ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 178-1 ครบเดือน
อาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินบอกว่าไม่สบาย บ้านอารองก็กำลังไว้ทุกข์จึงต้องหลีกเลี่ยงไม่มาเยี่ยม …และดีที่ต้องหลีกเลี่ยง หาไม่เมื่อสองฝั่งมาพบกัน ต่างฝ่ายล้วนต้องไม่สบายใจ ญาติๆ ของเว่ยฉางอิ๋งทางนี้ ทั้งเว่ยอวี้และพระชายารุ่นอ๋องซึ่งเป็นญาติห่างๆ ล้วนให้บ่าวคนสนิทนำของกำนัลมามอบให้ เมื่อเห็นทารกที่เพิ่งเกิดแล้วเอ่ยคำสิริมงคลต่างๆ ก็นับว่าเสร็จพิธีแล้ว รอเพียงให้ถึงงานเลี้ยงครบเดือนค่อยมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง
กลับเป็นอาหญิงใหญ่เว่ยเซิ่งเซียนที่แทบจะมาเยี่ยมวันเว้นวัน
เว่ยเซิ่งเซียนมาหาบ่อยครั้งเพียงนี้ ความจริงมีเพียงสามส่วนที่มาเพราะ เว่ยฉางอิ๋ง อีกเจ็ดส่วนล้วนเพราะบุตรชายผู้นี้ของนาง เพราะตัวเว่ยเซิ่งเซียนเองไร้บุตรชาย นางจึงรักใคร่บรรดาคุณชายในตระกูลซ่งนักหนา แต่นั่นก็เป็นเพียงหลานชายฝั่งบ้านสามี แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับเป็นหลานสาวแท้ๆ ของนาง บุตรชายของเว่ยฉางอิ๋งยังมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนางด้วย เว่ยเซิ่งเซียนจึงยิ่งชื่นชอบนัก แทบทุกสามวันห้าวันไม่ได้มาดูสักหนก็คิดถึงเสียจับใจ
ฮูหยินซูและเว่ยเซิ่งเซียนเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มาเยี่ยมอย่างกระตือรือร้นที่สุด และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
เว่ยเจิ้งอินและเว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่อาจปลอบโยนเว่ยเซิ่งเซียนเรื่องแต่งงานของ ซ่งซีเยวี่ยกับหลิวซีสวินได้ แต่กลับเป็นฮูหยินซูเสียอีก เมื่อรู้เรื่องที่นางเป็นกังวลกลับช่วยปลอบนางได้แล้ว “เรื่องที่พวกเราก็ยังมองออก แล้วเวยหย่วนโหวจะไม่เข้าใจหรือ? แม้จะบอกว่าหากทำตามวิธีที่ดีที่สุด ด้วยการเลือกบุตรสาวจากภรรยาเอกซึ่งเป็นที่รักยิ่งในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ให้คุณชายสิบหกก็จะเป็นแรงสนับสนุนที่ดีสำหรับเขา แต่ในเขตทะเลนี้มีเพียงหกตระกูลที่เรียกขานได้ว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์ และแม้จะเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกในสายหลัก แต่นางต้องเป็นที่รักและเก่งกาจจึงจะเป็นแรงสนับสนุนภายในที่ดีให้แก่คุณชายสิบหกตระกูลหลิวได้ …หากเว่ยหย่วนโหวหาได้ แล้วจะต้องรอให้สมุหกลาโหมมาเป็นธุระให้หรือ?”
เว่ยเซิ่งเซียนจึงขอคำชี้แนะไปว่า “ฮูหยินซูท่านหมายความว่า…?”
“ท่านดูบ้านเสิ่นของเรา จั้งหนิงเป็นที่รักของบิดานางเสียยิ่งนัก แต่เพราะนิสัยนอกลู่นอกทางของนาง! ข้าเป็นแม่นางก็ยังปวดหัว! เวยหย่วนโหวต้องไม่กล้ามาสู่ขอนางแน่ หาไม่ตั้งหลายปีก่อนก็สามารถมาเอ่ยปากสอบถามได้แล้ว แล้วท่านไปมองดูบ้านฝั่งแม่ของท่าน ฉางอิ๋งนั้นดีนักหนา ทว่าถูกหมั้นหมายให้เฟิงเอ๋อร์ของบ้านข้าตั้งแต่อยู่ในผ้าอ้อม ส่วนลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของนางอีกสองสามคนนอกนั้น มิใช่ว่าข้าต่อว่าบ้านดองหรอกนะ ประการแรกไม่เป็นที่รักทัดเทียมนาง ประการที่สองคุณหนูสองสามท่านนั้นไม่อาจบอกได้ว่าไม่ดี แต่เมื่อเทียบกับฉางอิ๋งแล้วก็ยังด้อยกว่ามาก ท่านว่าจริงหรือไม่?” เวลานี้ฮูหยินซูพึงพอใจสะใภ้สามของตนอย่างยิ่งที่มีหลานชายมาให้ ยามอยู่ต่อหน้าอาของสะใภ้สามจึงบอกว่าสะใภ้ผู้นี้ดีนักหนา ยกยออยู่สักพักจึงพูดต่อไปว่า “ตระกูลซ่งมีคุณหนูใหญ่เพียงผู้เดียว เรื่องใดก็ล้วนดีไปหมด แต่กลับมีชะตาอาภัพนัก! บุตรสาวบ้านตวนมู่มีมากมาย ทว่าพอมีมากแล้วก็มีบางบ้านที่อบรมได้ไม่ดี จึงทำให้เห็นว่ามีดีแย่แตกต่างกันไป! หลานสาวบ้านฝั่งแม่ข้าก็มีอยู่หลายคน ทว่าหากไม่หมั้นหมายไปนานแล้วก็เพิ่งจะมาหมั้นหมายเร็วๆ นี้จนหมดแล้ว”
“ฉะนั้น ท่านว่าเวยหย่วนโหวเสนอบุตรสาวคนโตของท่าน และในชั่วเวลาที่เขาก็หาเด็กสาวที่เหมาะสมไม่ได้ แต่กลับจะมาสร้างความแค้นกับตระกูลซ่งทั้งสองบ้านอีก เพื่อสิ่งใดกัน? ยังมิสู้มาแต่งงานดังนี้เสียดีกว่า! เพราะอย่างไร ไม่ว่จะมองคุณหนูในจวนท่านเช่นใดก็ดีไปหมด ประสาอะไรที่ในเมื่อสมุหกลาโหมสามารถกำหนดการแต่งงานให้หลานชายร่วมตระกูลคราหนึ่ง แล้วจะไม่อาจกำหนดอีกเป็นคราที่สอง? แต่หากบอกปัดไปทุกครั้ง แล้วคุณชายหลิวสิบหกผู้นี้จะได้แต่งภรรยาหรือไม่?”
ฮูหยินซูเตือนอย่างมีนัยยะสำคัญว่า “ไม่ว่าจะว่าอย่างไรท่านก็เป็นบุตรสาวของประมุขตระกูลเว่ย ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านท่านก็ขึ้นชื่อเรื่องรักใคร่บุตรหลาน จะทนมองดูให้คุณหนูในจวนท่านถูกคนรังแกอย่างไร้เหตุผลได้หรือ ยิ่งไม่ต้องบอกว่าถูกวางแผนทำร้ายเลย! เวยหย่วนโหวเองก็มิได้โง่ แม้จะคิดว่าท่านผู้ตรวจการซ่งมิใช่บุตรหลานในสายหลัก จึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ย่อมจดลงบัญชีดำของสมุหกลาโหมไปแล้ว จะเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่จวนท่านที่ใดกัน? ไยต้องพาลไปโมโหโกรธาคนที่ไม่รู้เรื่องเพื่อก่อความแค้นเล่า? ตามความเห็นข้า ขอเพียงคุณหนูใหญ่จวนท่านปฏิบัติตามจารีตธรรมเนียมของภรรยา ตระกูลหลิวก็จะไม่มาคอยสร้างความลำบากให้คุณหนูใหญ่ของจวนท่าน เพราะไม่ว่าอย่างไรทั้งท่านและท่านผู้ตรวจการซ่งก็ล้วนเป็นคนใน ตระกูลสูงศักดิ์ มิได้ต่ำต้อยกว่าตระกูลหลิวแต่อย่างใด”
คำพูดนี้ทำให้เว่ยเซิ่งเซียนผ่อนคลายลงได้ในทันใด และรู้สึกซาบซึ้งใจต่อฮูหยินซูอย่างล้นเหลือ พลางเยาะตนเองว่าคิดมากเกินไป จนทำให้ตนเองตื่นตกใจไปหมด ปลายปีก่อนยังล้มป่วยไปหลายวันด้วย
ฮูหยินซูพูดอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “สองปีก่อนฉางอิ๋งเคยถูกคนลอบสังหารมาก่อน คิดว่าท่านก็คงเป็นห่วงหลานสาวเช่นกัน เห็นหรือไม่เล่า เรื่องนั้นก็มิใช่ว่าคิดมากไปแล้วหรือ? แต่ก็มิเป็นไร คนเป็นแม่มักคิดมากสักหน่อยเสมอ พวกเราล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ก่อนนี้ครั้งเฟิงเอ๋อร์บ้านข้าไปประลองยุทธหน้าพระที่นั่ง เพราะเขาเข้าช่วยสหายร่วมงานจึงได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย เวลาผ่านไปกว่าครึ่งปีแล้วข้าก็ยังคงไม่วางใจ จึงให้ฉางอิ๋งพาเขาไปให้ท่านหมอเทวดาจี้ตรวจอาการดู ปรากฏว่าพอท่านหมอเทวดาตรวจดูก็พบว่าเขาไม่เป็นไรแล้ว ยังนึกว่ามาแกล้งเขาเสียอีก! จึงบัดดาลโทสะยกใหญ่! ก่อนนั้น เฟิงเอ๋อร์ก็บอกว่าพวกเราทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว แต่คนเป็นแม่ย่อมยอมจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เอาไว้ก่อน ก็ด้วยกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับพวกเขานั่นเอง”
เว่ยเซิ่งเซียนรู้สึกเช่นเดียวกันอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ท่านกล่าวถูกต้องยิ่งนัก! พวกเราอายุปูนนี้ พบเห็นสิ่งใดจะไม่รู้สึกเฉยชา? ดีชั่วอย่างไรชีวิตนี้ก็มีเพียงเรื่องนี้แล้ว เรื่องที่ต้องเป็นห่วงในวันนี้ ก็มิใช่ล้วนเป็นเรื่องของลูกๆ หรอกหรือ?” แล้วเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “ฮูหยินซูท่านมีวาสนาดีกว่าข้ามากนัก บ้านท่านมีทายาทพรั่งพร้อมเพียงนี้ แต่ข้ากลับไร้วาสนา มีบุตรสาวเพียงสองคนเท่านั้น”
ฮูหยินซูปลอบนางว่า “แม้ท่านจะมีวาสนาเรื่องบุตรชายน้อยไปสักนิด ทว่าบุตรสาวก็มีวาสนาดี คุณหนูทั้งสองคนของท่านแต่ละคนล้วนเพียบพร้อมไปด้วยกริยามารยาท! ไม่ปิดบังท่าน บุตรสาวคนโตของข้ากลับยังดี แต่บุตรสาวคนเล็กนั้น เรื่องอนาคตของนางนั้นพูดยากจริงๆ!”
“ท่านถ่อมตนเกินไปแล้ว!” เว่ยเซิ่งเซียนรีบเอ่ย “บุตรสาวของท่านจะบกพร่องเรื่องจารีตธรรมเนียมได้ที่ใด? ท่านจะพูดให้ย่ำแย่เพียงใดก็ไม่มีคนเชื่อหรอกเจ้าค่ะ”
ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองมองดูเด็กน้อยพลางสนทนาถึงประสบการณ์เรื่องบุตรธิดา ระหว่างนั้นก็สนทนาเรื่องข่าวใหม่ๆ ในเมืองหลวงบ้าง ครื้นเครงสนุกสนานนักหนา …คนทั้งบ้านล้วนปรองดองกันดังนี้จนถึงวันครบหนึ่งเดือน ….
เว่ยฉางอิ๋งตื่นแต่เช้าให้คนมาช่วยปรนนิบัติตนอาบน้ำอย่างมีความสุข รู้สึกแต่ว่าอารมณ์ดีปลอดโปร่งไปหมด
เมื่อเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าหรูหราที่เร่งมือตัดเย็บออกมาเรียบร้อยแล้ว นางก็ส่องกระจกดูตัวเอง และเห็นว่านางสมบูรณ์กว่าก่อนตั้งท้องไม่น้อยเลย เวลานี้เสื้อผ้าที่ใช่ก่อนหน้านี้ก็สวมไม่ได้แล้ว ชุดพิธีการซึ่งตัดเย็บมาเพื่องานฉลองครบเดือนโดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่ตอนวัดตัวยังคงนอนอยู่บนตั่งไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น จึงตั้งใจเผื่อขนาดเข้าไปอีกเล็กน้อย ดีที่เป็นดังนั้น เมื่อสวมแล้วก็จะได้ไม่แน่น ผู้คนนิยมสตรีที่มีร่างกายอ้อนแอ้น เมื่อคิดถึงรูปร่างอรชรของตนที่ใครๆ ก็อิจฉาเมื่อก่อนนี้ ในใจก็อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาสักหน่อยไม่ได้
ทว่าเมื่อหันตาไปเห็นห่อผ้าห่อตัวที่นางหวงอุ้มมา ในผ้าห่อตัวลายเมฆทรงสี่เหลี่ยมหรูอี้สีแดง ใบหน้าน้อยๆ ที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่โตขึ้นมาไม่น้อย ใจของเว่ยฉางอิ๋งก็อ่อนปวกเปียกเป็นธารน้ำ ความเสียดายอันใดล้วนโบยบินหายไปอยู่บนเมฆชั้นเก้าโน่นแล้ว
“เหตุใดยามนี้จึงมาหลับเสียแล้ว” พูดนั่นพูดไปเช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งกลับกลัวว่าจะเสียงดังทำให้ลูกชายตื่นเสีย นางจึงรับมาอุ้มเอาไว้ในอกอย่างระมัดระวัง กดเสียงลงต่ำ ถามเสียงเบาๆ ว่า “อีกประเดี๋ยวยามอยู่ในงานเลี้ยงครบเดือน ต้องให้เขาออกไปเผยหน้าเผยตานะ หรือจะให้นอนหลับอยู่เช่นนี้หรือ?”
—————————-