ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 164-1 สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง
วันที่สองหลังวันปีใหม่ แต่ละตระกูลในเมืองหลวงต่างพากันเฉลิมฉลองปีใหม่กันอย่างเปรมปรีดิ์ แต่จวนเว่ยกลับมีแต่ความเงียบสงัด
โถงวางโลงศพที่จัดขึ้นมาอย่างเร่งรีบยังสามารถมองเห็นร่องรอยของการเฉลิมฉลองอยู่ สีแดงๆ เขียวๆ ซึ่งเป็นสีแห่งความมงคลยามอยู่กับดอกไม้สีขาวและกระดาษเงินแล้วยิ่งทำให้ความเศร้าโศกชัดเจนขึ้น
เดิมทีวันนี้ก็เป็นวันที่บุตรสาวซึ่งแต่งออกไปแล้วได้กลับมาเยี่ยมบ้านพอดี เว่ยฉางอิ๋งถูกคนประคองอย่างระมัดระวังเข้ามาในโถงวางโลงศพ และเห็นว่าเว่ยฉางหว่านมานั่งคุกเข่าข้างๆ โลงศพอยู่แล้ว มือหนึ่งโอบเว่ยฉางเจวียน อีกมือหนึ่งทาบอยู่กับโลงศพร้องไห้คร่ำครวญ
นางสวมเสื้อผ้าป่านที่ไม่ได้เย็บข้างลำตัว เป็นชุดแบบ ‘จ่านชุย’ ซึ่งเป็นชุดไว้ทุกข์ที่เต็มยศที่สุดในบรรดา ‘ชุดไว้ทุกข์ทั้งห้า’ เดิมทีตามพิธีศพของต้าเว่ยตอนต้น ชุดไว้ทุกข์ที่บุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนควรจะสวมก็คือชุดแบบ ‘จ่านชุย’ แต่เมื่อออกเรือนแล้วก็จะนับว่าเป็นคนบ้านอื่นแล้ว จึงเพียงแค่ต้องสวมเสื้อผ้าเรียบๆ …แต่ตามธรรมเนียมของต้าเว่ยในปัจจุบัน บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วล้วนต้องสวมชุด ‘จือชุย[1]’ ให้บิดามารดาหนึ่งปี
แต่ยามนี้เว่ยฉางหว่านกลับสวมชุด ‘จ่านชุย’ ทั้งตัว อีกทั้งกอดโลงเอาไว้และร้องไห้เศร้าโศกเพียงนี้ คิดว่าแม้นางจะไว้ทุกข์เพียงหนึ่งปี นางก็คงต้องอ่อนแอจนล้มพับไปเหมือนความหมายของคำว่า ‘จ่านชุย’ เป็นแน่
เมื่อได้ยินนางและเว่ยฉางเจวียนสองพี่น้องต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญออกมาจากขั้วหัวใจ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่รู้ว่าในใจตนนั้นเป็นความรู้สึกใดกันแน่ นางนิ่งอึ้งอยู่เป็นนานจึงค่อยๆ เดินเข้าไปจุดธูปไหว้
เว่ยฉางอวิ๋น เว่ยฉางซุ่ยและเว่ยเกาหลางซึ่งเป็นบุตรชายจากอนุเพียงคนเดียวของบ้านสอง สามพี่น้องคุกเข่าอยู่หลังม่าน ลมเย็นโชยเข้ามาจากนอกโถง พัดให้มุมหนึ่งของผ้าม่านเปิดขึ้นมา สามารถมองเข้าไปเห็นได้ว่าพวกเขาต่างพากันหน้านิ่งเป็นท่อนไม้ บนใบหน้าคล้ายมีคราบน้ำตา …กลับเป็นหมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้…ที่ผู้วายชนม์ก็เป็นเพียงแม่สามี ยิ่งไปกว่านั้นโดยปกติแล้วแม่สามีผู้นี้ก็ไม่ใคร่สนทนาเรื่องใดกับพวกนาง แม้ต้องไว้สวมชุดไว้ทุกข์เต็มยศเช่นกัน และต้องร้องไห้อยู่ไม่หยุด แต่ฟังดูแล้วก็ยังห่างไกลกับความเจ็บปวดจนใจแทบขาดของเว่ยฉางหว่านพี่น้อง
เนื่องจากเวลานี้ท้องของเว่ยฉางอิ๋งก็โตมากแล้ว จึงเดินเหินไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง ต้องให้พวกนางหวงคอยประคองจึงสามารถย่อตัวลงคำนับได้ …นางเพิ่งจะย่อตัวลงคำนับ เว่ยฉางเจวียนก็หันควับมา ตาทั้งคู่ของนางบวมแดง แล้วร้องเสียงสูงว่า “เจ้ายังมาอีกรึ? เจ้ายังกล้ามาอีกรึ?! เจ้า…”
เว่ยฉางหว่านรีบเข้าไปปิดปากนางเอาไว้ และเพราะนางใช้แรงอย่างมาก กระทั่งเส้นเอ็นที่แขนขาวนวลก็ยังเด่นชัดขึ้นมา …ใบหน้าของเว่ยฉางหว่านเร้นอยู่ในเงามืดของโลงไม้ มองไม่ถนัดตา ได้ยินเพียงเสียงแหบพร่าของนางที่เอ่ยออกมาอย่างบางเบาอย่างเย็นชาว่า “น้องสาม น้องเจ็ดเสียใจที่ท่านแม่จากไป เวลานี้ยังไม่ใคร่ปกตินัก เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย”
เว่ยฉางอิ๋งคำนับไปตามธรรมเนียมจนเสร็จ แล้วให้นางหวงประคองให้ลุกขึ้นมา แล้วจึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “พี่หญิงใหญ่ คำนี้ก็เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว ข้ารู้ว่าเวลานี้พวกท่านอารมณ์ไม่ดี …ข้ามาคำนับท่านอาสะใภ้รอง จุดธูปแล้วก็จะไป”
เมื่อส่งเว่ยฉางอิ๋งออกนอกประตูไปด้วยสายตายแล้ว เว่ยฉางหว่านจึงปล่อยมือจากน้องสาว เว่ยฉางเจวียนร้องใส่นางอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พี่หญิงใหญ่! เหตุใดท่านไม่ปล่อยให้ข้าพูดจนจบ? เห็นชัดอยู่ว่าท่านแม่ นาง… ท่านแม่ นาง… ก็ถูก…”
เสียง ‘เพี๊ยะ’ หนหนึ่ง ดังขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือที่ตบมาที่ใบหน้าของนางอย่างแรง!
เว่ยฉางเจวียนเอามือกุมหน้าในทันใด จ้องมองพี่สาวคนโตที่เอ็นดูรักใคร่นางตลอดมาอย่างตกตะลึง แล้วเอ่ยด้วยความรู้สึกแทบไม่อยากเชื่อว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่าน…”
“กระดูกท่านแม่ยังไม่ทันแห้ง เจ้าก็ลืมคำที่นางสั่งเสียกับพวกเราเอาไว้ก่อนตายเสียแล้วรึ!” สีหน้าของเว่ยฉางหว่านเย็นเยือกดังน้ำแข็ง พลางจับข้อมือเว่ยฉางเจวียนเอาไว้แน่น เล็บมือล้วนปักเข้าไปในเนื้ออ่อนๆ ของเว่ยฉางเจวียน แต่เว่ยฉางหว่านกลับไม่มีท่าทีจะปล่อยเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางถูกเงาของโลงไม้บดบังเอาไว้ แต่ดวงตากลับเปล่งประกายอยู่ในความมืด …สายตาแห่งความอาฆาตแผดเเผารุนแรงเพียงนั้น จนทำให้เว่ยฉางเจวียนต้องหยุดหายใจไปชั่วครู่โดยไม่รู้ตัว และไม่กล้าร้องว่าเจ็บออกมา
ริมฝีปากของเว่ยฉางหว่านแทบจะแนบอยู่กับหูของนาง ลมหายใจเย็นดังน้ำแข็ง ค่อยๆ เอ่ยทีละคำว่า “หากมิใช่เพราะเจ้าทำเรื่องเลอะเลือน ไปหาเรื่องเว่ยฉางอิ๋งเพียงเพราะอารมณ์โกรธไร้สาระชั่ววูบ! แล้วท่านแม่จะพลั้งปากไปเพียงหนด้วยความสงสารเจ้า จนถูกนั่งแก่ชั่วซ่งซินโหรวจับผิดเอาได้หรือ?! เจ้ามันเป็นตัวโง่เง่า ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องใดเจ้าก็ก่อปัญหาขึ้นมา กระทั้งทำร้ายท่านแม่จนตาย เวลานี้ยังคิดจะทำร้ายเราทั้งบ้านให้ตายอีกรึ!”
เมื่อเห็นว่า เว่ยฉางเจวียนตกตะลึงอ้าปากค้าง นั่งพับลงไป ดวงตาอดมีน้ำตาร่วงลงมาไม่ได้ เวลานี้ดวงตาของเว่ยฉางหว่านที่เคยรักน้องเรื่อยมากลับยังคงเย็นเฉียบดังน้ำแข็ง ไร้ซึ่งความสงสารใดๆ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาต่อไปว่า “เจ้าฟังข้าให้ดี! ก่อนนี้มีท่านแม่เอาใจเจ้า ตามใจจนนิสัยเสีย! เวลานี้นิสัยเสียๆ ของเจ้าได้ทำร้ายท่านแม่จนตายแล้ว หากเจ้ายังคงโง่เง่าอยู่เช่นนี้ …อย่ามาโทษว่าคนเป็นพี่เช่นข้าใจดำอำมหิต!”
ภาพตรงหน้าของสองพี่น้องนี้ ทำเอาหมิ่นเหยาและโจวเสี่ยวเย้พากันตกใจ ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยเตือนไปว่า “น้องหญิงใหญ่อย่าทำเช่นนี้เลย…น้องเจ็ดนางยังเล็กอยู่…”
“หุบปาก!” คนที่จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมาก็คือเว่ยฉางอวิ๋น เขามองไปที่ภรรยาของตนและน้องสะใภ้ด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ว่า “ผู้ใดกล้าเอาใจเจ้าลูกอกัตญญูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้อีก ก็ไสหัวออกไปจากจวนกับข้า!”
หมิ่นเหยาสองสะใภ้ตื่นตกใจ รีบเงียบปากและไม่พูดสิ่งใดอีกแล้ว
เว่ยฉางเจวียนจดจ้องไปยังพี่ชายพี่สาวที่จู่ๆ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางเสียใจเป็นที่สุด แล้วร้องไห้ออกมาเหมือนใจจะขาด แต่เว่ยฉางอวิ๋น เว่ยฉางหว่านกลับเพียงแค่มองนางอย่างเย็นชา แม้แต่เว่ยฉางซุ่ยที่เป็นคนที่ใจอ่อนที่สุด ก็เพียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาไปหนหนึ่ง
…เรื่องเหล่านี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่รู้ และมิได้ใส่ใจด้วย นางกลับไปถึงเรือนจินถง ถอดชุดไว้ทุกข์ออก แล้วอาบน้ำใหม่เปลี่ยนชุดใหม่ จึงไปพบฮูหยินซูเพื่อรายงานเรื่องในงานไว้ทุกข์
ฮูหยินซูและเว่ยเซิ่งอี๋สามีภรรยาคบค้ากับเพียงผิวเผิน คราก่อนที่เว่ยฉางอิ๋งเกือบจะรักษาครรภ์เอาไว้ไม่ได้ เกิดขึ้นหลังจากนางกลับมาจากจวนเว่ย ฮูหยินซูโทษโน่นโทษนี่ ก็มิน่าเล่านางจึงพาลไปชิงชังเว่ยเซิ่งอี๋สามีภรรยาเสียแล้ว
ภายหลังเมื่อรักษาครรภ์ของเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ได้ ฮูหยินซูจึงคลายความเคืองแค้นนี้ลงบ้าง แต่สำหรับการตายของนางตวนมู่ นางกลับไม่ได้รู้สึกเสียดายหรือเสียใจเท่าใดจริงๆ และเพราะว่าเวลานี้เป็นเดือนหนึ่งในปีใหม่ และเว่ยฉางอิ๋งก็กำลังตั้งท้อง แต่กลับต้องไปไว้อาลัยต่อหน้าโลงศพ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า ความจริงแล้วนี่นับเป็นเรื่องที่กระทบกับสิริมงคลของจวนเสิ่น ทำให้นางรู้สึกอกสั่นขวัญหายแทนหลานชายที่กำลังจะคลอดออกมาด้วย
ทว่า อย่างไรนางตวนมู่ก็เป็นอาสะใภ้ฝั่งบ้านแม่ของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อนางเสีย ทั้งยังอยู่ในเมืองหลวงด้วย เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่อาจไม่ไปได้
————————————-
[1] จือชุย เป็นชุดไว้ทุกข์ในลำดับที่สอง ใช้ผ้าป่านเนื้อหยาบ เย็บข้างลำตัวเรียบร้อย