ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 18 ขอให้ช่วยรักษา
เมื่อหลิวรั่วอวี้ได้ยินคำ นางพลันหน้าแดงขึ้นมา มองลงต่ำแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “พี่เว่ยกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ขะ…ข้าเป็นคนชักช้างุ่มง่ามนัก แต่เพราะพี่เจ็ดไม่รังเกียจ จึงคอยนึกถึงข้าอยู่เสมอเจ้าค่ะ” น้ำเสียงบางเบาอ่อนนุ่ม ค่อนข้างจะล่องลอย เห็นชัดว่าลมปราณส่วนกลางของนางไม่เพียงพอ
เว่ยฉางอิ๋งมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า “น้องหลิวถ่อมตนเกินไปแล้ว เข้าเห็นว่านิ้วทั้งสิบของน้องหลิวเรียวยาว ก็รู้ว่าจักต้องเป็นคนที่ฉลาดและว่องไว” ที่นางมาวันนี้ก็ได้เตรียมการเรื่องพบปะหลิวรั่วอวี้เอาไว้แล้ว และเตรียมกำไลอันหนึ่งไว้มอบให้นาง ยามนี้จึงได้ถอดออกจากข้อมือมอบให้นางเป็นของกำนัลยามพบหน้า
หลิวรั่วอวี้รีบบอกปัดทันใด นางหลิวยิ้มและบอกไปว่าเว่ยฉางอิ๋งเกรงใจเกินไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่านางยืนยันจะมอบให้ จึงให้หลิวรั่วอวี้รับเอาไว้เสีย
เดิมทีทั้งสามคนยังจะกล่าวคำตามมารยาทไปอีกสักหน่อย แต่เสิ่นซูเหยียนเต้นโหยงเหยงวิ่งเข้ามาดึงกระโปรงของเว่ยฉางอิ๋งอยากจะให้นางอุ้ม เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องโน้มตัวลงไปอุ้มนางขึ้นมา นางหลิวเห็นดังนั้นจึงเรียกให้ทุกคนเข้าที่นั่ง
อาศัยจังหวะนี้ เสิ่นซูเหยียนพลันดึงปิ่นทองมีอุบะห้อยบนมวยผมของเว่ยฉางอิ๋งลงมา… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าผมของตนตกลงมา จึงเผลอร้องเสียงต่ำออกไปหนหนึ่ง แล้วยื่นมือไปจับผมเอาไว้ เสิ่นซูโหรวพี่สาววัยเจ็ดขวบของเสิ่นซูเยียนเงยหน้าขึ้นมาเห็น จึงรีบต่อว่าน้องสาว “น้องสี่อย่าดื้อ รีบเอาปิ่นอุบะคืนแก่ท่านอาสะใภ้สาม!”
เสิ่นซูเหยียนกลับหัวเราะร่าแล้วใช้สองมือชูปิ่นอุบะขึ้นไปปักบนหัวของตน นางเป็นเด็กเล็กๆ อายุเพียงสี่ขวบ ยามนี้บนหัวนางก็ปักได้เพียงลูกปัดดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่สองสามอันเท่านั้น ปิ่นอุบะทองของเว่ยฉางอิ๋งนี้ยาวกว่าสี่ชุ่น แล้วจะปักลงไปได้ที่ใด? กลับทำให้เปียที่ถักเอาไว้อย่างเรียบร้อยหลุดลุ่ยไปหมด
มือหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งอุ้มนาง อีกมือหนึ่งคอยกุมมวยผมเอาไว้ แล้วหัวเราะออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว “ข้าก็หลงนึกว่าซูเหยียนชอบข้า ที่แท้นางกลับชอบปิ่นอุบะอันนี้นี่เอง?” ตัวด้ามปิ่นอุบะทองนี้เป็นทองคำแท้ หัวปิ่นกลับเป็นเส้นทองคำที่สานเป็นรูปนกหลวน[1] ปากนกหลวนคาบพวงพริกเทศ[2]เม็ดกลมเล็กๆ สีแดงเลือด สองตาฝังหินแก้วภูเขาไฟสีดำ บนตัวนกฝังหินโมรา[3]ให้ลำตัวมีห้าเฉดสี ทั้งงดงามและล้ำค่ายิ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าเด็กเล็กๆ ย่อมไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือความล้ำค่า กลายเป็นว่าสีสันที่หลากหลายของปิ่นอุบะนี้ดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก มิน่าเล่าเสิ่นซูเหยียนจึงได้ผละออกมาจากคนที่นางคุ้นเคยทั้งท่านป้าใหญ่และหลิวรั่วอวี้ที่มาคอยดูแลพวกนางได้สองวัน แล้วหันมาขอให้อาสะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาอุ้มนางแทน
นางหลิวเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าซูเหยียนจะชอบเครื่องประดับถึงเพียงนี้ เช่นนั้นวันพรุ่งจะรีบให้คนหาเครื่องประดับเล็กๆ สักชุดให้เจ้า ปิ่นนี้ต้องรอให้เจ้าโตก่อนจึงจะใช้ได้นะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปขอปิ่นจากเสิ่นซูเหยียน คิดจะเอาปิ่นอุบะทองคืนให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง
ไม่คิดว่าว่าเสิ่นซูเหยียนชอบปิ่นอุบะนี้มาก จึงเอาแต่กอดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ เมื่อเห็นเสิ่นซูเหยียนต้องการยึดเอาของของอาสะใภ้สามมาเป็นของตนเองต่อหน้าผู้คนมากมาย เสิ่นซูโหรวจึงอดจะหน้าแดงหูแดงขึ้นมาไม่ได้ ว่าแล้วก็ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามา เขย่งเท้าขึ้นจะเข้าไปแย่งปิ่นมา “รีบเอาคืนให้ท่านอาสะใภ้สาม!”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นซูเหยียนรั้งคอตนไว้ แล้วยกปิ่นอุบะขึ้นสูง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเอาให้พี่สาว นางจึงรีบเอ่ยคำช่วยประนีประนอม “ไม่เป็นไรหรอก ดีชั่วอย่างไรก็เป็นเพียงปิ่นอันหนึ่ง เมื่อซูเหยียนชอบก็ให้นางเล่นเถิด”
เสิ่นซูโรวกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ขอบคุณท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ แต่ท่านแม่เคยบอกไว้ว่าห้ามพวกเราเอาของของท่านป้าใหญ่และท่านอาสะใภ้ตามอำเภอใจ เพื่อมิให้กลายเป็นความเคยชิน และทำให้เสียนิสัยเจ้าค่ะ”
แล้วจึงขู่เสิ่นซูเหยียนว่า “เจ้าจะคืนหรือไม่คืน? ไม่คืน รอจนท่านแม่กลับมา ข้าจะบอกท่านแม่ ดูซิท่านแม่จะตีเจ้าอย่างไร!”
เสิ่นซูเหยียนได้ยินก็หันมองไปที่ปิ่นอุบะแล้วหันไปมองพี่สาว ทั้งสองฝั่งล้วนทำให้นางลำบากใจ ว่าแล้วดวงตาโตๆ ดังลูกองุ่นดำก็เป็นประกายวิบวับขึ้นมา และเสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้น… ครานี้ทุกคนจึงไม่ต้องทานอาหารกันแล้ว และต้องรีบมาปลุกปลอบนางแทน
นางหลิวกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย อย่ากลัว ท่านแม่พวกเจ้ายังอยู่ที่บ้านท่านยายทวดโน่น ตอนนี้ยังกลับมาไม่ได้ ตีเจ้าไม่ได้หรอก พี่รองของเจ้าแค่ขู่เจ้าเท่านั้น อย่าร้อง นะ อย่าร้องไปเลย!”
เสิ่นซูโหรวทำปากจู๋ “ท่านป้าใหญ่เจ้าคะ เมื่อท่านแม่กลับมา ข้าจะต้องบอกท่านแม่แน่ๆ เดิมทีน้องสี่ก็ไม่ควรไปเอาของของท่านอาสะใภ้มานะเจ้าคะ!”
เมื่อเสิ่นซูโหรวว่าเช่นนี้ เสิ่นซูเหยียนก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก เว่ยฉางอิ๋งรีบให้สัญญาว่าพอถึงเวลาก็จะช่วยนางพูดขอร้องให้ แต่แล้วเสิ่นซูโหรวก็พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาสะใภ้สามเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ หากพวกพี่ๆ น้องๆ ทุกคนเห็นของดีๆ ของท่านอาสะใภ้สามแล้วเอาไปโดยไม่บอกกล่า แล้วจะต่างสิ่งใดกับการขโมยเล่าเจ้าคะ? อีกประการยามนี้น้องสี่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นแล้ว ท่านแม่จะไม่เตรียมเครื่องประดับไว้มอบให้นางหรือเจ้าคะ? ยามนี้นางเอาปิ่นอุบะของท่านอาสะใภ้สามไปแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ใดได้? กลายเป็นว่าพอแอบไปดึงออกไป ยังทำให้มวยผมของท่านอาสะใภ้สามหลุดออกมาเสียอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งคิดไม่ถึงว่าเห็นเสิ่นซูโหรวเป็นคนเงียบๆ แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีความคิดอ่านยิ่ง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วว่า “ใช่ๆ อาสะใภ้สามทำไม่ถูก แต่ซูเหยียนยังเล็ก…”
“ก็เพราะยังเล็ก จึงต้องสอนนางให้ดีอย่างไรเจ้าคะ” เสิ่นซูโหรวทำหน้าบึ้งเช่นผู้ใหญ่ตัวน้อย และมองไปยังน้องสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ก่อนนี้หากน้องสี่ไม่เชื่อฟัง และชอบใช้วิธีร้องไห้โฮเช่นนี้หลบเลี่ยงความผิด ทุกครั้งท่านแม่ล้วนไม่สนใจนาง ท่านป้าใหญ่ ท่านอาสะใภ้สามและยังมีท่านอาหลิว หากพวกท่านยิ่งปลอบนาง นางก็จะยิ่งร้องหนักขึ้น อย่าไปสนใจนางเลยดีกว่า และให้นางออกไปสำนึกผิดอยู่บนระเบียงทางเดินข้างนอกนั่นเสียเจ้าค่ะ!”
นางหลิวยิ้มเจื่อนแล้วว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า? นางยังมิทันได้ทานข้าวเลย”
“เช่นนั้นก็รอจนนางยอมรับผิดแล้วจึงอนุญาตให้ทานข้าวได้เจ้าค่ะ!” น้องสาวแท้ๆ ที่ผิวพรรณขาวชมพูนวลนุ่มพลันมีน้ำตาไหลเอ่อออกมา แต่เห็นชัดว่าเสิ่นซูโหรวเป็นพี่สาวคนโตที่ยึดมั่นในหลักการยิ่ง นางไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและสีหน้าที่หนักแน่o
นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งมองหน้ากันทำตัวไม่ถูก ตามหลักการแล้ว…เสิ่นซูโหรวเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเสิ่นซูเยียน ทั้งยังอ้างกฎเกณฑ์ของนางตวนมู่ออกมา เรื่องที่นางสอนสั่งน้องสาวก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ทว่าผู้เป็นเป็นป้าและอาสะใภ้ ตนเองมานั่งทานอาหาร แต่กลับจะทิ้งหลานสาวตัวน้อยให้สำนึกผิดอยู่ที่ระเบียงทางเดินเช่นนั้นหรือ…
ในขณะที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากันอยู่นั้นเอง หลิวรั่วอวี้หันไปกระพริบตาให้เสิ่นซูเหยียน แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เหยียนเอ๋อร์อย่าดื้อนะ เอาปิ่นอุบะคืนให้ท่านอาสะใภ้สามเสียก่อน ตอนนี้มาทานข้าวกัน ดีหรือไม่?”
คงเพราะไม่กี่วันมานี้ล้วนเป็นหลิวรั่วอวี้ดูแล หรือเพราะกลัวว่าเสิ่นซูโหร่วจะเอาเรื่องไปฟ้อง เสิ่นซูเหยียนจึงคิดสักพักทั้งน้ำตา หันไปมองพี่สาว แล้วหันกลับมามองปิ่นอุบะครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายหันไปมองที่หลิวรั่วอวี้ และยอมปล่อยมือด้วยท่าทีอิดออดเล็กน้อย
นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งล้วนโล่งใจ ช่วยกันพูดประนีประนอมว่า “เอาล่ะๆ ผู้ใดไม่เคยทำผิดบ้าง ในเมื่อซูเหยียนก็รู้ผิดแล้ว เรื่องนี้ก็เลิกแล้วกันไปเถิด”
เสิ่นซูโหรวยามนี้หน้าตากำลังบูดบึ้งยังคงไม่พอใจอยู่บ้าง อยากจะเอ่ยบางสิ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ซูโหรวตัวเล็กเพียงเท่านี้ก็รู้จักอบรมสอนสั่งน้องสาวแล้ว เป็นเด็กดีจริงๆ เพียงแต่อาสะใภ้สามก็สงสารพวกเจ้า เพียงแค่ปิ่นอุบะอันเดียว หากทำให้พวกเจ้าทุกคนล้วนไม่พอใจ เช่นนั้นต่อไปอาสะใภ้ก็ไม่กล้าใส่อีกแล้วน่ะสิ? พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”
นางหลิวก็บอกว่า “ให้เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถิด เพื่อให้ต่อไปท่านอาสะใภ้สามของพวกเจ้ายังปักปิ่นอุบะนี้ออกมาได้ แต่หากยังต้องลงโทษซูเหยียนต่อ ท่านอาสะใภ้สามของพวกเจ้าก็จะต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ ไม่แน่นะ อาจจะพาลไปโกรธถึงปิ่นอุบะนั่นเสียด้วย พวกเจ้าคิดดูเอาเถิด ปิ่นอุบะงามๆ ต่อไปหากไม่อาจเอามาใส่ได้อีกก็น่าเสียดายนัก?”
เช่นนี้จึงสามารถทำให้วิกฤตินี้ผ่านพ้นไปได้ รอจนทานอาหารเสร็จแล้ว หลิวรั่วอวี้และเสิ่นซูจิ่งจึงพาคนที่เหลือขอตัวออกไป นางหลิวรั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งให้มาดื่มชาด้วยกัน ทั้งสองคนจึงเริ่มพูดคุยสรรเพหระกัน และอดจะเอ่ยถึงเรื่องของพี่น้องบ้านสองที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “แม้ข้าจะเพิ่งเข้าบ้านมา แต่เมื่อสังเกตดูซูโหรวแล้ว ก็รู้ได้ว่าพี่สะใภ้รองอบรมบุตรสาวอย่างเข้มงวด หากนางโตกว่านี้สักหน่อยก็จะดูคล้ายกับซูจิ่งแล้วเจ้าค่ะ”
นางหลิวยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “น้องสะใภ้รองมีนิสัยจริงจัง สอนสั่งบุตรสาวอย่างพิถีพิถันมาแต่ไร แต่ข้ากลับมิได้ควบคุมซูจิ่งเท่าใดนัก ดีชั่วหากตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ เมื่อไม่ฟังก็ต้องมีบทลงโทษตามสมควร”
“เช่นนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็ ‘ให้พื้นดินเปียกชุ่มอย่างไร้ซุ่มเสียง[4]’ สินะเจ้าคะ ซูจิ่งดูสง่างามนัก มีท่าทีเช่นหลานสาวคนโต อีกไม่กี่ปีก็จักต้องมีชื่อเสียงร่ำลือไปทั่วตระกูลสูงศักดิ์”
“น้องสะใภ้สามชมเกินไปแล้ว นางน่ะ ยังเล็กนัก ยังต้องร่ำเรียนอีกมาก” นางหลิวกล่าวไปเช่นนั้น แต่รอยยิ้มของนางกลับลึกลงไปอย่างมาก เห็นชัดว่าภาคภูมิใจในบุตรสาวคนโตของตนยิ่ง
เมื่อเอ่ยถึงบุตรธิดาไปอีกสักไม่กี่ประโยค… เพราะเว่ยฉางอิ๋งยังไม่มีบุตร โดยมากแล้วจึงเป็นนางชมเชยเสิ่นซูจิ่งและเสิ่นซูหมิง นางหลิวถ่อมตัวแทนบุตรชายและบุตรสาว หลังจากพูดเรื่องเหล่านี้แล้ว นางหลิวก็ค่อยๆ หันเหหัวข้อสนทนามายังเรื่องของหลิวรั่วอวี้น้องสาวร่วมตระกูลของนาง กล่าวอย่างเปิดเผยว่า “มิใช่ว่าข้าช่วยน้องสาวตนเอ่ยคำ แต่รั่วอวี้เป็นคนดีจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่โชคไม่ดี น้องสะใภ้สามมิใช่คนนอก ข้าจักไม่ปิดบังน้องสะใภ้ มารดาของเด็กคนนี้เสียไปเร็ว และท่านอาสะใภ้ใหม่ของข้าก็เป็นคนใจร้อน เข้ากับรั่วอวี้ไม่ใคร่ได้ ทั้งตนก็ยังมีบุตรธิดาของตนเอง… จึงยากจะไม่ละเลยนาง”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าที่นางหลิวกล่าวเรื่องนี้กับตนคล้ายกับมีเรื่องใดแฝงอยู่ ยังคงเดาเจตนาของนางไม่ออก จึงลองสอบถามไปว่า “ข้าเห็นว่าน้องรั่วอวี้มีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก ยังนึกว่ามีร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็กเสียอีก ที่แท้กลับเป็นเพราะ….มีทุกข์ใจเรื่องคนในบ้านหรือเจ้าคะ? พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้ถือโทษที่ข้าพูดตรงๆ ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าน้องรั่วอวี้ก็โตเพียงนี้แล้ว หากเป็นทุกข์เพราะเรื่องภายในบ้าน ก็คงจะเป็นทุกข์ไปได้อีกไม่กี่วันแล้วกระมังเจ้าคะ?”
“ก็เพราะโตแล้วจึงได้มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนอย่างไรเล่า หากนางยังเล็ก เหตุใดยามนี้จะให้นางต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพนี้?” นางหลิวกลับหัวเราะเยาะออกมาหนหนึ่ง ลังเลสักพัก แล้วกดเสียงต่ำๆ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลซ่ง ก็คือลูกผู้พี่แท้ๆ ของน้องสะใภ้สาม ปีก่อนด้วยนางเสียโฉม ท่านเสนาบดีฝ่ายพิธีการเข้าไปขอถอนตัวจากตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทต่อองค์ฮ่องเต้ด้วยตนเอง น้องสะใภ้สามคงจักรู้ว่า ยามนี้องค์รัชทายาทจะรับผู้ใดเป็นพระชายา?”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางให้บ่าวไพร่ออกไป ในใจยิ่งรู้สึกสงสัย ตนเองเพิ่งจะเข้าบ้านมา ก่อนนี้ก็มิได้รู้จักกับนางหลิว หากบอกว่าเรื่องที่นางพูดก่อนนี้ เป็นนางหลิวมีบ้างเรื่องแอบแฝงอยู่ เช่นนั้นคำพูดนี้ก็พอจะเดาความได้แล้ว นางหลิวคิดอย่างไรจึงเชื่อตนถึงเพียงนี้? นางคิดทำสิ่งใดกันแน่?
ยามนี้ได้ยินนางหลิวเอ่ยถึงพระชายาองค์ใหม่ขององค์รัชทายาท ก็อดตกใจไม่ได้ กล่าวว่า “หรือว่าเป็น…?”
“ก็คือรั้วอวี้!” นางหลิวสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ ข้าก็จะไม่ปิดไม่บังล่ะ… แม้ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะสูงส่งมีเกียรติ ทว่าตำหนักตะวันออกล้ำลึกนัก เหล่าภรรยาของราชนิกุลหรือจะมีอิสระเท่าคนธรรมดา? ร่างกายของรั่วอวี้ก็ไม่ดี ความคิดอ่านก็ตื้นเขิน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าวันหน้านางจะมีชีวิตอยู่อย่างไรจึงจะดี!”
ระหว่างเอ่ยไป นางหลิวก็น้ำตาริน
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง พลันไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจึงจะดี จะอย่างไร นางและนางหลิวไม่เคยพูดคุยกันเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งนางหลิวถึงขั้นพูดไปและหลั่งน้ำตาต่อหน้านางเสียอีก…
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากนางคาดเดาได้ว่าตระกูลเว่ยออกแรงช่วยเหลือลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยให้ล้มเลิกสัญญาแต่งงานกับองค์รัชทายาท แต่ซ่งไจ้สุ่ยก็เป็นลูกผู้พี่แท้ๆ ของตน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเว่ยและซ่ง… แล้วหลิวรั่วอวี้จะนับเป็นสิ่งใดได้? จะว่าไปแล้วตนและตระกูลหลิวยังมีความแค้นต่อกันเป็นการส่วนตัวอีกด้วย!
หรือว่าพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้คิดจะให้ตนช่วยหลิวรั่วอวี้ปฏิเสธการแต่งงานอีกคน? นี่จะเป็นไปได้หรือ?
เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองเอาจากคำพูดของนาง นางหลิวกลับรีบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหางตา ฝืนยิ้มแล้วว่า “หลายวันมานี้ข้าคอยเป็นกังวลกับรั่วอวี้มาโดยตลอด กลายเป็นเรื่องน่าขันให้น้องสะใภ้สามดูเสียแล้ว”
“พี่สะใภ้ใหญ่รักใคร่ผูกพันกับน้องรั่วอวี้นัก น่าอิจฉาจริงๆ เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งทำได้แต่ยิ้ม
นางหลิวทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “พวกเราล้วนเกิดในตระกูลใหญ่ มีพี่น้องมากมาย ท่านอาห้าของข้าก็เป็นเพียงอาในตระกูลอีกสายหนึ่ง แต่ที่ผูกพันกับรั่วอวี้มากก็เพราะมีสาเหตุ น้องสะใภ้สามคิดว่าแม่ของรั่วอวี้เสียชีวิตอย่างไร? ปีนั้นข้ายังไม่ได้ออกเรือน อายุเพิ่งจะสิบเอ็ดปี กลุ่มผู้หญิงในตระกูลหลิวพากันไปท่องเที่ยวรับฤดูใบไม้ผลิที่ทะเสสาบจิ้งหูนอกเมือง ข้าไม่ระวังพลัดตกลงไปในทะเลสาบ ตอนนั้นทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก มีเพียงอดีตท่านอาสะใภ้ห้าที่ขืนก้าวลงน้ำแสนเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิเพื่อไปอุ้มข้าขึ้นมา ปรากฏว่าข้ารอดชีวิต แต่นางกลับมาถึงบ้านก็ล้มป่วย ไม่ถึงสองวันก็กลายเป็นไข้รากสาดใหญ่และถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเล็กๆ นอกเมือง…ไม่กี่วันก็จากไป ยามนั้นรั่วอวี้เพิ่งจะอายุครบปีได้ไม่นาน และเพราะไข้รากสาดใหญ่ติดต่อกันได้ ท่านอาสะใภ้ห้านาง…จนนางเสียก็มิได้พบรั่วอวี้อีกเลยสักหน!”
นางหลิวอดจะน้ำตานองหน้าไม่ได้ กล่าวว่า “ดังนั้นนับแต่นั้นมา เมื่อข้าเห็นรั่วอวี้ก็จะรู้สึกผิด! หากมิใช่เพราะข้าเห็นแก่เล่นจนตกน้ำ และทำให้ท่านอาสะใภ้ห้าต้องพลอยรับเคราะห์ หากท่านอาสะใภ้ห้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วจะให้รั่วอวี้ต้องถูกข่มเหงมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? จนยามนี้แม้แต่เรื่องแต่งงานก็… ก็ยังไม่ได้เจอคนดีแม้สักคน แต่รั่วอวี้ก็ไม่เคยโทษข้าเลยแม้สักหน ขะ…ข้ายิ่งรู้สึกผิดมากเข้าไปอีก!”
เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงได้แต่รีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ทำสิ่งใดไม่ได้ แต่แรกนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็มิได้มีเจตนาจะลงน้ำ… น้องรั่วอวี้ก็จักต้องเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงมิได้โทษพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
….จะว่าไป พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านให้คนออกไปหมด ที่แท้ต้องการพูดสิ่งใดกันแน่???
นางหลิวรับผ้ามาเช็ดหน้า แล้วที่สุดก็เอ่ยวัตถุประสงค์ของนางออกมา “ข้ารู้ว่าท่านอาหวงซึ่งเป็นผู้ที่ติดตามน้องสะใภ้สามมายามแต่งงาน เป็นผู้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลเว่ยฝึกฝนมาเป็นพิเศษเพื่อมาอยู่ข้างกายน้องสะใภ้สาม ฮูหยินผู้เฒ่าเสาะหาหนทางให้นางไปร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดามาระยะหนึ่ง จึงอยากจะขอให้ท่านอาหวงมาช่วยดูน้องสิบที่น่าสงสารของข้าผู้นี้ให้สักหน่อยว่าระ….ร่างกายของนางยังพอจะบำรุงปรับธาตุต่างๆ ได้หรือไม่?”
ยังไม่ทันสิ้นคำ นางหลิวก็ร่ำไห้ออกมาเป็นสายฝน สะอื้นว่า “เดิมทีองค์รัชทายาทก็… หากน้องสิบเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วยังไม่สามารถให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้ แล้วชีวิตในภายภาคหน้าของนางจะเป็นเช่นไร? แรกเริ่มนั้นองค์ชายใหญ่ถูกปลดจากตำแหน่งสุดท้ายก็ปลงพระชนม์ตนเอง พระชายาขององค์ชายใหญ่ก็เสียตามเข้าไป แต่หลังจากท่านอ๋องไช่สิ้นพระชนม์ แต่พระชายาท่านอ๋องไช่กลับยังอยู่จนถึงวันนี้ ก็มิใช่ว่าเพื่อจวิ้นอ๋องไช่หรอกหรือ? น้องสะใภ้สาม ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา มาพูดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าในยามนี้ก็ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อข้าทั้งหมด ทว่าพระราชโองการงานอภิเษกอย่างมากอีกครึ่งเดือนก็จะออกมาแล้ว เมื่อมีราชโองการออกมา น้องสิบก็จักต้องกลับไปรอแต่งออก ถึงยามนั้นแล้วข้าก็ไปก้าวก่ายสิ่งใดไม่ได้…”
ที่แท้ก็เพียงเพื่อจะยืมตัวนางหวง เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ แล้วรีบปลอบนางไปว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านกล่าวสิ่งใดกัน? ก็มิใช่เพียงให้ท่านอาหวงตรวจน้องรั่วอวี้สักหน่อยหรอกหรือ? ความจริงแล้วหากวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูดกับข้ามากมายเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าอีกสักสองวันจะเสนอกับพี่สะใภ้อยู่แล้วเจ้าค่ะ! น้องรั่วอวี้เป็นหญิงสาวที่งดงามปานนี้ แต่สีหน้ากลับดูแย่นัก ใครพบเห็นเข้าก็ต้องรู้สึกสงสารจับใจเจ้าค่ะ!”
__________________________________
[1] นกหลวน คือ นกฟินิกซ์
[2] พริกเทศ ชื่อจีนคือ 珊瑚珠ในชื่อไทยเรียกว่า พริกฝรั่ง (Blood berry)
[3] หินโมรา หรือ อาเกต (Agate) เป็นอัญมณีที่มีหลายสี ที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน
[4] ให้พื้นดินเปียกชุ่มอย่างไรซุ่มเสียง เป็นท่อนหนึ่งในบทกวีชื่อดัง หมายความว่า ปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเองตามจังหวะและเวลาที่สมควร