ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 179-2 เรื่องน่ายินดีอีกเรื่องหนึ่ง
ตามความคิดของฮูหยินซูคิดว่าควรจะต่อว่าตวนมู่เยี่ยนอวี่ไปสักสองสามคำ ทว่าเมื่อก้มหน้าลงมองดูหลานชายตัวน้อยในห่อผ้าฮูหยินซูก็กลับเปลี่ยนใจแล้ว แอบคิดในใจว่าบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของบ้านสามอายุครบเดือนแล้ว จนยามนี้แม้แต่บุตรชายจากอนุบ้านสองก็ยังไม่มี ต่อให้เป็นตวนมู่เยี่ยนอวี่เองก็ย่อมร้อนใจ จึงเผยข่าวคราวเรื่องอนุของสามีตั้งครรภ์เด็กชายที่เดิมทีคิดจะปิดบังเอาไว้สักพักเพื่อตอบโต้คำพูดเพียงประโยคเดียวทีเสิ่นซูจิ่งพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
แม้โดยนามแล้วฮูหยินซูจะมีบุตรชายหกคน แต่ที่เป็นบุตรชายแท้ๆ ของนางมีสามคน ระยะนี้นางคบหาสมาคากับเว่ยเซิ่งเซียน และเข้าใจความลำบากของสตรีที่ไร้บุตรชาย ใจจึงอ่อนลง ตัดสินใจว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและปล่อยให้เรื่องผ่านไปดังนี้ แล้วสั่งความเหล่าสะใภ้ว่า “แขกเหรื่อคงจะมาถึงแล้ว อี๋เอ๋อร์และเยี่ยนอวี่ไปต้อนรับสักหน่อย ส่วนฉางอิ๋งและพวกเด็กๆ ให้อยู่กับข้าที่นี่เถิด”
นางหลิวและนางตวนมู่รีบลุกขึ้นมารับคำ นางหลิวมองดูบุตรสาวคนโตที่กำลังอยู่ในอาการสลด จึงร้องขอขึ้นมาว่า “ท่านแม่เจ้าคะ จิ่งเอ๋อร์ก็อายุสิบเอ็ดขวบแล้ว ยามนี้สะใภ้เริ่มสอนนางเรื่องการดูแลบ้านเรือนบ้างแล้ว วันนี้มีแขกมามาก สะใภ้ขอพานางไปเปิดหูเปิดตาที่ประตูรองด้วยกันได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ฮูหยินซูรู้ว่านางหลิวต้องการอาศัยโอกาสนี้ไปอบรบเสิ่นซูจิ่งว่าทำผิดที่ใด และควรจะจัดการอย่างไร จึงพยักหน้าแล้วว่า “ก็ดี แต่ก็อย่าเข้มงวดกับลูกเกินไปเล่า ยังอีกสี่ปีกว่านางจะปักปิ่นนะ! หากนางเหนื่อยแล้วก็ปล่อยนางกลับมา”
นางหลิวรับคำ เสิ่นซูจิ่งจึงวางลูกผู้น้องลง ขอตัวกับญาติผู้ใหญ่แล้วจากไป
งานฉลองครบเดือนครานี้ นอกจากเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เสิ่นซูจิ่งไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดขึ้นในช่วงก่อนแขกจะมาถึงแล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่นดี
เว่ยฉางอิ๋งถูกแม่สามีพาไปอยู่ข้างๆ กายตลอดเวลา ประการแรกเพราะนางเป็นมารดาแท้ๆ ของเสิ่นซูกวง …นามของคุณชายหลานรองตระกูลเสิ่นประกาศออกมาในงานเลี้ยงหนนี้แล้ว ในวันนี้จึงไม่ต้องออกไปต้อนรับแขก ประการที่สอง เพราะนางเป็นสะใภ้สามที่ฮูหยินซูคิดอยากชี้แนะและสอนนางด้วยตนเองเกี่ยวกับรายละเอียดในการคบค้าสมาคมกับผู้คนเหล่านี้
โอกาสเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องตั้งใจเรียนรู้ ระหว่างนั้นกลับมีเรื่องหนึ่ง ทว่าก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใด …นอกจากแม่เฒ่าเติ้งจะพานางเฉียนสะใภ้ใหญ่และนางจางสะใภ้รองมาด้วย ก็ยังมีฮูหยินหน้าตางดงามสวมชุดหรูหรามาด้วยอีกหนึ่งคน แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของเว่ยเจิ้งอิน
เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเอ่ยถามถึงอาหญิงรองด้วยความเป็นห่วงไปสองสามคำไม่ได้ แม่เฒ่าเติ้งพูดโกหกไม่เป็น และรู้ว่าก่อนหน้านี้ตระกูลเสิ่นเคยบอกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะจะนำมาพูดกับเว่ยฉางอิ๋ง และไม่รู้ว่าเวลานี้ควรพูดหรือไม่ จึงพูดอย่างคลุมเครือไปว่า “เจ้าลองถามป้าสะใภ้และน้าสะใภ้รองของเจ้าดู ข้าเองก็ไม่รู้ชัดนัก”
เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าท่านยายผู้นี้เป็นคนใจดี หาใช่คนที่จะไม่ไปไถ่ถามถึงความเป็นตายของสะใภ้ นางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดีที่นางเฉียนและนางจางดูออกว่านางยังไม่รู้เรื่องนี้ คิดว่าในเมื่อบ้านเสิ่นก็ยังไม่พูด ตนเองซึ่งเป็นญาติห่างๆ ก็ไม่ควรไปบอกเช่นกัน จึงพากันหาทางหลบเลี่ยง แล้วแนะนำสตรีหน้าตางดงามในชุดหรูหราผู้นั้นว่า “นี่คือองค์หญิงหลิงเซียน”
“หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิงเพคะ!” ความจริงแล้วตอนที่เว่ยฉางอิ๋งเห็นสตรีโฉมงามผู้นี้ก็จำได้แล้วว่าเป็นองค์หญิงหลิงเซียนที่นางเคยเห็นครั้งหนึ่งตอนไปร่วมงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนเมื่อปีที่แล้ว เพียงแต่เหล่าป้าและน้าสะใภ้ไม่ได้แนะนำจึงแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ เมื่อมาได้ยินเข้าจึงถวายบังคมไปด้วยฐานะสามัญชน พระธิดาขององค์หญิงหลิงเซียนหมั้นหมายกับนางน้องชายแท้ๆ ของนาง ที่นางมากับพวกของแม่เฒ่าเติ้งในวันนี้ก็เพื่อจะได้กระชับความสัมพันธ์กัน นางจึงไม่ยอมรับการถวายคำนับอย่างเต็มพิธีของเว่ยฉางอิ๋ง รีบเอื้อมมือไปประคองนางเอาไว้ ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “วันนี้พวกเรามาอวยพรเจ้าในฐานะญาติ เจ้าอย่าได้ถือพิธีรีตองใดเลย”
แล้วเอ็ดนางเฉียนและนางจางว่า “พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นอาสะใภ้สี่ก็พอแล้ว ไยต้องเอ่ยว่าเป็นองค์หญิงอันใดด้วย?”
นางเฉียนและนางจางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อย่างไรก็ต้องพูดเพคะ ต่อให้แนะนำไปก่อนว่าท่านเป็นอาสะใภ้สี่ หรือว่าต่อไปไม่ต้องบอกว่าอาสะใภ้สี่ผู้นี้เป็นผู้ใดเพคะ?”
คำพูดนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่าองค์หญิงหลิงเซียนไม่ได้วางท่าอย่างองค์หญิงเลยแม้แต่น้อย หากไม่แล้วก็จะไม่ดูสนิทสนมกับนางเฉียนและนางจางเช่นนี้ ทว่า องค์หญิงผู้นี้ไม่เป็นที่โปรดปรานเพียงนั้น ทั้งมารดาก็ยังถูกถอดยศให้เป็นสามัญชน คิดไปแล้วต่อให้อยากจะวางท่าเป็นองค์หญิงก็คงจะยาก แม่ยายที่เป็นดังนี้ย่อมไม่ถือตนว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และมาข่มเหงรังแกบุตรเขยแน่ ทว่าก็กลับแทบไม่มีแรงสนับสนุนใดๆ …สายตานางจึงปรายไปยังเด็กสาวในชุดเขียวอ่อนที่อยู่ข้างกายองค์หญิงหลิงเซียนอย่างอดไม่ได้
กลุ่มของแม่เฒ่าเติ้งก็มีเพียงเด็กสาวชุดเขียวอ่อนที่เป็นคนรุ่นหลานเพียงคนเดียว เพราะซูอวี๋ลี่และซูอวี๋หลีล้วนออกเรือนแล้ว ย่อมต้องติดตามทางบ้านสามี ส่วนซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินแม้ว่าเพิ่งจะหมั้นหมาย แต่พวกนางคุ้นเคยกับบ้านของท่านป้ายิ่งนัก พอเข้ามาในเรือนหลังก็วิ่งไปหาลูกผู้น้องเสิ่นจั้งหนิงแล้ว เมื่อเด็กหญิงทั้งสามคนอยู่ด้วยกัน ประเดี๋ยวเดียวก็วิ่งหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว จะไปตามหาพบได้ที่ใด?
เด็กสาวในชุดเขียวอ่อนผู้นี้โดดเด่นจับตาเป็นพิเศษยามอยู่ท่ามกลางฮูหยินมีอายุทั้งกลุ่ม …ในงานเลี้ยงคราก่อน นับแต่เว่ยฉางอิ๋งหันมองตามที่ซูอวี๋ลี่ชี้ให้ดู ก็จำได้ว่าซูเนี่ยนชูมีรูปโฉมงดงามไม่เลวแล้ว ยามนี้เมื่อมองดูอย่างละเอียด ก็นับว่านางเป็นคนงามที่มีดวงตาโตฟันเรียงสวยจริงดังว่า
เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างปักภาพดอกใบของดอกลำโพงบนผ้าพื้นสีเขียวอ่อน คาดกระโปรงสีทองย้อมจากดอกไม้หอม เกล้าผมเป็นวงโค้งสองวงข้างบนหัวและมัดรวบปลายผม ปักปิ่นรูปดอกทานตะวันมีอุบะร้อยจากมุกเม็ดเล็กๆ ต่างหูหยกหรูอี้ ยามยกมือขึ้นเผยให้เห็นกำไลหยกมันแพะบนข้อมือ ทั้งข้อมือและสีหยกเป็นสีเดียวกัน นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม มีความเงียบเฉยอยู่ท่ามกลางความเคารพนบนอบ ทว่าในความเงียบเฉยก็กลับเผยให้เห็นความคล่องแคล่ว …หากมองเพียงรูปโฉมและสง่าราศี ก็ไม่มีเรื่องใดน่าเกี่ยงงอนเลยจริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งฟัง องค์หญิงหลิงเซียนแนะนำว่า “นี่คือบุตรสาวของข้าเนี่ยนชู วันนี้พานางมาแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย”
ซูเนี่ยนชูเข้าไปแสดงความเคารพและยินดีตามคำ แรกเริ่มนั้นเห็นว่านางดูเป็นคนใจคอกว้างขวางนัก ทว่าพอกำลังจะเอ่ยปาก ไม่รู้ว่านางไปคิดถึงสิ่งใด จู่ๆ ใบหน้าพลันแดงขึ้นมา เสียงก็ต่ำลงไปด้วย พอถูกมารดามองเอาหนหนึ่งจึงกลับมาเป็นปกติ เมื่อถอยหลังกลับไป สองแก้มไปจนถึงลำคอก็ล้วนแดงไปหมด
เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีอย่างสาวน้อยดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันใจอ่อนลงทันใด และคิดถึงวันคืนก่อนและหลังตนเองจะออกเรือน …เหล่าฮูหยินผู้เฒ่าที่มีชั้นเชิงลึกล้ำ มีฝีมือเก่งกล้าเป็นคทาวิเศษคำยันทั้งตระกูลของบ้านใด ที่ไม่เคยเดินผ่านวัยเยาว์หน้าบาง ยามญาติผู้ใหญ่พามาแสดงความยินดีกับว่าที่พี่สามีสักคำอย่างออกหน้าออกตา แล้วต้องหน้าแดงหูแดงเพราะเขินอายเกินจะเอ่ยกันเล่า?
บางที …สมรสพระราชทานครานี้อาจไม่ได้เลวร้ายเช่นที่นางคิดก็เป็นได้?
____________________