ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 166-1 เด็กหนุ่มชาวตี๋
ทว่า…
ในชั่วพริบตาที่พวกตี๋คนแรกโผล่ออกมาจากชั้นหิมะ เสิ่นจั้งเฟิงก็คล้ายว่าได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้วเช่นนั้น พลันถอยหลังไปบนพื้นหิมะสามก้าวอย่างแผ่วเบา แทบเพียงชั่วอึดใจเดียวก็เข้าไปอยู่ข้างตัวม้า เอื้อมมือไปไวดังสายฟ้า หยิบเอาทวนมาไว้ในมือ! ในเวลาเดียวกัน เสิ่นเตี๋ยรีบดึงผ้าสักหลาดหนาที่ปูบนพื้นหิมะขึ้นมา ใช้สองมือควง ผ้าสักหลาดหนาผืนนั้นกลายเป็นดังจานเหล็ก และถูกโยนเข้าไปยังจุดที่ฝนลูกธนูแน่นขนัดที่สุด!
ได้ยินเพียงเสียงพู่ๆ ไม่หยุดหย่อน พริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่ามีลูกธนูจำนวนเท่าใดไปปักอยู่บนผ้าหนาผืนนั้น ทว่าแม้ลูกธนูจะฉีกผ้ารองนั่งหนาออกได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่อาจทะลุผ้ารองนั่งหนาได้ดังหวัง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเข้าฟาดฟัน กลับมีเสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังออกมาจากบนผ้ารองนั่ง!
คนอื่นๆ ในกองของเสิ่นจั้งเฟิง เพิ่งจะไหวตัวขึ้นมาหลังจากช้าไปหนึ่งอึดใจ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่กำลังพักผ่อนอยู่บนพื้น หรือพวกที่กระจายตัวออกไปคอยเฝ้าระวังอยู่รอบทิศไม่เว้นแม้สักคน ล้วนลุกขึ้นชักอาวุธออกมารับลูกธนูของพวกตี๋ที่พุ่งเข้ามา!
“ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ!” คนนำทางหัวเราะเยาะหยันน้อยๆ …เขาคิดว่าพวกชาวเว่ยต้องนึกว่าพวกตี๋ซุ่มอยู่ในพื้นหิมะเป็นเวลานาน คันธนุเปียกชื้น กอปรกับยิ่งธนูอย่างเร่งร้อน ธนูที่ยิ่งออกมาจึงไม่มีประสิทธิภาพมากมายนัก เวลานี้จึงคิดอาจหาญเข้าไปรับห่าฝนลูกธนู “คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าที่เก่งกาจที่สุดของท่านข่านมู่ซิวเออร์! ทุกคนล้วนเป็นนักล่ามือดีที่สุดบนทุ่งหญ้า ต่างมีประสบการณ์ดักซุ่มล่าสัตว์กลางหิมะหนาหลายวันหลายคืน …แล้วจะทำพลาดได้เช่นใด? นึกว่าฝนลูกธนุห่านั้นเพียงแค่ใช้ปกป้องพวกเขายามพุ่งออกมาจากหิมะเช่นนั้นรึ!”
ถึงเขาจะปรายหางตาไปเห็นว่าในผ้ารองนั่งนั้นคล้ายจะมีแผ่นโลหะอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด “อาศัยเพียงโยนผ้ารองนั่งผืนหนึ่งออกไป ก็คิดว่าจะทานอานุภาพของผู้กล้าของท่านข่านมู่ซิวเอ่อร์ได้รึ?”
รอยยิ้มหยันของคนนำทางพลันแข็งทื่ออยู่บนใบหน้าอย่างรวดเร็ว….
ในระยะที่ห่างกันยี่สิบกว่าก้าว แม้มิได้อยู่บนหลังม้า แต่ทหารเว่ยและตี๋กลับเข้ามาโรมรันกันในเวลาไม่ถึงชั่วพริบตา คนที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเป็นคนแรก กลับคือชาวตี๋ผู้หนึ่ง!
ชาวตี๋ผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ทั้งใบหน้าและแขนที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาล้วนเต็มไปด้วยรอยสัก ตั้งแต่หน้าผากถึงโหนกแก้มก็ยังมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ ดูไปแล้วดุร้ายยิ่งนัก เขาใช้ดาบใบกว้างเล่มหนึ่ง ดาบยาวสี่ฉื่อหกชุ่น ใบมีดส่องประกายวิบวับน่าประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บนพื้นหิมะ …คนนำทางคลับคล้ายคลับคลาว่าจะจำฐานะของชาวตี๋ผู้นี้ได้ เขาเป็นหนึ่งในสิบของสิบเหยี่ยวแห่งกระโจมอ๋อง ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบเอกของข่านมู่ซิวเอ่อร์ผู้นำของชาวตี๋
ครานี้ข่านมู่ซิวเอ่อร์ส่งสิบเหยี่ยวสามคนซึ่งชำนาญด้านการรบบนพื้นราบ และมีชื่อเรื่องการข่มขวัญศัตรูมา… อย่างไรเสียด้วยฐานะประมุขคนต่อไปของตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ไม่ว่าจะสังหารหรือจับเป็น หากต้องแลกมาด้วยนักรบสามคนก็ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน
หากมิใช่เพราะกลัวว่าชาวเว่ยจะพบเห็นการซุ่มโจมตีครานี้ มู่ซิวเอ่อร์แทบอดไม่ไหวที่จะพาทั้งสิบเหยี่ยวมาด้วยตนเอง
แต่เวลานี้ ผู้กล้าชาวชิวตี๋ผู้หนึ่ง เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและในช่วงเวลาหนึ่งก็ถึงกับใช้นามของเขาหยุดเสียงร้องไห้ในเวลาค่ำคืนของเด็กเล็กๆ ในต้าเว่ยได้เลยทีเดียว เพียงเขาออกหน้ามา ก็ถูกแหลนยาวด้ามหนึ่งฟันเข้าไปที่หัวเกือบครึ่งหนึ่งของสมองด้วยกระบวนท่าพายุกระหน่ำเก้าวัน!
ทั้งเลือดและมันสมองพุ่งกระจายออกมา ทำให้แหลนด้ามใหม่ที่ยังไม่เคยลิ้มรสโลหิตมนุษย์มาก่อนพลันอาบไปด้วยสีแดงและสีขาว ทั้งยังมีหยดเลือดและมันสมองร้อนๆ หลายหยดที่กระเด็นมาถึงบนใบหน้าของเขา เมื่อมาอยู่บนผิวขาวละเอียดของเขาแล้วยิ่งทำให้ดูน่าสยดสยองนัก
เสิ่นจั้งเฟิงไม่ว่างมาปาดออก และไม่มีแก่ใจปาดออกไปด้วย พลันร้องเสียงลั่นดังสายฟ้าฟาด ตะโกนอย่างดุดันว่า “ฆ่า!”
“ฆ่า!!!” คนในกองที่กำลังฟาดฟัดอยู่อย่างเงียบงัน เมื่อได้ยินคำก็พากันร้องตะโกนเสียงดัง! ผงาดเข้าโรมรันอย่างห้าวหาญ จนคล้ายว่าทำให้กลางอากาศเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะที่ไม่รู้ว่าตกลงมาอีกยามใด เป็นภาพน่าพรั่นพรึงยิ่ง!
“ท่านผู้เก่งกาจ!” ท่ามกลางพวกตี๋ คนผู้หนึ่งดูคล้ายเป็นหัวหน้า ตะโกนออกมาด้วยภาษาถิ่นที่มีสำเนียงประหลาด “ทว่าคนของพวกเจ้าน้อยเกินไปแล้ว ท่านข่านพาทหารม้าชั้นเลิศห้าร้อยนายมาด้วยตนเอง และรออยู่ในเขตแดนตี๋ ห่างออกไปเพียงยี่สิบลี้ ทุกครึ่งชั่วยามให้พวกทหารลาดตระเวนชาวฮั่นไปตรวจดู พวกเจ้าล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
แต่สิ่งที่ตอบเขาก็คือแหลนด้ามไม้เจ้อมู่[1]ที่เสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะใช้โลหิตของชาวตี๋คนที่สองอาบไปบนนั้น
เพราะเขาเสียสมาธิ จึงแทบถูกเสิ่นจั้งเฟิงเข้ารุกจนรับมือไม่ทัน ในขณะที่หัวหน้าพวกตี๋โกธรเกรี้ยวเป็นที่ยิ่ง จึงไม่มีแก่ใจมาห่วงว่าภาษากลางพูดอย่างไรแล้ว พลันกลัดแกว่งดาบยาวที่กำอยู่ในมือ ร้องออกมาอย่างกระชับได้ใจความว่า “ยอมแพ้ รอด ไม่ยอมแพ้ ตาย!”
ดาบยาวและแหลนด้ามไม้เจ้อมู่เข้าโจมตีกันเป็นพัลวันจนมีประกายไฟพุ่งออกมา
แม้หัวหน้าพวกตี๋จะมีฐานะไม่ต่ำต้อยในพวกตี๋ด้วยกัน ทว่าพวกตี๋ไม่ชำนาญการหลอมโลหะ แม้ดาบยาวที่เขาใช้จะนับว่าดีที่สุดสำหรับพวกตี๋แล้ว แต่มีหรือจะเทียบกับแหลนด้ามไม้เจ้อมู่ที่เสิ่นจั้งเฟิ่งซึ่งเป็นบุตรหลานตระกูลเลื่องชื่อในฝ่ายบู๊ใช้อยู่ได้?
เพียงไม่กี่หน ดาบยาวก็มีรอยบิดงอหลายแห่ง
แม้เห็นจะชัดว่าดาบยาวไม่อาจเทียบกับแหลนด้ามไม้เจ้อมู่ได้ แต่หัวหน้าพวกตี๋ยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์อาวุธที่ตนถนัด ทางหนึ่งรุกโรมเข้าไปสุดชีวิต อีกทางหนึ่งก็ตะโกนด่าทอสาปแช่งเสิ่นจั้งเฟิงขึ้นมาด้วยภาษาตี๋ ในขณะที่เขากำลังมีโทสะหนักหนา กลับมิได้สังเกตเห็นว่าเสิ่นเตี๋ยหยิบเอาผ้ารองนั่งที่ยับเยินเพราะต้องลูกธนูมาก่อนหน้านี้ ซ่อนตัวอยู่หลังศพของทหารเว่ยสองนาย และค่อยๆ ขยับเข้ามาอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อใด…
เสียง “ติง” ดังขึ้นมาหนหนึ่ง เพราะกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด คล้ายมีคนเพียงไม่กี่คนที่ได้ยินเสียงนี้ แต่เมื่อหัวหน้าพวกตี๋ได้ยิน พลันรู้สึกเหมือนน้ำแข็งถังใหญ่ราดลงมาบนหัวเขา!
เขากวัดแกว่งดาบดังกำลังคลุ้มคลั่งเพื่อปัดเสิ่นจั้งเฟิงและเสิ่นเตี๋ยออกไป แล้วร้องตะโกนเสียงลั่นด้วยภาษาตี๋ขึ้นมาทันใด!
พวกตี๋สองสามคนที่อยู่รอบกายเขาอาศัยจังหวะว่างหันไปมองตามทิศทางที่เขาตะโกนบอก …คงเป็นเพราะอยู่ท่ามกลางหิมะทำให้การมองเห็นมีจำกัด จึงมองเห็นเพียงว่าห่างออกไปในทิศที่พวกเขามองมา คล้ายมีจุดดำเล็กๆ กำลังพยายามคลานขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเล
จุดดำเล็กๆ นั้นกำลังเดินล้มลุกคลุกคลานเข้ามาท่ามกลางพายุหิมะ กระทั่งถึงจุดที่ใกล้ที่สุด จึงสามารถมองได้ถนัดตาว่าเป็นเป็นเด็กหนุ่มชิวตี๋ที่อยู่ในวัยกึ่งผู้ใหญ่คนหนึ่ง อย่างมากก็อายุแค่สิบสามสิบสี่ปี แต่กลับกำลังกอดคันธนูคันหนึ่งที่สูงเกือบเท่าตัวเขา สะพายถังลูกธนูยาวปลายขนนกถังหนึ่งบนแผ่นหลัง
เด็กหนุ่มผู้นี้สวมหนังแกะบางๆ ริมฝีปากแข็งจนเป็นสีเขียวคล้ำ ตัวทั้งตัวสั่นเทาอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ทว่ามือที่กำคันธนูเอาไว้กลับมั่นคงดังขุนเขา เขามาถึงที่ใกล้ๆ และมิได้เข้าร่วมรบ เพียงแค่ยืนอยู่นอกวงพื้นที่รบเท่านั้น ดวงตาจดจ้องไปที่สองฝ่ายซึ่งกำลังเข้าโรมรันกันด้วยสายตาสงบนิ่งแต่สับสน …ในเวลานั้น ชาวตี๋สองสามคนพลันหันหน้ามาร้องตะโกนใส่เข้า กระทั่งมีบางคนถ่มน้ำลายไปทางเขา แต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับมิได้สนใจ เพียงร้องเสียงดังตอบไปทางหัวหน้าพวกตี๋หลายคำด้วยภาษาตี๋
หัวหน้าพวกตี้ผู้นั้นได้ยินคำก็โมโหโกรธายกใหญ่ ถ่มน้ำลายแรงๆ ลงบนพื้นหนหนึ่ง ตะโกนตอบไป เสิ่นจั้งเฟิงเคยเรียนภาษาตี๋มาก่อน เพียงแต่สองคนนี้พูดเร็วนัก อีกทั้งกำลังต่อสู้จึงไม่มีเวลามาตั้งใจฟัง เขาจึงฟังเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง พอจะเข้าใจว่าพวกตี๋เหล่านั้นกำลังกล่าวโทษที่เด็กหนุ่มชาวตี๋ลงมือ แต่เด็กหนุ่มชาวตี๋กลับบอกกับหัวหน้าว่าตนเป็นคนชั่วชีวิตเขาเอาไว้ หัวหน้าพวกตี๋เคืองโกรธและกลับรู้สึกว่าตนเองไม่ต้องการความช่วยเหลือของเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่เด็กหนุ่มกลับคิดว่าหากเมื่อครู่นี้ตนไม่ลงมือ ดาบนั้นของเสิ่นเตี๋ย หากไม่ทำให้หัวหน้าตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส…
—————————————–
[1] เจ้อมู่ คือ ต้นหม่อนลิ้นจี่ มีเนื้อไม้แข็งแรงทนทาน หายาก