ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 184-2 ม่านม่าน
เสิ่นจั้งจูฟังคำของทั้งนายบ่าวก็รู้สึกดีใจนัก บอกว่า “เรื่องนี้กลับโทษม่านม่านไม่ได้ เป็นเหม่ยเหนียงเจ้ามีลาภปาก อยากกินสิ่งใดก็มีให้กินพอดี” แล้วกำชับนางว่านอกจากขนมบ๊วยเปรี้ยวแล้ว หากต้องการสิ่งใดอีกก็ไม่ต้องเกรงใจ ขอให้บอกออกมา ตนจะพยายามหามาให้จนนางพอใจ
เวลานี้เผยเหม่ยเหนียงต่างกันตอนที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมามาก แลตัวนางเองก็รู้ความขึ้นมากด้วย บอกแต่ว่าตนเองทำให้เสิ่นจั้งจูต้องเป็นห่วงมากพออยู่แล้ว แล้วบอกอีกว่าตอนนี้นอกจากขนมบ๊วยเปรี้ยวแล้วก็ไม่ชอบสิ่งใดเป็นพิเศษอีก
เสิ่นจั้งจูสั่งความนางไปอีกสองสามคำ เมื่อออกจากบ้านและเห็นว่าไม่มีคนของน้องสะใภ้แล้ว มุมปากของนางก็โค้งขึ้นมาน้อยๆ แล้ววิเคราะห์เสียงเบากับท่านอาข้างกายว่า “เปรี้ยวชายเผ็ดหญิง ครั้งนั้นน้องสะใภ้สามชอบกินของเปรี้ยว ปรากฏว่าก็คลอดกวงเอ๋อร์ออกมา เวลานี้น้องสะใภ้สี่ก็เป็นดังนี้ด้วย…”
ท่านอาขยับเข้ามากระซิบว่า “ข้าน้อยเองก็คิดดังนี้ รสชาติที่ฮูหยินน้อยสี่โปรดปรานในเวลานี้เหมือนกับของฮูหยินน้อยสามในครั้งนั้นไม่มีผิด จะต้องเป็นคุณชายน้อยเช่นกันแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ตอนอยู่ต่อหน้าน้องสะใภ้สี่เมื่อครู่นี้ ข้ากลัวว่าหากพูดออกไปแล้วจะทำให้นางคิดมาก คิดว่าหากนางคลอดหลานสาวออกมา ข้าก็จะไม่มอบอำนาจดูแลบ้านคืนให้นาง” เสิ่นจั้งจูใคร่ครวญรอบหนึ่ง แล้วนานๆ ครั้งจะยิ้มอย่างสบายอกสบายขึ้นมา “ทว่าในเมื่อชอบกินของแบบเดียวกัน ก็คงจะไม่ผิดไปได้หรอก”
ท่านอาปลอบว่า “ก่อนนี้ฮูหยินน้อยสี่ถูกตวนมู่อู๋เซ่อชี้นำผิดๆ จึงได้เข้าใจคุณหนูใหญ่ผิดไป ท่านดูสิเจ้าคะ เวลานี้ก็มิใช่ว่ารู้ความนักแล้วหรือ? ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน และเป็นเพราะก่อนนี้ฮูหยินน้อยสี่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมายังไม่ทราบนิสัยใจคอของคุณหนูใหญ่ท่านเท่าใด จึงได้หลงเชื่อคำพูดเลอะเลือนของตวนมู่อู๋เซ่อ ในเมื่อเวลานี้ล้วนคลายเรื่องบาดหมางกันไปแล้ว นางย่อมไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่ไม่ชอบนางอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เวลานี้คุณหนูใหญ่เอาใจใส่ฮูหยินน้อยสี่ดังน้องสาวแท้ๆ เชียวนะเจ้าคะ!” เมื่อพวกของเสิ่นจั้งจูออกจากเรือนไป แม่นมฉินที่ได้รับคำสั่งจากนางหมิ่นว่าให้คอยดูแล และคอยตักเตือนเผยเหม่ยเหนียงจึงอาศัยโอกาสนี้บอกว่า “ฮูหยินน้อยท่านดูผลอิงเถาในตะกร้าที่คุณหนูใหญ่มอบให้สิเจ้าคะ แต่ละลูกทั้งใหญ่ทั้งอวบ ล้วนคัดสรรมาเป็นอย่างดี เกรงว่าแม้แต่ทางคุณหนูใหญ่เองยังไม่ดีเท่านี้เลยเจ้าค่ะ”
“เวลานี้จวนเซียงหนิงปั๋วมีบุตรชายสองบุตรีหนึ่ง ส่วนคนในรุ่นหลานก็ยังไม่มีเลย!” เผยเหม่ยเหนียงหยิบผลอิงเถาที่ล้างสะอาดแล้วจากในตะกร้าที่เสิ่นจั้งจูเพิ่งส่งมาให้ไปกิน แล้วชมว่าหวานนัก จากนั้นก็เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ไม่ว่าในท้องข้าจะเป็นชายหรือหญิง อย่างไรก็เป็นคนรุ่นหลานเพียงคนเดียว คุณหนูใหญ่เป็นท่านป้าแท้ๆ ของเขา เอาใจใส่เขาก็สมควรอยู่แล้ว”
นางฉินฟังคำนี้ก็เป็นหวงว่าเผยเหม่ยเหนียง ยังคงรู้สึกขัดเคืองเสิ่นจั้งจูอยู่ จึงเอ่ยไปอย่างอ้อมค้อมว่า “ปีนั้น ครั้งฮูหยินกำลังตั้งครรภ์ฮูหยินน้อยอยู่ บรรดาท่านป้าและท่านอาของฮูหยินน้อยยังไม่ใส่ใจเช่นคุณหนูใหญ่เลยเจ้าค่ะ!”
พี่สามีเช่นเสิ่นจั้งจูนับว่าไม่เลวแล้วจริงๆ ฮูหยินน้อยท่านอย่าได้ไปก่อเรื่องอันใดอีกเลยได้หรือไม่? นางฉินเป็นคนซื่อตรง ครั้งเห็นคุณหนูบ้านตนไปก่อเรื่องเมื่อก่อนนี้ นางก็เป็นทุกข์จนไม่รู้จะว่าอย่างไร เพิ่งดีใจมาได้ไม่กี่วัน …เหตุใดพอมีเรื่องน่ายินดี คุณหนูบ้านตนก็จะก่อเรื่องอีกแล้ว? ครั้งก่อนก็เกือบจะถูกส่งตัวกลับบ้านแม่แล้ว หลังฝืนทนอยู่ต่อไปได้ก็ต้องทนดูหน้าตาเย็นชาของทุกคนอยู่ตั้งกี่เดือนจึงค่อยๆ คลี่คลายลงได้? แต่ครั้งนั้นยังต้องคอยอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว!
ในเมื่อเวลานี้ตั้งท้องแล้ว และบ้านสามีก็ให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนี้ จะอยู่ดูแลครรภ์อย่างสงบไม่ได้หรือ? ต้องก่อเรื่องก่อราวให้จงได้…นางฉินไม่รู้ว่าควรจะพูดกับนางอย่างไรดีจริงๆ!
“ข้ารู้ว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนดี” เผยเหม่ยเหนียงเบะมุมปากพลางว่า “ท่านอาฉิน ท่านไม่ต้องมาคอยย้ำเตือนข้าเรื่องบ้านสามีมีบุญคุณต่อข้าวันละสามรอบหรอก ท่านไม่เบื่อพูดแต่ข้ารำคาญจะฟัง!”
นางฉินเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “บ่าวก็อยากให้ฮูหยินน้อยดีใจเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ไม่ได้ไม่ดีใจนี่ ท่านไม่ต้องมาคอยหาทางทำให้ข้าดีใจหรอก” เผยเหม่ยเหนียงเอาผ้ามาเช็ดนิ้วมือ ยามนางลดตามองลงล่างมองเห็นขนตาที่ยาวนัก “ก่อนนี้ข้าเคยไปล่วงเกินพวกเขา ในช่วงเวลาก่อนนั้นก็มิใช่ว่าต้องทนดูสีหน้าเช่นนั้นมาตั้งนานหรอกหรือ? หรือว่าเวลานี้อุตส่าห์ตั้งท้องและได้ผ่อนคลายสักหน่อยแล้ว ท่านก็ยังเอาแต่บอกว่าคนนี้ดีกับข้าคนนั้นดีกับข้า มิใช่ว่าข้าต้องคอยเจียมเนื้อเจียมตัวกับทุกคนในเรือนแห่งนี้และต้องคอยไปคารวะเช้าเย็นเสียให้ได้! เวลานี้ข้าตั้งท้องลูกของข้า แต่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ล้วนแซ่เสิ่น! ท่านอาอย่าได้นึกว่าเพียงเท่านี้บ้านเสิ่นก็ดีต่อข้าแล้ว ที่ตัวข้าสำคัญขึ้นมาก็เพราะลูกต่างหาก!”
แล้วนางก็พึมพำไปอีกประโยคหนึ่งว่า “อีกประการ เป็นชายหรือหญิงก็ยังไม่แน่เลย ผู้ใดจะรู้ว่าหากเป็นคุณหนูหลานห้า พวกพ่อสามีจะมีสีหน้าอย่างไร? ท่านมาพูดในยามนี้ ทำข้ารำคาญใจนัก!”
นางฉินตอบรับด้วยท่าทีขัดเขิน เอ่ยขออภัย แล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “เป็นดังคำฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ครรภ์นี้ของท่านก็เป็นหลานคนแรกของจวนเซียงหนิงปั๋ว และยังเป็นบุตรจากภรรยาเอกด้วย บ่าวคิดว่าทั้งนายท่านและคุณชายต้องชอบแน่นอน …เวลานี้ฮูหยินน้อยอย่าคิดสิ่งใดมากเกินไป ต้องผ่อนคลายจึงจะดีเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว รู้แล้ว!” เผยเหม่ยเหนียงออกจะทนไม่ไหว “เจ้าบอกอยู่ตลอดว่าให้ข้าไม่ต้องคิดมาก แต่กลับเอาแต่ทำเรื่องให้ข้าต้องคิดมาก เจ้าจะพูดเรื่องที่ข้าอยากฟังสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
เมื่อเห็นนางฉินเลิ่กลั่กและตอบออกมาไม่ได้ ม่านม่านจึงรีบบอกว่า “ท่านอาฉิน มิใช่ว่ายามนี้น้ำแกงไก่ที่ห้องครัวเล็กตุ๋นไว้ให้ฮูหยินน้อยจวนจะเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?”
นางฉินลุกขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะไปดูหน่อย” แล้วอาศัยโอกาสนี้ถอยออกไป
รอจนนางออกไปแล้ว ม่านม่านจึงได้ค่อยๆ เดินไปที่ข้างประตู เหลี่ยวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นคนมาแอบฟังแล้ว จึงได้ถอยกลับมาแล้วกระซิบคำที่เว่ยฉางอิ๋งบอกกลับมา ตอนท้ายนางจึงถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ เรื่องของฮูหยินน้อยใหญ่บ้านซูเกี่ยวอันใดกับบ้านเราเจ้าคะ? ฮูหยินน้อยท่านไยต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับ ฮูหยินน้อยสามโดยเฉพาะด้วย? บ่าวดูว่าฮูหยินน้อยสามเองก็ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องนี้นักนะเจ้าคะ”
“โง่!” เผยเหม่ยเหนียงชี้นิ้วไปที่หว่างคิ้วนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าลืมแล้วหรือว่าอาแท้ๆ ของพี่สะใภ้สามก็คือฮูหยินน้อยสามตระกูลซู? นางเติ้งนั่นเป็นสะใภ้ในบ้านใหญ่ตระกูลซู มิใช่ว่าบ้านใหญ่และบ้านสามของตระกูลซูกำลังต่อสู้กันอยู่รึ? แม้ข้าจะไม่ใคร่รู้รายละเอียดข้างในนัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อพี่สะใภ้สามเป็นหลานสาวแท้ๆ ของฮูหยินสามตระกูลซู ย่อมต้องหวังให้ท่านอาของตนได้ชัยชนะ นางเติ้งเป็นสะใภ้ในบ้านใหญ่ของตระกูลซูตั้งท้องแต่กลับไม่ยอมบอกผู้ใด ทั้งยั้งจะอุ้มท้องติดตามสามีไปรับตำแหน่งต่างเมืองด้วย เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่! ไม่แน่ว่าฮูหยินสามตระกูลซูอาจใช้ประโยชน์จากเงื่อนงำนี้ได้? หรือต่อให้ไม่ได้ ดีชั่วอย่างไรให้เจ้าวิ่งไปรอบหนึ่ง ก็มิใช่ว่าได้ขนมบ๊วยเปรี้ยวตะกร้านี้มาแบ่งกับพวกเจ้าหรอกรึ? เจ้ามีเรื่องได้เสียเปรียบกัน!”
ม่านม่านอธิบายยิ้มๆ ว่า “บ่าวก็มิได้บอกว่าเสียเปรียบนี่เจ้าคะ บ่าวก็เพียงไม่เข้าใจจึงลองสอบถามท่าน ก็เพียงเพราะบ่าวโง่เกินไปเกรงว่าจะทำให้ท่านเสียการเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกสิ่งใด เจ้าก็ทำตามเป็นพอ ไม่ต้องไปคิดเรื่องใดให้วุ่นวาย” เผยเหม่ยเหนียงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าพี่สะใภ้สามดูไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าอีกประเดี๋ยวนางจะส่งคนไปบอกอาของนางหรือไม่? หรือว่าต้องตกใจหน้าถอดสีต่อหน้าเจ้าจึงจะนับว่าใส่ใจกัน? เจ้านี่ จริงๆ เชียว!”
_____________________