ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 162-2 เดาผิดอีกแล้ว~~
บุตรสาวคนเล็กกระโดดโหยงเหยงเข้าไปก็ถูกองค์หญิงอันจี๋ทุบเอาหนหนึ่ง…ดีชั่วนางก็อยู่ในวันกึ่งผู้ใหญ่กึ่งเด็กหญิงที่ยังไม่ปักปิ่น จะเสียหน้าสักหน่อยก็เสียไปเถิด เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่จนปัญญาเมื่อต้องมาพบกับองค์หญิงอันจี๋ อย่างไรเสียก็ยังดีกว่าหลานชายย่าที่ดีๆ อยู่ ก็จะมาไม่มีเสียแล้ว…
ฮูหยินซูกุมขมับอย่างปวดหัว ตัดสินใจว่างานเลี้ยงพระราชทานในเทศกาลหยวนเซียว ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็จะเอาเว่ยฉางอิ๋งไว้ข้างๆ ไม่ห่างจากตัวอีกแล้ว
ครานี้ องค์หญิงอันจี๋ก็หัวเราะอย่างยินดี พลางว่า “เจ้าดูแม่สามีเจ้าสิกุมขมับใหญ่เลย! ไม่รู้ว่าเวลานี้จะเป็นห่วงเจ้าเพียงใด!”
“คงเพราะดื่มมากไปกระมังเพคะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไป พลางปอกเปลือกส้มอย่างใจเย็น
องค์หญิงอันจี๋แค่นเสียงหึออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “เมื่อครู่นางยังหัวร่อต่อกระซิกกับคนที่นั่งข้างๆ อยู่เลย ปรากฏว่าพอหันมามองเจ้าหนหนึ่ง ก็ส่งสาวใช้มา พอไม่สำเร็จก็เริ่มกุมขมับแล้ว หากมิใช่เพราะเป็นห่วงจ้า และปวดหัวเพราะข้า แล้วจะเป็นสิ่งใด?”
“ก็วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีอย่างไรเล่าเพคะ หม่อมฉันจึงรู้สึกว่าอย่างไรก็ควรจะไว้หน้าองค์หญิงบ้าง” เว่ยฉางอิ๋งหันไปยิ้มหน้าบานใส่นาง รอยยิ้มเป็นเชิงเยาะหยัน
“เจ้าไม่กลัวข้ารึ?!” องค์หญิงอันจี๋ขึ้นเสียง ทั้งมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หม่อมฉันคิดว่าปกติแล้วต้องไม่มีสักกี่คนที่กล้าล้อเล่นกับองค์หญิง จึงล้อเล่นกับองค์หญิงสักคำสองคำเท่านั้นเอง” แล้วเอาผลส้มที่ปอกแล้ว ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองเอาไว้ ส่งไปตรงหน้านาง กล่าวว่า “ส้มนี้หวานนัก เวลานี้หม่อมฉันตั้งครรภ์ทานหวานมากไม่ได้ องค์หญิงลองชิมดูหรือไม่เพคะ?”
องค์หญิงอันจี๋กวาดตาไปมองหนหนึ่ง เห็นว่าผลส้มถูกปอกออกจนสะอาดหมดจด ขนตายาวๆ พลันกระพริบหนหนึ่ง และกลับรับไปตามคำเชิญ ทานไปสองกลีบจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “หวานไม่หวานกลับมิเป็นไร…ข้ากลับนึกขึ้นมาได้ว่าครั้งข้ายังเล็ก ประมาณช่วงก่อนที่พระเชษฐาสิบเอ็ดจะถูกส่งตัวมาที่ตำหนักโต่วจิ่นไม่นานกระมัง? ครานั้นนางกำนัลปอกส้มให้ข้ากิน มีชิ้นหนึ่งที่มีไยส้มไยหนึ่งยังเอาออกไม่หมด ข้าก็ไม่ยอมกิน พระมารดาจึงตำหนินางกำนัล ปรากฏว่าภายหลัง…ในขณะที่พระมารดากำลังป่วยก็คิดอยากกินส้ม ไม่ว่าทำเช่นไรข้าก็หามาให้ไม่ได้ ได้ยินคนเล่าว่าในอุทยานปลูกต้นส้มเอาไว้ชม จึงอาศัยช่วงกลางคืนออกไปขโมยมาสองลูก แต่กลับเปรี้ยวจนเข็ดฟัน! ไม่ว่าอย่างไรพระมารดาก็ทานไม่ลง …ภายหลังที่ข้าหิวมากๆ ก็ยังกินลงไปได้”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือครั้งนั้นอย่าว่าแต่ส้มหวานๆ เลย แม้แต่อาหาร สองแม้ลูกก็ยังกินไม่อิ่ม เป็นถึงองค์หญิงแต่กลับต้องมาหิวจนไส้กิ่ว ทำได้เพียงต้องไปเด็ดเอาผลไม้เปรี้ยวๆ ที่ปลูกไว้ประดับไม่ได้เอาไว้กินมาจากต้นและต้องฝืนกินลงไปประทังความหิว… เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าเสื้อผ้าขององค์หญิงอันจี๋ล้วนเป็นของเก่า แม้จะมีชื่อเสียงไปทั้งในวังนอกวังว่านางร้ายกาจนัก แต่คงนับไม่ได้ว่านางมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นเป็นแน่ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่เคยคิดว่านางถึงกับเคยต้องหิวโหยเพียงนี้มาก่อน เว่ยฉางอิ๋งอดนิ่งอึ้งไปเป็นนานไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปอย่างไร
“ในวังแห่งนี้ มีอดีตมากมายนักที่ข้าและพระมารดาไม่ยอมหวนนึกถึงอีก” องค์หญิงอันจี๋เอาผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาห่อส้มที่เหลือมากกว่าครึ่งหนึ่งไว้ แล้วค่อยๆ เอาใส่ในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง …นางทำเช่นนี้ต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง แต่กลับไม่ได้มีสีหน้าเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย และมิได้มีท่าทีน่าสงสารหรือน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เอ่ยอย่างสงบว่า “ฉะนั้นความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้า มิใช่การแก้แค้นผู้ใด หรือสร้างความลำบากให้แก่ผู้ใด ข้าเพียงอยากจะพาพระมารดาไปใช้ชีวิตปกติธรรมดาที่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเสื้อผ้าอาหาร หรือต่อให้มีเพียงชาชั้นต่ำกับข้าวเปล่าก็ตาม ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลว่าวันหน้าข้าจะทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วย หลังจากข้าแต่งงานแล้ว เว้นเสียแต่ว่ามีคนไม่ยอมละเว้นข้า หาไม่แล้วข้าก็จะไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องผู้ใดก่อน …วันคืนที่ต้องขัดแข้งขัดขากัน ข้าเหนื่อยใจเหลือเกินแล้ว!”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง กล่าวว่า “หม่อมฉันกลับไม่คิดว่าองค์หญิงท่านจะพลอยทำให้หม่อมฉันลำบากนะเพคะ”
องค์หญิงอันจี๋ได้ยินคำ สีหน้าพลันหนักขึ้นทันใด เอ็ดเสียงต่ำๆ ไปว่า “เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร?! ก่อนหน้าที่เจ้าบอกว่ามีตัวเลือกที่เหมาะสมคนหนึ่ง ปรากฏว่าผ่านไปตั้งสองสามเดือน แม้แต่จดหมายก็ยังไม่มีมารายงานข้าสักหน! เจ้ากล้าปั่นหัวข้ารึ?!”
“…หม่อมฉันบอกแล้วอย่างไรว่าหม่อมฉันยังไม่ได้ไปพูดคุยกับคนผู้นั้น หากเขามีคนที่รักอยู่แล้ว หรือมีสัญญาแต่งงานอยู่กับตัว จะทำเช่นใดเล่าเพคะ?” เว่ยฉางอิ๋งชี้ไปที่ท้องของตนเอง ยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “องค์หญิงท่านทรงทอดพระเนตร ตลอดเวลามานี้หม่อมฉันก็ไม่สะดวกจะไปสอบถามให้ท่านนี่เพคะ!”
….เอ่อ ความจริงก็คือ ข้าลืมไปแล้ว
หลังจากกลับมาจากจวนรุ่นอ๋อง นางก็ไปทวงถามความเป็นธรรมที่บ้านท่านอารอง แล้วคืนวันนั้นก็พบว่าตนเองตั้งครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้นครรภ์ก็ไม่คงที่อย่างยิ่ง …เว่ยฉางอิ๋งจะมาสนใจเรื่องที่รับปากกับองค์หญิงอันจี๋เอาไว้ได้ที่ใด? นางจดจ่ออยู่กับการรักษาครรภ์เอาไว้ยังไม่ทันเลย!
ภายหลังเมื่อครรภ์คงที่ดีแล้ว แต่เรื่องแต่งงานของลูกผู้น้องซ่งซีเยวี่ยก็ทำให้นางต้องเป็นกังวลอยู่พักหนึ่ง …ไม่กี่วันก่อน ท่านอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียนก็ยังมาล้มป่วยอีก!
หากมิใช่ว่าวันนี้องค์หญิงอันจี๋เข้ามานั่งด้วยตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มงานเลี้ยงได้ไม่นาน นางก็จะต้องลืมเรื่องที่รับปากกับองค์หญิงอันจี๋ที่ริมทะเลสาบในสวนดอกไม้จวนรุ่นอ๋องไปจนถึงเมฆชั้นเก้าโน่นแล้ว…
เมื่อองค์หญิงอันจี๋มาทวงหนี้เอายามนี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้สึกขัดเขินเสียยิ่งนัก
องค์หญิงอันจี๋กลับไม่ถูกกล่อมเอาง่ายๆ พลันเอ่ยทั้งดวงตาดุร้ายว่า “เจ้ากล้าหลอกข้า! ตัวเจ้าเองไปไหนไม่สะดวกแล้วจะไม่อาจส่งคนข้างกายไปสอบถามได้รึ? มิใช่ว่าเจ้ายังมีลูกพี่ลูกน้องผู้หญิงอีก! และมิใช่ว่าเจ้ายังมีญาติพี่น้องและบ่าวติดตามตั้งมากมาย! ต่อให้เวลานี้เจ้าไม่ตั้งท้อง แล้วเจ้าจะไปสอบถามถึงบ้านด้วยตนเองรึ?! ต้องเป็นเพราะครั้งนั้นเจ้าคิดเพียงรับปากข้าไปส่งๆ แล้วปรากฏว่าภายหลังก็ลืมไปแล้ว ยามนี้ยังกล้ามาหาข้ออ้างอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ คิดในใจว่า องค์หญิงพระองค์นี้อายุเพียงน้อยๆ ก็อาละวาดเสียจนสตรีชั้นสูงทั่วเมืองหลวงต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากันไปหมด เป็นคนที่ไม่ควรไปล่วงเกินเลยจริงๆ! นางหัวเราะแห้งๆ ไปสองสามหน กล่าวว่า “องค์หญิงโปรดอภัย!”
เมื่อได้ยินคำนี้ องค์หญิงอันจี๋ก็ยิ่งโมโห “เป็นเช่นนี้นี่เอง! เจ้าบังอาจนักนะ!”
แล้วข่มขู่นางด้วยเสียงต่ำๆ ไปว่า “เจ้ารีบพูดมา ที่เอ่ยถึงคราวก่อนเป็นผู้ใด!”
เว่ยฉางอิ๋งเหลียวซ้ายแลขวา แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “องค์หญิง หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนั้นแต่งงานหรือยัง ไม่เหมาะจะพูดจริงๆ เพคะ!”
“เจ้าจะไปรู้สิ่งใด!” สีหน้าองค์หญิงอันจี๋น่ากลัวหนักหนา ดวงตาเหมือนจะพ่นไฟออกมาและแทบจะตบโต๊ะ นางเอ่ยออกมาว่า “เจ้ารู้สึกว่าไม่ควรพูด แล้วเหตุใดคราก่อนจึงพูดออกมาเล่า? ทำให้ข้าอยู่ว่างๆ ก็เอาแต่เดาว่าผู้ที่เจ้าว่าเป็นผู้ใด! เจ้าคิดว่าข้าจะต้องแต่งกับคนผู้นี้เสียให้ได้รึ?! ข้าก็เพียงอยากรู้ว่าผู้ที่เจ้าว่าเป็นผู้ใดเท่านั้น!”
“…!” เว่ยฉางอิ๋งปาดเหงื่อ ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “ล้วนเป็นหม่อมฉันไม่ดี…”
“ต้องเป็นเจ้าไม่ดีอยู่แล้ว!” องค์หญิงอันจี๋อยากเข้าไปบีบคอนางทั้งเขย่าไปมา “รีบบอกมา รีบบอกมาว่าเป็นผู้ใดกันแน่?!”
เว่ยฉางอิ๋งจนใจ ทำได้เพียงกระแอมแห้งๆ ไปหนึ่งหน ขยับเข้าไปข้างหูนาง กระซิบเสียงต่ำไปว่า “คุณชายที่หม่อมฉันคิดว่าเป็นคนดีซื่อตรง คนในครอบครัวก็ปรองดองกัน ก็คือคุณชายใหญ่จากบ้านใหญ่ของตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสีย ฮั่วเจ้าอวี้เพคะ!”
องค์หญิงอันจี๋สะดุ้ง พึมพำว่า “ฮั่วเจ้าอวี้? ข้ากลับไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงคนผู้นี้เลย…”
“หม่อมฉันเคยพบกับคุณชายผู้นี้และน้องชายบุตรอนุของเขาคราหนึ่ง” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถึงตรงนี้ก็ถูกองค์หญิงอันจี๋ถลึงตาดุใส่หนหนึ่ง นางรีบขัดคำถามด้วยโทสะขององค์หญิงอันจี๋ไปว่า “แต่เพราะครานั้นมีคนอีกผู้หนึ่งอยู่ด้วย ฉะนั้นหม่อมฉันจึงแน่ใจว่าคุณชายผู้นี้ต้องเป็นคนนิสัยดีแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นน้องชายบุตรอนุของเขาก็เป็นคนที่มีนิสัยเช่นเดียวกัน! สองพี่น้องล้วนดีเช่นนี้ เห็นได้ว่าต้องเป็นเพราะการอบรมจากทางบ้านเพคะ!”
…กู้หน่ายเจิงแปลกประหลาดเพียงนั้น ทุกครั้งที่ต้องรับมือกับเขา เว่ยฉางอิ๋งล้วนต้องยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว แต่สองพี่น้องตระกูลฮั่วกลับสามารถเรียกพี่เรียกน้อง และคบค้ากับเขาได้อย่างลึกซึ้งเลยนี่!
ฉะนั้นแล้ว ฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนมีจิตใจกว้างขวางเพียงใด เป็นคนใจดีเพียงใด อ่อนน้อมถ่อมตนเพียงใด สูงส่งดีงามเพียงใด ยังต้องกังขาอีกหรือ??
_______________________