ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 17 หลิวรั่วอวี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงปลุกให้ตื่น พอมองไปท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว นางจึงอดจะตกใจไม่ได้ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินซูไม่อยู่ในจวนและตนไม่ต้องไปคารวะ นั่นเองจึงได้รู้สึกโล่งใจ
ทางหนึ่งนางหวงก็ถือชุดเสื้อตัวในและช่วยนางสวม ทางหนึ่งก็บอกว่า “วานนี้แม้ฮูหยินน้อยใหญ่จะมิได้บอกว่าให้ฮูหยินน้อยไปเวลาใด แต่ไปคารวะบ้านใหญ่หนแรก ฮูหยินน้อยก็ควรจะให้เช้าหน่อยเป็นดีเจ้าค่ะ”
“เขาไปวังหลวงแล้วหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งจัดผมดกดำซึ่งยาวถึงเข่าของนาง พลางถามไป เสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกเอาไว้แล้วว่าวันหยุดของเขามีถึงวันนี้ และต้องเข้าไปรายงานตัวหลังลาพัก ทั้งต้องไปขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วย
นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยนี่ก็จริงๆ เชียว วันนี้แต่งงานมาก็หลายวันแล้ว ไยเมื่อเอ่ยถึงคุณชายก็ยังเรียกว่า ‘เขา’ นั่น ‘เขา’ นี่อยู่เล่า? ยามคุณชายไปนั้นยังสั่งพวกเราว่าให้ฮูหยินน้อยนอนอีกสักพักเลยเจ้าค่ะ!”
“เอาเสื้อกับกระโปรงมาเถิด พวกเรารีบไปแต่เช้าสักหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่จะได้ไม่ต้องตั้งตารอจนร้อนใจ” เว่ยฉางอิ๋งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำประโยคนั้น พลางกล่าวเร่งขึ้นมา
นางเปลี่ยนเสื้อผ้างดงามหรูหราตามคำแนะนำของนางหวง รีบทานอาหารเช้า แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็เร่งพาคนไปที่บ้านใหญ่
‘เรือนซินอี๋’ ที่บ้านใหญ่อาศัยอยู่นั้นก็เป็นเรือนที่มีประตูใหญ่แยกออกมาเป็นเรือนเดี่ยวเช่นเดียวกับเรือนจินถง เพียงแต่มีจำนวนชั้นนอกในมากกว่าเรือนจินถงหนึ่งชั้น นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเสิ่นจั้งลี่เป็นบุตรบ้านใหญ่คนโตเท่านั้น แต่ก็เพราะบ้านใหญ่ในยามนี้มีบุตรและธิดาจากสายหลักหนึ่งคู่ จึงมีพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้สอยมากกว่าบ้านสาม
หลานสาวคนโตเสิ่นซูจิ่งซึ่งมีอายุสิบปี ยามนี้เริ่มจะเรียนรู้เรื่องการต้อนรับแขกและรับของกำนัลกับมารดาแล้ว เมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาถึงครานี้ นางหลิวจึงโอกาสให้บุตรสาวลองฝึกมือดู… โดยให้เสิ่นซูจิ่งออกไปรอต้อนรับอาสะใภ้ที่นอกประตู แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับอาสะใภ้
หลานสาวผู้นี้พูดจาเรียบร้อยมีมารยาท ใบหน้านิ่งเฉย กริยาท่าทางกำลังพอดี เว่ยฉางอิ๋งล้วนมองเห็นอยู่สายตาและคิดชมอยู่ในใจว่า ‘ดูราวกับเป็นท่านพี่ไจ้สุ่ยยามเด็กๆ’ หากสามารถเปรียบเทียบกับซ่งไจ้สุ่ยตอนเป็นเด็กก็เห็นได้ว่าเสิ่นจั้งจิ่งได้รับการอบรมมาอย่างดีเพียงใด
เมื่อเข้ามาในเรือนชั้นที่สองก็ส่วนของห้องโถงหลัก นางหลิวกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ภายใน หลังจากเว่ยฉางอิ๋งเข้าประตูมาก็พบว่านอกจากนางและบ่าวไพร่แล้ว กลับยังมีสตรีซึ่งสวมชุดยาวทั้งตัวพื้นสีม่วงปักลายดอกไม้ต้นไม้กับกวางคู่หันหน้าชนกัน เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้[1] ปักปิ่นทองเกลี้ยงไม่สลักลวดลายสองอันเอียงๆ อยู่บนม้วยผม นั่งอยู่ที่ที่นั่งรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง
สตรีผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ใบหน้างดงาม เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งนางก็หรี่ตา ก่อนนางหลิวจะเอ่ยปากแนะนำนางก็ลุกขึ้นมาแล้วว่า “ท่านนี้คงจักคือฮูหยินน้อยสามกระมัง? ช่างงดงามเหนือผู้ใด สมกับคุณชายสามของเราดังกิ่งทองใบหยกเสียจริงๆ”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ สตรีผู้นี้แม้ว่าจะยืนขึ้นแล้ว แต่ก็กลับมิได้มีท่าทีจะคำนับนาง… คำกล่าวนี้ก็พูดออกมาไม่เหมือนอย่างบ่าวไพร่พูด แล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่?
แม้นางหลิวจะช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ยังดีที่ยามนี้เอ่ยคำออกมาแล้ว “น้องสะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยังมิทันได้รู้จักท่านน้ากัวกระมัง?
ที่แท้เป็นอนุภรรยาของเสิ่นเซวียน!
เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งเข้าใจ ความจริงแล้วอนุภรรยาครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นบ่าว ต่อให้เป็นอนุที่เป็นที่รักใคร่ปานใด หากว่ากันเรื่องฐานะ จริงๆ แล้วก็ไม่สูงเท่ากับภรรยาที่แต่งเข้าบ้านอย่างถูกต้อง เพียงแต่เห็นชัดว่าท่านน้ากัวผู้นี้ทะนงว่าตนเป็นที่รักใคร่ แม้มิได้ดูเย่อหยิงโอหังอย่างชัดเจน ทว่าจากกริยาวาจาแล้วก็มีการแสดงท่าที่ว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่
นางหลิวและเว่ยฉายอิ๋งล้วนเกิดในตระกูลมีชื่อ เรียนรู้เรื่องฐานสูงต่ำมาแต่เล็ก จึงย่อมไม่ชื่นชอบท่าทางเช่นนี้ของนาง ทว่าท่านน้ากัวก็กลับมีกริยาวาจาดังนี้ และนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงไม่อาจจะทำสิ่งใดกับนางได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าวไปอย่างราบเรียบประโยคหนึ่งว่า “ที่แท้เป็นท่านน้ากัว ข้าเพิ่งจะมา ก่อนนี้กลับไม่เคยพบเลย”
ท่านน้ากัวมองออกว่านางมีท่าทีเฉยชากับตน จึงยิ้มแล้วว่า “ที่แท้ฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะแต่งงานใหม่ ข้าก็มิได้เป็นคนมีหน้ามีตา แต่กลับมาก่อเรื่องก่อราวในเวลาเช่นนี้ เพียงแต่คุณชายรองอุตส่าห์ได้บุตรชายในครานี้ แต่กลับต้องมาสูญเสียไปอย่างน่าประหลาด…ทั้งในอาหารและน้ำชาที่ลวี่เชี่ยวกินดื่มอยู่ทุกวันก็พบว่ามีร่องรอยของยาขับเลือด เรื่องนี้… บังเอิญฮูหยินรองก็ไม่อยู่เสียด้วย ข้าอยากจะขอให้ฮูหยินน้อยใหญ่ช่วยตรวจสอบให้สักหน่อย แต่ฮูหยินน้อยใหญ่ไม่กล้าลงมือเอง จักต้องขอให้ฮูหยินน้อยสามมาช่วยเป็นพยานด้วย…”
นางหลิวกระแอมไอหนหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องภายในเรือนของน้องรอง แม้ว่าน้องสะใภ้รองจะไปบ้านซูกับท่านแม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมา ข้าเป็นพี่สะใภ้คอยช่วยนางดูแลหลานๆ ก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ทว่าเรื่องนี้พาดพิงถึงบุตรของน้องรอง เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ข้าจะกล้าไปก้าวก่ายได้อย่างไร? อีกประการใรเรือนอู๋ฮวานั้น นอกจากน้องสะใภ้รองแล้ว ผู้อื่นข้าก็ไม่ใคร่คุ้นเคยนัก”
เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ด้วยนางหลิวไม่ต้องการจะก้าวก่าย จึงคิดเรียกตนมาและบอกปัดท่านน้ากัวผู้นี้พอให้เรื่องนี้ผ่านไปเสีย? ซึ่งก็มิได้เป็นเรื่องแปลก ตามการวิเคราะห์ของนางหวงคืนวานนี้ หากการแท้งบุตรของลวี่เฉียวเป็นเพราะมีคนลงมือทำร้าย ผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือนางตวนมู่ แต่นางหลิวเองก็จักต้องยินดีกับเรื่องนี้… เพราะเมื่อบ้านสองไร้บุตรชายก็ยากจะมีหน้ามีตาขึ้นมาได้
ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาความกับนางตวนมู่นั้น ยามนี้ผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นว่าที่ประมุขของตระกูลคนต่อไปก็หาใช่เสิ่นเหลี่ยนสือไม่ หากแต่เป็นเสิ่นจั้งเฟิง ยามนี้นางหลิวและนางตวนมู่คงจะเป็นพวกเดียวกันเป็นการชั่วคราว หากไม่ร่วมมือกันล้มบ้านสาม แล้วบ้านใหญ่และบ้านสองจะหันมาห้ำหันกันเองเพื่อสิ่งใด?
ทว่านางหลิวไม่คิดจะล้มนางตวนมู่ แต่นางกัวมารดาของเสิ่นเหลี่ยนสือผู้นี้กลับไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ ไม่ว่ามารดาจะเป็นผู้ใด เป็นลวี่เฉียวก็ดี อิ๋งเฉียวก็ดี อย่างไรก็ตามบุตรชายของบ้านสองย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านน้ากัวและเสิ่นเหลี่ยนสือ ยามนี้อนุภรรยาที่อุ้มท้องบุตรชายคนโตจากอนุของเสิ่นเหลี่ยนสือถูกคนวางยาให้แท้งบุตร ท่านน้ากัวซึ่งตนเองนั้นก็เป็นเพียงอนุภรรยาทั้งยังฝากความหวังไว้กับผู้สืบสกุลของบุตรชายจึงไม่ยอมจะไม่ให้มีการสืบสวนให้ชัดเจน
แต่ยามนี้นางตวนมู่กำลังไปแสดงความกตัญญูโดยการไปช่วยฮูหยินซูที่บ้านตระกูลซู หากพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งไม่ช่วยนางแบ่งเบาและขจัดความลำบากนี้ ทั้งยังฉวยโอกาสก้าวก่ายเรื่องหลังเรือนของนางอีก…ทำเช่นนั้นหามีเหตุผลไม่? ดังนั้นไม่ว่าท่านน้ากัวจะว่าอย่างไร นางหลิวล้วนไม่อาจรับปากให้ตนไปตรวจสอบเรื่องนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตามท่านน้ากัวก็เป็นเพียงอนุภรรยา มิใช่ฮูหยินซู หากเป็นฮูหยินซูเอ่ยความใดให้นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งช่วยเสิ่นเหลี่ยนสือสืบสวนเรื่องหลังบ้านของเขา ว่าเป็นผู้ใดที่บังอาจวางแผนทำร้ายบุตรชายคนโตจากอนุของเสิ่นเหลี่ยนสือ เช่นนั้นนางก็ย่อมต้องปฏิบัติตามคำแล้ว
ดังนั้นนางหลิวจึงยืนยันว่า “เรื่องของบ้านสองนี้ หากมิใช่ท่านแม่หรือน้องสะใภ้รองออกปาก ข้าก็ไม่มีวันกล้าเอ่ยคำใด”
ท่านน้ากัวกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าฮูหยินน้อยใหญ่ลำบากใจ แต่ยามนี้ก็เห็นชัดว่าแม่เฒ่าเติ้งล้มป่วยหนัก หาไม่เหตุใดสองคืนแล้วฮูหยินจึงไม่กลับมา? แม้แต่คุณชายใหญ่ก็ยังไปเยี่ยมมาแล้ว และยังบอกว่าบ้านซูได้เชิญคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไปรักษาที่จวนแล้ว… ยามนี้ฮูหยินจักต้องทั้งเป็นกังวลทั้งเป็นทุกข์ ข้าไม่กล้านำเรื่องนี้ไปรบกวนฮูหยินอีก ส่วนฮูหยินน้อยรองต้องคอยปรนนิบัติฮูหยิน เกรงว่าจะมิได้กลับมาในเร็ววัน ในช่วงเวลานี้ผู้ที่วางแผนทำร้ายลวี่เฉียวก็มิใช่ว่าจะทำลายหลักฐานไปจนหมดแล้วหรอกหรือ? เช่นนี้เมื่อฮูหยินน้อยรองกลับมา แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ?”
ว่าแล้วนางก็สะอื้นไห้ขึ้นมา “น่าสงสารคุณชายรองอุตส่าห์เฝ้ารอบุตรชายจากอนุ ปรากฏว่ายังมิทันได้เห็นหน้าก็กลับหมดหวังเสียแล้ว! หากเพราะร่างกายของลวี่เฉียวมีปัญหาเช่นนั้นก็แล้วไป ทว่าร่างกายของลวี่เฉียวก็ดีๆ อยู่ แต่กลับถูกคนทำร้าย หากไม่สืบดูให้แน่ชัด วันหน้าคนที่ตั้งครรภ์อยู่ในเรือนก็มิใช่ว่าต้องพากันหวาดกลัวไปเสียทุกคนหรือเจ้าคะ?”
แล้วหันมาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ท่านว่า พอเข้าบ้านมาก็เห็นว่าอนุที่กำลังตั้งครรภ์ถูกทำร้าย และยังหาตัวผู้ที่ลงมือไม่ได้ วันหน้าหากท่านตั้งครรภ์แล้วจะไม่รู้สึกหวาดกลัวได้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกไม่พอใจที่นางเอาเรื่องการตั้งครรภ์ของตนมาเปรียบเทียบกันการตั้งครรภ์ของอนุภรรยา จึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “ท่านน้ากัวอย่าได้เสียใจไปเลย หากเสียใจจนเกิดเจ็บป่วย พี่รองก็จักต้องเป็นห่วงท่านน้าอีก”
นางหลิวกล่าวอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าว่า “ท่านน้า มิใช่ว่าข้าไม่เสียใจกับน้องรอง เพียงแต่ท่านดูเอาเถิด ยามนี้ท่านแม่ไม่อยู่ เรื่องน้อยใหญ่ในจวนก็ล้วนเป็นข้าคอยดูแล หลานสาวทั้งสามของน้องรองล้วนยังเล็ก ในเมื่อข้ารับปากน้องสะใภ้รองว่าจะดูแลหลานๆ แทนนางให้ดี ย่อมไม่อาจรับพวกนางมาที่บ้านใหญ่แต่กลับไม่คอยดูแลกระมัง? ยามนี้ข้ายังไม่มีเวลาจริงๆ… คนที่อยู่ทางลวี่เฉียวข้าก็กักตัวไว้หมดแล้ว และให้คนส่งข้าวส่งน้ำให้พวกนาง รอจนน้องสะใภ้รองกลับมาแล้ว เรื่องของบ้านสอง น้องสะใภ้รองย่อมกระจ่างที่สุด ไม่ใช่หรือ?”
ท่านน้ากัวมองเว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง นางหลิวยกเอาเหตุผลว่าไม่มีเวลาว่าง แล้วนางก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านน้ากัวหันเป้ามาที่ตน จึงกล่าวไปว่า “ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรื่องใดๆ ก็ล้วนยังไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าเรื่องภายในบ้านสอง ผู้ที่คุ้นเคยที่สุดก็ยังเป็นพี่สะใภ้รอง ยามนี้พี่สะใภ้รองอยู่ที่บ้านซูกับท่านแม่ ไยไม่ให้คนส่งจดหมายไป เพื่อลองสอบถามความเห็นของพี่สะใภ้รองดู? อย่างไรเสียเรื่องหลังบ้านของพี่รอง ย่อมต้องให้พี่สะใภ้รองเป็นผู้ตัดสินใจ”
สีหน้าแห่งความจนใจพลันฉาบอยู่บนใบหน้าของท่านน้ากัว นางกล่าวว่า “เกรงว่าฮูหยินน้อยรองจะอยู่กับฮูหยิน คงไม่ว่าง…”
“ท่านน้าโปรดวางใจเถิด” นางหลิวรีบต่อความอย่างรวดเร็วว่า “ท่านแม่เองก็เฝ้ารอให้น้องรองได้บุตรชายไวๆ หากรู้เรื่องนี้ จักต้องไม่ยอมไม่ให้น้องสะใภ้รองกลับมาเป็นแน่!”
“แต่ยามนี้ฮูหยินคอยดูแลแม่เฒ่าซ่งอยู่ หากยังให้ฮูหยินต้องเป็นกังวลกับเรื่องในจวนอีก…” ท่านน้ากัวขบริมฝีปาก
นางหลิวยิ้ม “ท่านน้าอย่าได้เป็นกังวล บุตรชายจากอนุของน้องรองที่ไร้วาสานาจะอยู่ด้วยกันผู้นี้ ก็มิใช่ว่าเป็นหลานของท่านแม่เช่นกัน? ท่านแม่จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านน้ากัวก็ไม่มีคำพูดใดจะพูดอีก เพียงแต่ถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวคำไหว้วานอีกสองสามประโยคแล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว
รอจนนางไปแล้ว นางหลิวจึงยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า “ต้องขออภัยน้องสะใภ้สามจริงๆ เจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมาก็ต้องรบกวนเจ้าเช่นนี้”
“พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งรีบบอก “เขากลับรู้สึกผิดเสียอีก เดิมทีพี่สะใภ้ใหญ่ต้องดูแลทุกเรื่องในบ้านอยู่แล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งซูจิ่งและซูหมิงล้วนต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่คอยสอนสั่งอบรม วันสองวันมานี้พวกของหลานซูโหรวทั้งสามคนก็ต้องมาอยู่ที่บ้านใหญ่อีก… มีเรื่องต้องวุ่นวายเช่นนี้ ข้ากลับช่วยสิ่งใดไม่ได้เลย ช่าง…”
นางหลิวโบกมือ กล่าวว่า “ก็เพียงแค่ไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของบ้านสอง จึงจงใจพูดให้ท่านน้ากัวฟังเท่านั้น แม้พวกหลานๆ จะยังเล็ก แต่ก็รู้ความยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรั่วอวี้คอยช่วยดูแล ส่วนเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ท่านแม่ก็ได้จัดระเบียบต่างๆ เอาไว้นานแล้ว ข้าก็เพียงคอยดูสักหน่อยเท่านั้น”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจแล้วว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่สะใภ้รองไปบ้านซูกับท่านแม่ บ้านสองก็กลับต้องมาเกิดเรื่องเช่นนี้ วานนี้ ทะ…ท่านพี่ได้ยินเรื่อง ก็ยังเป็นกังวลเรื่องพี่รองเป็นอย่างยิ่งเชียวเจ้าค่ะ!”
“เฮ่อ ก็ไม่ใช่หรือไร?” เห็นชัดว่านางหลิวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของลวี่เฉียวมากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “กลางวันแล้ว หากน้องสะใภ้สามไม่รังเกียจ ก็รับอาหารที่บ้านพี่สะใภ้นี่เถิด”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำเกรงใจไปสองประโยคจึงตกลงรับปาก
พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองคนสนทนาสรรพเหระกันสักพัก เมื่อศาลาทางด้านหลังตระเตรียมพร้อมแล้วจึงได้มาเชิญ นางหลิวและนางเชื้อเชิญกันไปมาแล้วจึงเข้าไปภายใน กลับพบว่าในศาลามีคนกลุ่มหนึ่งรอยู่แล้ว
นอกจากพวกของเสิ่นซูจิ่งซึ่งเป็นรุ่นลูกแล้ว ก็ยังมีเด็กสาวอายุน้อยผู้หนึ่งหันหลังให้พวกนาง และกำลังก้มลงไปเช็ดหน้าให้แก่เสิ่นซูเหยียนซึ่งมีอายุน้อยที่สุด เมื่อมองจากด้านหลัง เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนแคบสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเหมยเล็กๆ คาดกระโปรงสีขาวนวลจันทร์ลายดอกไม้เล็กๆ เอวคาดผ้าแพรห้าสี คล้องผ้าคล้องแขนไหมปักดิ้นลายดอกไม้นานาชนิด มวนผมสองช่อเป็นวงอยู่ข้างบนศีรษะและรวบผมด้านหลังเอาไว้ ปิ่นอุบะระย้าผลึกแก้วสองอันที่ปักอยู่บนมวยผมไหวโบกอยู่เบาๆ ตามลมอ่อนที่โชยผ่านศาลามา แสงต้องผลึกแก้วและหักเหออกมาเป็นลำแสงเจ็ดสี สะท้อนออกมาเสียจนมีลำแสงเปล่งประกายอยู่บนม้วยผมดำขลับของนาง เมื่อได้ยินเสียงของพวกเสิ่นซูจิ่งกล่าวคำทักทาย เด็กสาวผู้นี้จึงรีบหันหน้ากลับมา จากนั้นก็คำนับอย่างนอบน้อม “พี่เจ็ด!”
นางหลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ทุกคนไม่ต้องคำนับ” แล้วจึงแนะนำแก่เว่ยฉางอิ๋งว่า “นี่ก็คือรั่วอวี้ บุตรสาวคนโตในสายหลักของท่านอาห้าของข้า”
แล้วแนะนำตัวเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “นี่คือพี่เว่ย”
เว่ยฉางอิ๋งสังเกตดูหลิวรั่วอวี้ นางมีใบหน้าขาวผุดผ่องรูปเมล็ดแตง คิ้วโก่งดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คือปากเล็กๆ ทรงผลอิงถาว มีสีแดงตามธรรมชาติ ยามยิ้มปิดปากจึงดูนิ่มนวนอ่อนช้อยยิ่ง นับเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง เพียงแต่หลัวรั่วอวี้ผู้นี้แม้จะงดงามดังว่า ทว่าใบหน้ากลับค่อนข้างซีดขาว รูปร่างก็ดูซูบผอม ราวกับต้องใช้ชีวิตอย่างข้นแค้นมาโดยตลอด บวกกับความกลัดกลุ้มที่ปกคลุมอยู่บนใบหน้า ทั้งตัวนางให้ความรู้สึกของความอ่อนแอที่ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ลม ความบอบบางและเก็บกดที่ถูกข่มเหงรังแกมาอย่างเต็มที่
ก่อนนั้นนางว่านก็ได้บอกเป็นนัยแล้วว่าหลัวรั่วอวี้ผู้นี้ หลังจากไร้มารดามาแต่เล็ก เมื่อมารดาใหม่เข้าบ้านก็ไม่ดีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง แล้วนางก็ไม่มีพี่ชายหรือน้องชายแท้ๆ คอยช่วยเหลือ มีเพียงนางหลิวพี่สาวร่วมตระกูลผู้นี้ที่คอยรับนางให้มามีวันคืนดีๆ สักวันสองวันอยู่เป็นประจำ ความสุขในช่วงเวลาที่นางอยู่ในบ้านหลิวนั้นห่างไกลกับยามที่อยู่ในบ้านเสิ่นมากนัก ในยามนี้เมื่อเห็นว่าหลิวรั่วอวี้มีท่าทีคอยระวังเนื้อระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา จึงยิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวว่า “คราก่อนก็ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยว่าน้องหลิวอยู่ที่นี่ เดิมทีอยากจะมาดูน้องหลิว แต่จนใจที่ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา มีหลายเรื่องที่ต้องทำ จนกระทั่งวันนี้จึงเพิ่งได้พบน้องหลิว ข้าก็คิดว่าพี่สาวน้องสาวของพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีตั้งมากมาย เหตุใดจึงรับแต่น้องหลิวเพียงผู้เดียวมาอยู่ที่นี่อยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้พบจึงรู้แล้ว… หากข้ามีน้องสาวที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ก็จักต้องรับนางให้มาพบปะกันบ่อยครั้งเช่นกัน”
________________________________
[1] ผมทรงตั้วหม่าจี้ เป็นทรงผมที่ม้วนเอามวยผมเอียงไว้ที่ข้างหนึ่งของศรีษะ