ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 180 เบื้องหลัง
ในระหว่างที่จวนราชครูในเมืองหลวงกำลังมีแขกเหรื่อมาเยือนเต็มบ้านอยู่นั้น ห่างออกไปพันลี้ ณ เฟิ่งโจว
รุ่ยอวี่ถังก็กำลังจุดโคมติดแถบผ้า มีการประดับประดาอย่างหรูหรา เมื่อเข้าไปภายใน มีแขกเหรื่อนั่งอยู่เต็มโถง ข้างล่างมีดนตรีบรรเลง ขับเพลงเห่กล่อม นางระบำโยกย้ายเสื้อผ้าพลิ้วสะบัด ในระหว่างที่ทั้งดนตรีและระบำกำลังคึกคัก อาหารทั้งต้มตุ๋นนึ่งทอดจากเนื้อนานาชนิดส่งเข้ามาไม่หยุด บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก
ในขณะที่ทั้งดนตรีและระบำกำลังสนุกสนานเป็นที่สุด เว่ยฮ่วนซึ่งเป็นเจ้าภาพในงานนี้กลับใช้ข้ออ้างว่าดื่มมากเกินไป ขอตัวคนที่นั่งร่วมโต๊ะทั้งซ้ายขวาแล้วออกจากงานเลี้ยงไป และให้เว่ยเซิ่งเหนียนบุตรชายคนที่สามรับหน้าที่ดูแลภายในงานเลี้ยงต่อ
เมื่อกลับมาที่เรือนหลัง เว่ยฮ่วนรับผ้าร้อนที่มีบ่าวเตรียมไว้ให้นานแล้วมาเช็ดหน้า พ่นลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ความมึนเมาที่ทำให้เดินปัดเป๋ก่อนหน้านี้หายไปสิ้น เอ่ยถามบ่าวว่า “คนเล่า?”
“ตามที่ท่านประมุขสั่งไว้ก่อนนี้ บ่าวพาเขาเดินอ้อมเรือน หลบหูตาผู้คน แล้วเชิญมาต้อนรับในห้องหนังสือทางด้านหลังแล้วขอรับ” บ่าวเอ่ยเสียงเบา
เว่ยฮ่วนพยักหน้ารับ เดินไปก้าวหนึ่ง พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามไปอีกว่า “เขามาคนเดียว หรือว่าพาคนติดตามมาด้วย?”
“พาเพียงเด็กรับใช้มาคนหนึ่ง ได้ยินเขาเรียกเด็กรับใช้คนนั้นว่าหู่หนูขอรับ”
“อุ นั่นเป็นเด็กรับใช้ของเขาจริงๆ” เว่ยฮ่วนลูบเคราใต้คาง แต่กลับยังไม่รีบไปพบกับแขกเร้นลับผู้นี้ในห้องหนังสือ หากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือนหลักก่อน แล้วไปสนทนากับแม่เฒ่าซ่งที่ออกมาจากงานแต่แรกๆ พร้อมกับตนอีกสองสามคำ จึงค่อยไปหา
เมื่อผลักประตูห้องหนังสือเปิดออก ก็พบว่าบนโต๊ะยาวไม้ปีกไก่[1] มีสุราอาหารชั้นดีจัดวางเอาไว้ และเวลานี้ในจานอาหารส่วนใหญ่ก็พร่องลงไปจนเห็นก้นจานแล้ว ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอายุราวยี่สิบกว่าปี แต่บนใบหน้ากลับมีริ้วรอยให้เห็นแล้วกำลังนั่งอยู่ที่หลังโต๊ะ ในมือถือตะเกียบงาช้าง รับประทานอาหารโดยมีเด็กหนุ่มเสื้อเขียวฟ้าผู้หนึ่งกำลังดูแลรับใช้อยู่
แม้ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้จะมีริ้วรอยแล้ว ทว่าก็ยังคงผ่องดังแสงจันทร์ขาวนวลดังหิมะ แตกต่างจากคนทั่วไปมากมายนัก เมื่อเห็นว่าเว่ยฮ่วนเข้ามาเขาก็วางตะเกียบงาช้างลงอย่างไม่ช้าไม่เร็ว แล้วรับผ้าปักที่เด็กหนุ่มชุดเขียวฟ้าส่งให้มาเช็ดที่มุมปาก สะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นมาคำนับ “ซินหย่งคารวะท่านประมุข!”
“หลานมิต้องมากพิธี” แม้จะรู้เรื่องที่เว่ยซินหย่งทำเมื่อปีก่อน แต่สีหน้าของเว่ยฮ่วนที่มาพบเขายามนี้กลับไม่ได้มีความโกรธอยู่เลย หากแต่ยิ้มรับและประคองเขาไว้หนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าได้ยินว่าหลานมา เกรงว่าจะทำให้หลานเสียเวลา หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงรีบรุดมา ไม่คิดว่ากลับบังเอิญนัก มารบกวนหลานทานอาหารพอดี” แล้วให้เขาไม่ต้องเกรงใจและทานอาหารต่อไป
เว่ยซินหย่งยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ขอขอบพระคุณท่านประมุขขอรับ ซินหย่งทานไปพอประมาณแล้ว”
ทั้งสองคนเอ่ยทักทายกันสองสามประโยค เว่ยฮ่วนจึงเรียกให้คนมาเก็บอาหารบนโต๊ะไปเสีย แล้วเปลี่ยนมาเป็นน้ำชา
หลังจากพูดจาตามพิธีไปสักพัก เว่ยฮ่วนจึงเอ่ยถามถึงสาเหตุที่จู่ๆ เว่ยซินหย่งมาหาตน “หรือที่อำเภอเฉาอวิ๋น มีเรื่องใดผิดปกติ?”
“ท่านประมุขลำบากถามไถ่แล้ว อำเภอเฉาอวิ๋น ก็เป็นอำเภอเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญ แม้จะมีพายุฝนบ้าง แต่อย่างไรก็เป็นที่เล็กๆ มิได้สลักสำคัญอันใด หรือจะควรค่าบอกเล่าให้ท่านประมุขฟัง?” เว่ยซินหย่งยิ้มจางๆ หนหนึ่ง ปฏิเสธการคาดเดาของเว่ยฮ่วน
เว่ยฮ่วนจึงยิ้มแล้วถามว่า “เช่นนั้นที่จู่ๆ หลานมาหา …หรือว่าจะมาแสดงความยินดีแก่ข้าเป็นการเฉพาะ ที่หลานชายตาของข้าครบหนึ่งเดือน?”
“ซินหย่งก็มิได้คิดถึงเรื่องบังเอิญเช่นนี้ขอรับ” เว่ยซินหย่งยกถ้วยชาขึ้นมา ใช้ฝาถ้วยกดเศษชาเอาไว้ แล้วเอ่ยคล้ายมีเสียงสะอื้นว่า “จำได้ว่าคราก่อนที่ได้พบหลานสาวร่วมตระกูล นางยังไม่ออกเรือน เวลานี้หลายชายคนโตบุตรของนางก็อายุครบเดือนแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีปรีดาจริงๆ”
ยามเขาเอ่ยคำว่า ‘ยินดีปรีดา’ นั้นน้ำเสียงกลับราบเรียบเสียยิ่งนัก เห็นชัดว่าเป็นการเอ่ยตอบรับไปส่งๆ คำหนึ่งเท่านั้น
เว่ยฮ่วนกลับไม่ได้ใส่ใจ ยิ้มพลางลูบเคราแล้วกล่าวว่า “ข้าอายุมากแล้ว ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งต่างๆ ได้ไวเช่นพวกเจ้าคนหนุ่มสาว หลานมีคำใด เชิญพูดออกมาได้”
“หลานสาวร่วมตระกูลมีวาสนาล้นเหลือ” เว่ยซินหย่งเอ่ยพลางยิ้มเรียบๆ “ย่อมเป็นเพราะสายตาหลักแหลมของท่านประมุขเลือกการแต่งงานที่ดีให้นาง”
“แต่วาสนาของฉางอิ๋งก็ยังน้อยไปสักนิด” เว่ยฮ่วนยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากปีก่อนนางได้รับความโปรดปรานจากหลานและช่วยนางสักเล็กน้อย นั่นจึงจะเรียกว่ามีวาสนาล้นเหลือ”
เว่ยซินหย่งยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ซินหย่งเกิดและเติบโตที่เมืองหลวง ปีก่อนเพิ่งจะจากมา ในสายตาของท่านประมุขแล้ว ชื่อเสียงแสนยิ่งใหญ่ของเสิ่นจั้งเฟิงผู้นั้น หากซินหย่งเทียบกับเขา ก็ประหนึ่งเพียงแสงหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ฉาย เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้จักซินหยิ่ง แต่ซินหย่งจะไม่รู้จักเสิ่นจั้งเฟิงได้อย่างไร? หากหลานสาวร่วมตระกูลหมั้นหมายกับผู้อื่น ซินหย่งต้องไม่เอาแต่นิ่งเฉยอยู่แน่ แต่ในเมื่อเป็นคนผู้นี้ แล้วซินหย่งไยต้องไปมากความ? เมื่อผจญพายุมาด้วยกัน ก็ยิ่งเห็นความจริงใจที่มีต่อกัน ท่านประมุขคิดเห็นเป็นเช่นใด?”
เว่ยฮ่วนรู้ว่าเขาเจ้าเล่ห์และอย่างไรเสียงเรื่องก็ผ่านแล้ว ทั้งข่าวคราวที่เว่ยฉางอิ๋งหลานสาวบ้านใหญ่ของเขาส่งกลับมาล้วนบอกว่าอยู่ที่บ้านเสิ่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเวลานี้นางให้กำเนิดบุตรชายคนโตของเสิ่นจั้งเฟิง และเรือนหลังก็ไม่มีอนุแม้สักคน ในความเห็นของเว่ยฮ่วนแล้วหลานสาวผู้นี้ก็มีชีวิตอยู่อย่างราบรื่น …แม้เขาจะเป็นคนที่รักลูกหลานในตระกูลยิ่งนัก แต่ก็จะไม่ไปถือสาเรื่องเล็กน้อยของลูกๆ หลานๆ แล้วยิ้มเป็นทีว่าปล่อยผ่านไป กล่าวว่า “หลานช่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ”
เว่ยซินหย่งแสร้งทำเป็นฟังน้ำเสียงประชดประชนในคำพูดนี้ไม่ออก ยิ้มจางๆ แล้วกล่าวว่า “เสียดายก็แต่วาสานาของหลานฉางเฟิงกลับน้อยกว่าพี่สาวของเขาสักหน่อย”
“โอ๋?” เว่ยฮ่วนเอ่ยอย่างสงสัย “คำนี้ของหลาน ข้ากลับฉงนสงสัยนัก! แม้ฉางเฟิงจะไม่ปราดเปรื่อง ห่างไกลกับหลานนัก ทว่าแต่ไรมาก็รักที่จะเรียนรู้หาความก้าวหน้า นอกจากหย่งซื่อจะคอยชมเชยให้ข้าฟังเสมอๆ แล้ว แม้แต่เรื่องแต่งงาน เร็วๆ นี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังตรัสถามด้วยพระองค์เอง และพระราชทานบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูซูแห่งชิงโจวมาให้เป็นภรรยา เช่นนี้ยังไม่นับว่ามีวาสนาล้นเหลืออีกหรือ?”
“ท่านประมุขสายตายาวไกล การแต่งงานที่ฮ่องเต้พระราชทานมาครานี้ ด้วยมีเจตนาใด ต้องให้ซินหย่งอธิบายดังสอนหนังสือสังฆราชอีกหรือ?” เว่ยซินหย่งยิ้มราบเรียบพลางเอ่ย “อำเภอเฉาอวิ๋นห่างไกลความเจริญนัก ซินหย่งเองก็เพิ่งรู้เรื่องไม่กี่วันมานี้ จึงรีบละวางการงานในมือรีบมาแบ่งเบาความกังวลของท่านประมุขขอรับ”
เขายิ้มอย่างมีนัยยะ “ซินหย่งนึกว่าท่านประมุขกำลังรอซินหย่งอยู่เสียอีก”
เว่ยฮ่วนเอ่ยอย่างปราศจากอารมณ์ใดว่า “ข้ากลับไม่รู้ว่าหลานเป็นห่วงฉางเฟิงเพียงนี้ …ในเมื่อหลานก็มาแล้วไยไม่ลองเอ่ยวิธีให้ข้าฟังสักสองสามคำ?” เมื่อเห็นเว่ยซินหย่งกำลังจะพูดทำนอง “ไม่กล้าสอนหนังสือสังฆราชต่อหน้าท่านประมุข” อีก เว่ยฮ่วนจึงสะบัดมือแล้วว่า “หลานปราดเปรื่องนัก ข้าตระหนักดี ยามนี้ก็ไม่มีคนนอก ไยต้องถ่อมตนเช่นนี้?”
แล้วว่า “เมื่อครู่นี้ข้าดื่มในงานเลี้ยงไปหลายจอก เวลานี้รู้สึกว่าในสมองมึนงงไปหมด หากได้ยินหลักการล้ำเลิศของหลานแล้ว สามารถทำให้สติปลอดโปร่งได้เป็นดี ไยหลานต้องบ่ายเบี่ยง?”
เว่ยซินหย่งได้ยินคำจึงไม่บ่ายเบี่ยงอีก ยิ้มจางๆ แล้วว่า “ครั้งฮ่องเต้เพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ยังเคยทรงออกว่าราชการอยู่ระยะหนึ่ง ทว่าหลังจากมีกองโจรเกิดขึ้นทั้งสี่ทิศต่อเนื่องกัน นอกจากนี้ยังมีการลงทัณฑ์ข้าราชการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อมีข่าวไม่น่าฟังมากๆ เข้า ฮ่องเต้ก็ทรงคร้านจะทอดพระเนตรข้อราชการอีก ภายหลังข้อราชการต่างๆ จึงถูกมอบหมายไว้ในมือของตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงหวาดกลัวว่าตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเราจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึก…”
“แรกเริ่ม นางหลิวเป็นฮองเฮาพระองค์แรกของฮ่องเต้ ครั้งนางยังอยู่ ด้วยเห็นแก่ที่มีการอภิเษก พระราชโอรสองค์แรกจึงได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาทอย่างราบรื่น ภายหลังฮองเฮาหลิวประชวรจนสิ้นพระชนม์ ฮองเฮาเฉียนขึ้นมารับตำแหน่ง พระราชโอรสองค์โตจึงถูกปลดตามมา” เว่ยซินหย่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “แม้ฮองเฮาเฉียนจะโน้มเอียงไปทางโอรสของตนและทำการวางแผนให้ร้าย ทว่าสาเหตุที่ฮ่องเต้ ‘หลงเชื่อคำให้ร้าย’ ก็มิใช่เพราะทรงรู้สึกว่าตระกูลหลิวมักใหญ่ใฝ่สูง ผู้หนึ่งผู้เป็นสืบทอดตำแหน่งเวยหย่วนโหวมารุ่นต่อรุ่น อีกผู้หนึ่งเป็นสมุหกลาโหม พระราชโอรสองค์โตก็ใกล้ชิดกับบ้านฝั่งตายาย จึงทรงกลัวว่าบัลลังก์จะไม่มั่นคง? เพราะอย่างไรเสียก็ยังมีตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงที่อาศัยพระบารมีของไทเฮาเติ้งซึ่งเป็นพระมารดาของฮ่องเต้ จนมีหน้ามีตาและไม่ยอมให้ตระกูลสูงศักดิ์มีผลงานออกนอกหน้ามาหลายสิบปี ทั้งที่ตระกูลเติ้งก็อยู่ในชั้นตระกูลใหญ่เท่านั้น ประสาอะไรที่ตระกูลหลิวแห่งตงหูเป็นถึงหนึ่งในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล?”
เว่ยฮ่วนลูบเครา มีท่าทีสงบ เอาแต่ยิ้มไม่ยอมเอ่ยคำ
เว่ยซินหย่งจึงพูดต่อไปว่า “ตามธรรมเนียมในรัชสมัยปัจจุบันก็คือ งานด้านบุ๋นมีราชครูฝ่ายบุ๋น[2]เป็นหัวหน้า ส่วนงานด้านบู๊มีราชครูฝ่ายบู๊เป็นหัวหน้า หลังจากพระราชโอรสพระองค์โตถูกปลดและฆ่าตัวตาย องค์ชายสี่ซึ่งเป็นโอรสของฮองเฮาเฉียนจึงได้มาครองตำหนักตะวันออกแทน และตระกูลเฉียนแห่งซิ่งเหอก็ยังเป็นตระกูลใหญ่ ซึงแม้จะรุ่งเรืองขึ้นเพราะอาศัยบารมีของฮองเฮาเฉียน แต่คิดไปแล้วก็เพียงคล้ายคลึงกับตระกูลเติ้งเท่านั้น ทว่าพระชายาเอกขององค์ชายสี่กลับเป็นถึงบุตรสาวบ้านใหญ่ของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่ว เป็นหลานสาวคนโตจากภรรยาเอกของท่านราชครูฝ่ายบุ๋น ตวนมู่สิ่ง! ยิ่งเป็นกว่านั้นองค์ชายสี่ทรงรักใคร่พระชายาเอก สามีภรรยารักใคร่กันยิ่งนัก!”
“หลานคิดว่าสาเหตุที่องค์ชายสี่ถูกปลด ก็ด้วยรักใคร่พระชายาเอก?” เว่ยฮ่วนเอ่ยยิ้มๆ
“เหตุที่องค์ชายสี่ถูกปลด ประการแรกคือ ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็เป็นฮองเฮาเฉียน เสียประโยชน์ก็เป็นฮองเฮาเฉียน ประการที่สองคือราชครูฝ่ายบุ๋นดูแลราชกิจมานานปี ฮ่องเต้ค่อนข้างไม่ทรงวางพระทัย” เว่ยซินหย่งเอ่ยเรียบๆ “หากมิใช่เพราะผู้สืบราชบัลลังก์เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งเกี่ยวพันกับทั้งแคว้น เพียงเพราะคำครหานินทาของเหล่านางในในตำหนักหลัง แล้วฮ่องเต้จะทำให้พระโอรสของตนต้องรับเคราะห์เพราะ ฮองเฮาเฉียนหรือ? จักต้องมีการสั่งอย่างลับๆ ให้ฮองเฮาเฉียนปลิดชีพตนเอง เพื่อรักษาความปลอดภัยแก่องค์ชายสี่! เมื่อองค์ชายสี่เลือกพระชายา พระชายาเอกเป็นคนตระกูลตวนมู่ ครั้งนั้นก็มิใช่ว่าทุกคนล้วนรู้สึกว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหรอกหรือ? ทว่าหลังจากองค์ชายสี่ถูกปลด ตวนมู่สิ่งก็ถวายฎีกาในทันใดบอกว่าตนเองชราภาพร่างกายถดถอย แล้วส่งมอบราชกิจเกือบครึ่งหนึ่งให้แก่ฮ่องเต้…ฮ่องเต้ก็มิใช่ว่ายังชมเชยเขาไปคราหนึ่ง แล้วแบ่งอำนาจให้เหล่าขุนนางไปลงมติกัน? ทายาทในสายหลักของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วรุ่งโรจน์เรื่อยมา ทว่าหลายปีมานี้ นอกจากตวนมู่อู๋ยิวที่พอจะมีชื่อเสียงบ้างเล็กน้อยจากการประลองหน้าพระพักตร์แล้ว ก็ไม่มีบุตรหลานในตระกูลคนอื่นๆ ที่เรียกขานได้ว่ามีความโดดเด่น …หรือตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วไม่มีบุตรหลานที่โดดเด่นยิ่งกว่าตวนมู่อู๋ยิว? ความจริงก็เพียงเพราะหวาดกลัวต่อฮ่องเต้ ไม่กล้าให้บุตรหลานสร้างชื่อเสียงเกรียงไกร เพื่อมิให้ฮ่องเต้ทรงระแวงตระกูลตวนมู่อีกก็เท่านั้น!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เว่ยซินหย่งก็ยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “ได้ยินมาว่าไม่นานมานี้ บุตรชายคนรองของซ่งอวี่วั่งปลดนางตวนมู่ภรรยาของเขา แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ ตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วดูน่าอนาถหนักหนา แต่เกรงว่าโดยส่วนตัวแล้ว ตวนมู่ซิ่งกลับโล่งอกได้เปราะหนึ่ง!”
“ระดับของตระกูลซ่งและตระกูลตวนมู่เสมอกัน ตระกูลซ่งกลับไม่สนเรื่องมิตรภาพและขืนปลดบุตรสาวตระกูลตวนมู่ แม้นางตวนมู่ผู้นั้นจะไม่มีความเป็นศรีภรรยาเลยแม้แต่น้อย ทว่าก็ทำให้เห็นว่าตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนครั้งที่ยังมีอำนาจของราชครูฝ่ายบุ๋นและพระชายาองค์รัชทายาท จนทำให้อีกห้า ตระกูลสูงศักดิ์ที่เหลือไม่กล้าเพิกเฉยต่อตระกูลตวนมู่อีกแล้ว” เว่ยฮ่วนลูบเครา ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ตวนมู่ซิ่งย่อมต้องโล่งใจ ทว่าทายาทในสายหลักของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานกลับมีน้อยนิดนัก ต่อให้เวลานี้ซ่งอวี่วั่งมีเพียงบุตรชายสองหลานชายหนึ่ง ฮองเฮากู้…ที่ครั้งนั้นยังเป็นสนมชั้นเจาอี๋ช่างมีสายตาแหลมคมจริงๆ จู่ๆ ก็เลือกหลานสาวของข้าผู้นี้มา นอกจากเป็นการช่วยสนับสนุนตระกูลซ่งแล้ว แม้แต่ตระกูลกู้แห่งหงโจวบ้านฝั่งแม่ของนางซึ่งอยู่ที่เจียงหนานเช่นกันก็ยังพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย และไม่ถึงกับทำให้ฮ่องเต้ไม่โปรด”
เว่ยซินหย่งยิ้มจางๆ เอ่ยว่า “ตระกูลหลิวสูญเสียฮองเฮาหลิวไปก่อน แล้วมาเสียพระโอรสพระองค์โตไปอีก เวลานี้ก็มีการต่อสู้กันภายในอย่างรุนแรง แม้เวลานี้จะมีพระชายาองค์รัชทายาทหนึ่งคน ทว่าได้ยินว่าองค์รัชทายาทก็ไม่โปรดพระชายาองค์พระองค์นี้เอามากๆ คาดว่าเวลานี้ตระกูลเลื่องชื่อแห่งตงหู คงไม่เข้าพระเนตรของฮ่องเต้เป็นการชั่วคราว เกรงว่าเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงกลัวว่าหากลงโทษตระกูลหลิวแล้วจะทำให้สมุหกลาโหมหันมาร่วมมือร่วมแรงกับเวยหย่วนโหว ฮองเฮากู้ครองพระทัยฮ่องเต้อย่างลึกล้ำนัก ครานี้ก็ยังเลือกพระชายาองค์รัชทายาทที่แซ่หลิวมาพระองค์หนึ่งอีก ยิ่งทำให้หลานหลีถังของตระกูลหลิวมีการต่อสู้กันนักหนาเข้าไปอีก หันกลับมามองตระกูลตวนมู่ที่สูญเสียพระชายาองค์รัชทายาทไปพระองค์หนึ่ง ทั้งยังมีเรื่องที่ไม่อาจอบรมสั่งสอนบุตรหลานให้ดีได้อีก คล้ายมีแนวโน้มจะเป็นตะวันตกน้ำเสียแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วฮ่องเต้จึงทรงวางพระทัยพวกเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง ในบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลซูแห่งชิงโจวและตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานยังคงซ่อนคมไว้ในฝักมาโดยตลอดและไม่ได้เป็นที่ขวางหูขวางตา ที่เหลือนอกนั้นก็คือ ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวของเรา และตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง บ้านสามีของหลานสาวแล้ว”
เว่ยฮ่วนเอ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “แม้อำเภอเฉาอวิ๋นจะเป็นที่เล็กๆ ทว่าดีชั่วเช่นใดหลานก็เป็นผู้นำของทั้งอำเภอ ครานี้ถึงกับมาที่นี่ด้วยตนเองเป็นการเฉพาะ คิดว่าก่อนจะเดินทางมาต้องเตรียมการไว้อย่างมากมาย …ข้าคิดว่า …ตั้งแต่หลานรู้ข่าวเรื่องจี้อ๋องพาพระชายาจี้อ๋องกลับมาเมืองหลวงด้วย เกรงว่าหลานก็คงวางแผนจะเดินทางมาเฟิ่งโจวในครานี้แล้วกระมัง?”
________________________
[1] ไม้ปีกไก่ หรือไม้เวงเก้ เป็นไม้เนื้อแข็ง ทนทาน สีน้ำตาลเข้ม มีลายเหมือนปีกของไก่
[2] ตำแหน่งราชครู ล้วนเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาของฮ่องเต้ในเรื่องที่ต่างกันออกไป ผู้แต่งชี้แจ้งว่าเนื่องจากเป็นนิยายที่เป็นเรื่องสมมติขึ้นทั้งหมด ลำดับตำแหน่งจึงเป็นตามที่ผู้เขียนกำหนด ไม่อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ทั้งหมด