่านแม่ยังเอ่ยถึงเรื่องครั้งเข้าวังในวันอภิเษกขององค์รัชทายาทคราก่อน ได้ยินว่ามีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าบุตรสาวตระกูลตวนมู่ไม่ดีงาม ท่านแม่ก็เอ่ยต่อหน้าพวกเราว่า ‘นั่นก็เป็นเพียงตวนมู่อู๋เซ่อคนเดียว ไม่ใช่ว่าบุตรสาวตระกูลตวนมู่ทุกคนจะต้องเป็นเหมือนกับตวนมู่อู๋เซ่อ อย่างเช่นเยี่ยวอวี่ก็ดีงามหนักหนา ใช่หรือไม่’ ”
คำพูดนี้คล้ายเป็นการปลอบใจตวนมู่เยี่ยนอวี่ แต่ความจริงแล้วเป็นการเตือน และบอกเป็นนัยๆ ว่าตวนมู่เยี่ยนอวี่อย่าได้ทำตัวเหมือนกับตวนมู่อู๋เซ่อ
เว่ยฉางอิ๋งแย้มยิ้ม …อย่างไรเสีย ตวนมู่เยี่ยนอวี่ก็ไม่กล้าวิ่งมาด่าทอตนที่เรือนจินถง นางไปด่าอยู่ในเรือนอู๋ฮวา แล้วก็ถูกฮูหยินซูแม่สามีรู้เข้าอีก …ดีชั่วตนเองก็มิได้เสียเปรียบอันใด
ปรากฏว่าหลังจากนางหลิวไตร่ตรองอยู่นานก็วางหมากลง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ภายหลังท่านแม่ก็บอกอีกว่า เรือนนางเพิ่งจะเพิ่มคนไปอีกสี่คน คาดว่าเวลานี้คงจะยุ่งวุ่นวายนัก น้องสะใภ้สามเจ้าอย่าให้นางมาหาบ่อยครั้งเล่า ประเดี๋ยวจะรบกวนกิจของนางเอา ทั้งยังรบกวนเจ้าด้วย”
“ท่านแม่เอ็นดูข้าจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่า พี่สะใภ้ใหญ่ก็คงจะเอ็นดูข้าเช่นกัน?”
ไม่รอให้ เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยคำขอบคุณ นางหลิวก็พูดอีกว่า “ใช่แล้ว บุตรสาวคนโตของท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้า ข้าจำได้ว่าลูกผู้น้องซ่งผู้นี้ชื่อว่าซีเยวี่ย กำลังจะหมั้นหมายในเร็ววันนี้แล้วใช่หรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งตะลึงงัน กล่าวว่า “ซีเยวี่ย? หมั้นหมาย? พี่สะใภ้ใหญ่ไปได้ยินข่าวลือใดมาเจ้าคะ?” ตอนแรกนางตื่นตกใจเพราะนึกว่าสนมเอกเติ้งใช้ฐานะสนมเอกในวังขืนหมั้นหมายซ่งซีเยวี่ยให้เติ้งจงฉีไปเสียแล้ว แต่พอคิดดูว่าหากเป็นดังนั้น ท่านอาหญิงใหญ่ก็คงหาคนช่วยไปทั่วอย่างร้อนรนเป็นที่สุดแล้ว
นางหลิวเอ่ยอย่าคาดไม่ถึงว่า “โอ๊ะ ข้ายังได้ยินแล้ว ลูกผู้น้องของเจ้ายังไม่รู้หรือ?”
“คำของพี่สะใภ้ใหญ่นี้” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดนางว่า “เวลานี้วันๆ ข้าล้วนแต่อยู่ภายในเรือน หากไม่มีผู้ใดมาบอกเรื่องของท่านอาหญิงใหญ่ แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?” แล้วเร่งให้นางพูดออกมาไวๆ
นางหลิวยิ้มแล้วว่า “จะว่าไปก็บังเอิญนัก สองวันก่อนคนจากบ้านแม่ข้านำของมาส่ง มีบ่าวชราคนหนึ่งเล่าให้ฟัง …บอกว่า ลูกผู้น้องเจ้าอาจจะได้หมั้นหมายกับน้องชายสิบหกในตระกูลข้า บิดามารดาน้องชายร่วมตระกูลข้าผู้นี้ล้วนอยู่ที่ตงหู แต่ท่านปู่อีกคนของเขา ท่านใต้เท้าสมุกลาโหมเป็นตัวแทนไปขอหมั้นให้เขาแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงหนแล้วหนเล่า จึงกล่าวว่า “น้องชายสิบหกของพี่สะใภ้ใหญ่ ก็คือ…หลิวซีสวิน?”
“ก็มิใช่หรอกหรือ?” นางหลิวหัวเราะเบาๆ แล้วลดตามองที่กระดานหมาก ยังคงเอ่ยออกมาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “น้องชายสิบหกในตระกูลข้าถึงวัยหมั้นหมายตั้งนานแล้ว จนใจที่บิดามารดาล้วนอยู่ไกลถึงตงหู ท่านปู่บ้านแม่ข้าสอบถามเขาเรื่องสำคัญในชีวิตนี้ตั้งหลายครั้งหลายครา ทว่าเขาก็เอาแต่บอกว่าต้องถามความเห็นของพ่อแม่เสียทุกครั้งไป สองวันก่อน…น่าจะเป็นสองวันก่อนกระมัง? ท่านปู่เข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้เพื่อถวายน้ำเซียนสิบอ่าง ฮ่องเต้ทรงดีพระทัยมาก บอกว่าจะพระราชทานรางวัลแก่ท่านปู่ ทว่าท่านปู่กลับไม่ต้องการสิ่งใด เพียงอยากให้น้องชายสิบหกได้แต่งงานดีๆ”
“จากนั้นเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางขบรมฝีปาก
แม้นางหลิวจะไตร่ตรองอยู่นาน แต่ก็ยังคงวางหมากลงไม่ได้อยู่เช่นนั้น ปากก็บอกว่า “ฮ่องเต้จึงไปสอบถามกับองค์ฮองเฮาว่ามีคุณหนูมีตระกูลบ้านใดที่เหมาะสมบ้าง? องค์ฮองเฮาจึงแนะนำคุณหนูซ่งผู้นี้ บอกว่านางงดงามอ่อนโยน ครั้งในงาน อภิเษกขององค์รัชทายาท แม้แต่พระสนมเอกก็ยังอดเรียกมาสอบถามข้างกายด้วยความชื่นชมอย่างยิ่งไม่ได้”
เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญสักพักจึงว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ทราบหรือไม่ว่าพระสนมเอกเอ่ยสิ่งใดหรือไม่?”
“ครั้งท่านปู่ของข้าเข้าไปถวายน้ำเซียนนั้น องค์ฮองเฮาอยู่กับฮ่องเต้ ส่วนพระสนมเอกกลับกำลังมีธุระปลีกตัวมาไม่ได้” นางหลิวเอ่ยอย่างใจเย็น “ฉะนั้นท่านปู่จึงบอกในทันใดว่าคุณหนูที่องค์ฮองเฮาและพระสนมเอกต่างหมายตาจะต้องไม่เลวเป็นแน่ และก่อนที่พระสนมเอกจะมาถึงท่านปู่ก็ออกจากวังมาแล้ว ภายหลังเมื่อพระสนมเอกได้ยินเรื่องนี้คล้ายจะไม่ใคร่เห็นด้วย แต่องค์ฮองเฮาก็ทรงตรัสว่าคุณหนูมีตระกูลที่ครบพร้อมทั้งรูปโฉม กริยามารยาทและคุณธรรมดีงามเช่นนี้ ในเมืองหลวงก็มิใช่ว่าไม่มีผู้อื่น สนมเอกมีความคิดเห็นอื่น และบอกว่าคราหน้าองค์ฮองเฮาให้นางเป็นคนคัดเลือกเป็นพอแล้ว ทว่าในเมื่อฮ่องเต้ก็รับปากท่านปู่ไปแล้ว แล้วไยต้องมาคืนคำเพราะเรื่องหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง?”
———————————-