ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 185 เป็นคนดีอีกสักครั้ง
ข่าวที่เผยเหม่ยเหนียงให้สาวใช้ม่านม่านนำมาส่งนั้น ปรากฏว่าพอเว่ยฉางอิ๋งหันหน้าไปก็สั่งให้คนไปบอกแก่เว่ยเจิ้งอินจริงๆ เว่ยเจิ้งอินได้รับข่าว ก็จงใจไปพบกับนางเติ้งระหว่างทางหลายครั้งและคอยสังเกตอย่างละเอียด ปรากฏว่ามองเห็นเบาะแสบางอย่างจริงดังว่า
เมื่อกลับถึงในห้องจึงหารือกับแม่นมชวี่ว่า “นางเติ้งปิดบังเรื่องตั้งท้อง เห็นชัดว่าไม่อยากให้นางเฉียนใช้เป็นข้ออ้างให้นางถูกบีบอยู่ในกำมือต่อไป เจ้าว่าพวกเรา…”
แม่นมชวี่กลับเอ่ยเตือนว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่ติดตามคุณชายใหญ่ออกไปจากเมืองหลวงก็มิใช่ว่าพอดีแล้วหรือเจ้าคะ? เวลานี้ฮูหยินน้อยรองอยู่ที่บ้านแม่ เรือนหลังในเวลานี้เป็นฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยสามช่วยกันดูแล เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่ไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงฮูหยินน้อยสามดูแลบ้านเพียงคนเดียว ในบ้านเราพวกฮูหยินน้อยดูแลบ้านมาหลายปีแล้ว ฮูหยินน้อยสามเองก็เก่งกาจ มิใช่ว่าจะดูแลบ้านเพียงคนเดียวไม่ได้ ฮูหยินใหญ่ยังจะวางฐานะตนแล้วมาแย่งอำนาจการดูแลบ้านกับคนรุ่นลูกได้หรือเจ้าคะ? ฮูหยินน้อยสามเป็นคนบ้านสอง ฮูหยินท่านคิดว่าคนเช่นฮูหยินใหญ่จะยอมวางใจฮูหยินน้อยสามได้หรือเจ้าคะ? คงอดจะเร่งแต่งภรรยาให้คุณชายสี่เสียเร็วๆ ไม่ได้ เพื่อจะช่วงชิงอำนาจการดูแลบ้านเรือนกลับมา! คุณชายของเราก็อายุสิบเก้าแล้ว คุณหนูผู้พี่อายุเท่าคุณชาย แม้จะโตกว่าสักหน่อย แต่เวลานี้ก็มีบุตรชายคนโตแล้ว แม้คุณชายจะเป็นชาย แต่หากยังยื้อต่อไปก็หาใช่ที่ ประสาอะไรที่เวลานี้คุณชายกำลังรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์จี้ หากฮูหยินท่านจัดการให้ว่องไวสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจกำหนดเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณชายได้เรียบร้อยก่อนคุณชายจะกลับไปตงหูอีกครั้งนะเจ้าคะ?”
คำพูดนี้ทำให้เว่ยเจิ้งอินปลอดโปร่งโล่งใจนัก รีบพยักหน้า แทบทนรอให้นางเติ้งออกไปจากเมืองหลวงเร็วๆ ไม่ได้ เมื่อใคร่ครวญดูอย่างละเอียดก็กลัวว่าครั้งนี้นางพยายามปิดท้องที่โตขึ้นมาอย่างสุดกำลัง อย่างได้ทนแรงกระเทือนระหว่างทางไม่ได้จนแท้งเสียเล่า หากเป็นดังนั้นแล้วต้องกลับมาพักฟื้นอีกครั้ง ก็จะยุ่งยากแล้ว ดีชั่วอย่างไร ครั้งซูอวี๋หลีออกเรือน เว่ยเจิ้งอินก็เคยเป็นคนดีมาครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้เพื่อให้เรื่องสำคัญชั่วชีวิตของบุตรชายสามารถกำหนดได้ไวๆ อย่างนั้นก็เป็นคนดีอีกสักครั้งเถิด …จึงไปรวบรวมยาชุดที่ใช้ทั้งรักษาครรภ์ บำรุงครรภ์ต่างๆ นานาจากจี้ชวี่ปิ้งและนางหวงมาจำนวนหนึ่ง และไปขอยาปรุงเสร็จที่เอาไว้ใช้ยามเร่งด่วนมาอีกสองสามชุด ห่อของเหล่านี้ให้ดี แล้วเอาของอื่นๆ บังข้างนอกเอาไว้
อาศัยจังหวะช่วงฟ้ามืดแล้ว และยังไม่ทันลงกลอนประตูเรือน ส่งสาวใช้ที่คล่องแคล่วแอบนำไปส่ง กำชับกับสาวใช้ว่าหากยังมอบให้นางไม่ได้ก็ค่อยไปคราวหลัง อย่าให้นางเฉียนพบเห็นเข้าเด็ดขาด
ดีที่นางเฉียนไม่รู้เรื่องนางเติ้งตั้งท้อง และตลอดมานางเติ้งก็เชื่อฟังนางมาโดยตลอด นางเฉียนจึงไม่ได้คอยจ้องที่เรือนของนางเกินไปนัก กอปรกับแม้ว่านางเติ้งจะเป็นหุ่นเชิดของนางเฉียน แต่อย่างไรนางก็เป็นฮูหยินน้อยที่ปกครองบ้าน จึงพอจะมีบ่าวคนสนิทจำนวนหนึ่ง สาวใช้นำของไปส่งอย่างราบรื่น และเมื่อกลับมาถึงบ้านสามก็เล่าเรื่องแต่ต้นจบจบให้เว่ยเจิ้งอินฟัง “เมื่อครู่นี้ ตอนฮูหยินน้อยใหญ่เห็นบ่าวก็ตกใจยกใหญ่ รอจนเห็นเสื้อผ้าที่บ่าวนำไปมอบให้ ตอนแรกนางก็มีท่าทีประหลาดใจ บ่าวจึงขอให้นางเปิดออก ฮูหยินน้อยใหญ่เห็นแล้วจึงเข้าใจความตั้งอกตั้งใจของฮูหยินเจ้า พลันหลั่งน้ำตาลงมาทันใดเชียวเจ้าค่ะ”
ยังไม่เพียงเท่านี้ “เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่ได้ยินบ่าวบอกว่า ฮูหยินรู้นานแล้วว่านางตั้งครรภ์ และรู้ว่าเหตุใดนางต้องปิดบังเอาไว้ เพียงแต่อย่างไรนางก็เป็นสะใภ้ของบ้านใหญ่ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินและฮูหยินใหญ่ …ก็เกรงว่ายิ่งช่วยพูดให้นางก็จะยิ่งเป็นการทำร้ายนาง ฉะนั้นจึงได้แต่ทำเป็นไม่รู้ ทว่าหลิ่งหนานห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้ ระหว่างทางก็เป็นภูเขามากมาย ต้องลำบากนักหนา เป็นห่วงว่าระหว่างเดินทางฮูหยินน้อยใหญ่จะไม่สะดวก จึงส่งคนให้ไปรวบรวมยาแขนงต่างๆ มาให้อย่างลับๆ ยังมียาที่ปรุงเสร็จแล้วจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งไปเอามาจากท่านหมอเทวดาจี้ทั้งสิ้น บนกระดาษห่อยาล้วนเขียนสรรพคุณและวิธีใช้เอาไว้แล้ว ด้วยกลัวว่าระหว่างทางไปหลิ่งหนานฮูหยินน้อยใหญ่จะตระเตรียมหยูกยาไปไม่พร้อมเจ้าค่ะ …สรุปก็คือฮูหยิน เข้าใจความลำบากใจของฮูหยินน้อยใหญ่ และรู้ว่าตลอดหลายปีมานี้ฮูหยินน้อยใหญ่อยู่ในบ้านอย่างไม่ง่ายดายเลย ได้แต่หวังว่าเมื่อครานี้ฮูหยินน้อยใหญ่ออกไปแล้ว จะสามารถคลอดทายาทออกมาได้อย่างปลอดภัย ราบรื่น ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเจ้าค่ะ”
สาวใช้พูดถึงตรงนี้นางเองก็มีท่าทีสะเทือนใจด้วยเช่นกัน นิ่งไปสักพักจึงบอกว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่พลันลุกขึ้นมาจากที่นั่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หันหน้ามาทางบ้านสามของเราแล้วโขกหัวโป๊กๆ คำนับไปสามครั้งเจ้าค่ะ! สาวใช้ข้างกายจะดึงไว้ก็ดึงไม่อยู่! หากมิใช่ว่าท่านอาข้างกายนางบอกว่าให้ระวังลูกในท้องด้วย ก็เกรงว่าฮูหยินน้อยใหญ่ยังคงจะโขกหัวต่อไปเจ้าค่ะ! เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่ลุกขึ้นมาแล้วก็บอกกับบ่าวทั้งน้ำตาว่าต้องให้บ่าวบอกกับฮูหยินท่านให้ได้ว่า ชั่วชีวิตนี้ จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลย! วันหน้าขอเพียงท่านมีการงานใดให้เรียกใช้ ต่อให้นางต้องร่างยับกระดูกป่นก็จะทำให้ท่านให้จงได้! หากมีชาติหน้า นางก็ยินยามจะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านเจ้าค่ะ!”
เดิมทีที่เว่ยเจิ้งอินช่วยเหลือหลานสะใภ้คนนี้ก็เพราะผลประโยชน์ส่วนตัว เวลานี้มาได้ยินสาวใช้บอกว่านางเติ้งซาบซึ้งถึงเพียงนี้นางเอก็รู้สึกจุกอยู่ในอกเป็นนักหนา “เจ้าเด็กน่าสงสารคนนี้ต้องทนถูกนางเฉียนรังแกมากมายเต็มทน! แม้แต่ลูกคนก่อนซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของบุตรภรรยาเอกแท้ๆ ก็ยังถูกนางเฉียนข่มเหงเสียจนต้องมาตายไปตั้งแต่อายุน้อยๆ …ก็มิน่าเล่านางถึงไม่กล้าอยู่คลอดลูกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของนางเฉียนอีกต่อไป ข้าก็แค่ส่งของเล็กๆ น้อยๆ ไปให้ แต่นางกลับซาบซึ้งจนถึงเพียงนี้”
แม่นมชวี่ทอดถอนใจว่า “ก็ไม่แปลกที่ฮูหยินน้อยใหญ่จะซาบซึ้งเพียงนี้เจ้าค่ะ เพราะแม้สำหรับฮูหยินแล้วจะเป็นเพียงการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับนางแล้ว บางทีนี่คือทางรอดของสองชีวิตเชียวนะเจ้าคะ?”
“สองชีวิตเชียวนะ…” เว่ยเจิ้งอินเม้มปาก บอกว่า “เช่นนั้นข้าก็จะช่วยให้ครบทุกเรื่องไปเสียเลยดีกว่า ถือว่าเพิ่มบุญกุศลให้แก่อวี๋อู่” เมื่อมีจี้ชวี่ปิ้งอยู่ นางจึงอารมณ์ดียิ่งนัก ไม่ถึงสองวันก็ให้สาวใช้วิ่งไปอีกรอบ ไปส่งยาที่ใช้ป้องกันและยารักษาโรคต่างๆ ที่มักพบที่หลิ่งหนาน และเพิ่มยาถอนพิษและป้องกันอากาศพิษต่างๆ ที่มักพบที่นั่นไปด้วย …ด้วยเหตุที่ยาเหล่านี้ยังไม่ถึงกับต้องใช้ความรู้พิเศษเฉพาะตัวอันใด จี้ชวี่ปิ้งจึงไม่ได้เรียกเงินทองมหาโหด แต่ลำพังแค่อาศัยป้ายยี้ห้อของจี้ชวี่ปิ้ง คำพูดของสาวใช้ประโยคหนึ่งว่า ‘ล้วนเป็นฮูหยินสามตั้งใจไปเอามาจากจี้ชวี่ปิ้งโดยเฉพาะ’ ในสายตาของนางเติ้งแล้วจะบอกว่ายาเหล่านี้มีค่าดังทองพันชั่งก็ไม่เกินเลยไปจริงๆ
ความซาบซึ้งที่ซูรั่วเฉี่ยนและนางเติ้งมีต่ออาสะใภ้สามนั้นแทบจะบรรยายออกมาไม่ได้ เพียงแต่ติดที่สายตาของนางเฉียนและคนอื่นๆ จึงไม่ได้แสดงออกให้เห็นเท่านั้น จนถึงวันที่ต้องไปรับตำแหน่ง ทุกคนในบ้านมารวมกันที่โถงหลักเพื่อส่งเขาออกเดินทาง บรรดาญาติผู้ใหญ่ก็พากันมาอบรมเขา … สองสามีภรรยาไม่กล้าแสดงท่าทีใดๆ ออกมา เพียงแต่ครั้งคารวะลาท่านอาและอาสะใภ้สามพวกเขาก็โขกหัวเสียงดังเป็นพิเศษสักหน่อยเท่านั้น…
ซูรั่วเฉี่ยนพานางเติ้งไปรับตำแหน่งด้วยไม่ทันสองวันก็เป็นวันที่สิบแปดเดือนห้า ซึ่งเป็นวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนพอดี ด้วยฮ่องเต้รักใคร่พระราชธิดาพระองค์นี้อย่างยิ่ง ปีก่อนจึงสั่งให้ฮองเฮาจัดงานเลี้ยงให้นาง ให้สตรีชั้นสูงในเมืองหลวงเข้ามาถวายพระพรให้วันประสูติขององค์หญิงด้วยกันในวัง แต่ด้วยปีนี้พระมารดาจี้อ๋องมาสิ้นประชนม์ในเดือนหนึ่ง และ พระมารดาจี้อ๋องก็นับเป็นพระมารดาอีกพระองค์ของ องค์หญิงหลินชวน นี่ก็เพิ่งจะเดือนห้า หากจะมาจัดการงานเลี้ยงใหญ่โตก็ไม่เข้าที
ด้วยเหตุนี้ ฮองเฮาจึงจัดการเลี้ยงให้เล็กลง และให้สตรีชั้นสูงขั้นหนึ่งและสองรวมทั้งสะใภ้และบุตรสาวเข้าวังมาถวายพระพร
เนื่องจากเว่ยฉางอิ๋งยังคงไว้ทุกข์ให้นางตวนมู่อาสะใภ้ของนางอยู่จึงไม่ได้ไปอีกแล้ว แต่เมื่อเสิ่นจั้งหนิงกลับมาก็มารายงานนางว่า “องค์หญิงอันจี๋ตรัสถามหาพี่สะใภ้สามด้วยเจ้าค่ะ!”
“องค์หญิงตรัสหรือไม่ว่ามีเรื่องใด?” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัย
“องค์หญิงตรัสว่าระยะนี้ท่านหญิงเจินอี้ไม่ใคร่อยากอาหาร ได้ยินว่าท่านอาหวงของพี่สะใภ้สามชำนาญด้านการทำอาหารปรับธาตุ อยากได้สูตรอาหารเล็กๆ น้อยๆ หรือขนมสักสองสามชนิดที่ทำให้เจริญอาหารเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งหนิงเข้ามาคล้องแขนทำทีออดอ้อนนาง “ข้าคิดว่าที่องค์หญิงอยากจะบอกจริงๆ คงมิใช่เพียงแค่นี้ จะต้องมีเรื่องอื่นที่จะตรัสบอกกับพี่สะใภ้สามแน่ๆ …พี่สะใภ้สามบอกข้ามาเถิดได้หรือไม่? เหตุใดพี่สะใภ้สามและองค์หญิงจึงได้สนิทสนมกันแล้ว? พวกเราออกจะกลัว องค์หญิงอันจี๋แต่พี่สะใภ้สามกลับไม่กลัวนาง?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มตาหยีแล้วชี้นิ้วไปแตะจมูกนาง กล่าวว่า “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก! ความลับของเจ้ากับพี่สะใภ้เติ้งเมื่อปีก่อน เจ้าก็ไม่ยอมบอกข้า วันนี้ข้าก็จะไม่บอกเจ้าเช่นกัน!”
“พี่สะใภ้สามใจร้ายจริงๆ!” เสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างน้อยใจ “ท่านเป็นพี่สะใภ้นะ โตกว่าข้า ก็ยอมให้ข้าสักน้อยเป็นไร!”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “ไม่มีความลับอันใด ก็เป็นเรื่องที่ว่ามานั่นล่ะ หาไม่ เจ้านึกว่าจะมีความลับใดเล่า?”
เสิ่นจั้งหนิงเบียดตัวเข้ามาอ้อนนาง เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ความลับมีออกตั้งมายมายเชียว! พี่สะใภ้สามท่านอย่านึกว่าข้าไม่รู้ …ปีนั้นท่านหญิงเจินอี้เป็นที่รักได้ไม่นานก็ล้มป่วย ตลอดหลายปีมานี้ก็สุขภาพไม่สู้ดีมาโดยตลอด หลายคนพากันพูดว่านั่นเพราะนางถูกคนวางยาให้ไม่หายเสียที! ไม่แน่ว่าองค์หญิงอันจี๋จะหาท่านอาหวง ก็หาใช่เพียงอยากทำของให้ท่านหญิงเจินอี้ทานแล้วเจริญอาหารเท่านั้น ในห้องเครื่องต้นในวัง ยังมีครัวย่อยๆ อีกหกห้อง ส่วนที่มอบให้แก่ตำหนักโต้วจิ่นก็ไม่ได้ดีอันใดมากมายมาแต่ไร พอองค์หญิงอันจี๋ได้สูตรไปแล้วจะหาของมาทำได้ครบหรือไม่ยังเป็นปัญหาเลย แล้วจะมีประโยชน์อันใด? ข้าเดาว่าความจริงแล้วองค์หญิงอันจี๋ทรงคิดอยากจะหาตัวคนที่ทำร้ายท่านหญิงเจินอี้ต่างหาก!”
เมื่อเห็น เว่ยฉางอิ๋งมองตนเองอย่างไร้คำพูด เสิ่นจั้งหนิงจึงถามอย่างได้ใจว่า “ใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่? ข้าถูกล่ะสิ? ข้าฉลาดหรือไม่เล่า?”
“น้องหญิงสี่นี่ฉลาดจริง!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยด้วยความนับถือ
เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะหัวเราะออกมาอย่างได้อกได้ใจ กลับได้ยินนางพูดอีกว่า “ทว่าผิดแล้ว เจ้าเดาผิดแล้ว!”
“พี่สะใภ้สามร้ายกาจที่สุดเลย!” เสิ่นจั้งหนิงโกรธจนสะบัดมือนางออก แล้วเท้าสะเอวข่มขู่ว่า “ข้าจะไปปลุกหลานตัวน้อย ให้เขามากวนท่าน!”
“คุณหนูสี่โปรดคิดให้ถี่ถ้วนเจ้าค่ะ!” เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันพูด บ่าวข้างกายของ เสิ่นจั้งหนิงก็ร้อนรนขึ้นมาแล้ว รีบบอกไปว่า “คุณชายหลานรองอายุยังน้อยนัก อย่าไปรบกวนเขานะเจ้าคะ! หากให้ฮูหยินรู้เข้าจะต้องลงโทษท่านอย่างหนักแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ล้อเล่นอันใด ฮูหยินซูเห็นหลานชายคนใหม่ดังไข่มุกดังหยก ไม่เห็นหรือว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็มีความสำคัญขึ้นมามากมายเพราะบุตรชาย สามารถข่มพี่สะใภ้ทั้งสองคนลงได้ในทันใด และเข้ามาดูแลปกครองบ้านแล้ว? แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฮูหยินซู แต่ฮูหยินซูก็ทั้งดุทั้งดีและอบรมบุตรสาวคนนี้อย่างเข้มงวดตลอดมา นี่หากรู้ว่า เสิ่นจั้งหนิงกล้าไปรบกวนหลานชายตัวน้อยสุดที่รักของตน ฮูหยินซูไม่ตีนางจนพังยับไปทั้งจวนก็แปลกแล้ว!
ไม่แน่ว่าวันหลังอาจไม่อนุญาตให้นางไปที่เรือนจินถงอีกแล้วด้วย!
เมื่อถูกแขวะเอาดังนี้ เสิ่นจั้งหนิงจึงถลึงตาแรงๆ ใส่บ่าวไปคราวหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าโง่เพียงนั้นรึ? ข้าก็เพียงพูดไปเท่านั้น! พวกเจ้าพูดเช่นนี้ แล้วข้าจะข่มพี่สะใภ้สามได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มอย่างเยือกเย็นว่า “ต่อให้พวกนางไม่พูด น้องหญิงสี่ก็ขู่ข้าไม่ได้หรอก! เจ้าเป็นอาแท้ๆ ของกวงเอ๋อร์นะ แล้วเจ้าก็ดีต่อพี่สะใภ้เรื่อยมา ประสาอะไรกับหลานชาย? เจ้าตัดใจปลุกเขาได้ก็แปลกแล้ว!”
เสิ่นจั้งหนิงได้ยินคำก็ขยับเข้ามาข้างตัวนาง พูดประจบว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้ก็รู้ว่าข้าดีต่อพี่สะใภ้ แล้วไยยังไม่บอกข้าเล่า?”
“น้องหญิงสี่เหตุใดวันๆ เจ้าเอาแต่สนใจสิ่งเหล่านี้?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางชี้นิ้วแตะหว่างคิ้วนาง “เจ้าน่ะ อย่าหาเรื่องอีกเลย องค์หญิงก็เพียงอยากได้สูตรอาหารยาเท่านั้น คราหน้าเข้าวัง หากข้ายังไปไม่ได้อีกก็ต้องฝากเจ้านำไปให้แล้ว เจ้าต้องช่วยพี่สะใภ้เรื่องนี้นะ”
เสิ่นจั้งหนิงเดินจากไปอย่างไม่ยอมใจ
แต่หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม นางก็มาหาคนเดียว แล้วเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “พี่สะใภ้ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่านเป็นการส่วนตัว”
รอจน เว่ยฉางอิ๋งสั่งให้คนออกไปหมดตามที่นางบอกว่า เสิ่นจั้งหนิงจึงยู้ปาก ทางหนึ่งพลางหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากในอก ทางหนึ่งก็บอกว่า “เฮ่อ องค์หญิงอันจี๋ฝากให้ข้านำของสิ่งนี้มาให้ท่าน และยังฝากคำพูดมากด้วย เมื่อครู่นี้ท่านไม่ยอมบอกความลับแก่ข้า เดิมทีข้าไม่อยากจะให้ท่าน แต่คิดๆ ไปแล้วก็ให้ท่านเสียดีกว่า อย่าได้ทำให้พวกท่านเสียการ”
เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ตกหลุมพราง ยิ้มพลางว่า “องค์หญิงอันจี๋จะให้เจ้านำของมาให้ข้าได้อย่างไร? เป็นของใดกัน? ข้าสงสัยเสียจริง”
ใครจะรู้ว่า เสิ่นจั้งหนิงกลับหยิบเอาของที่มีรูปทรงคล้ายปิ่นออกมาจากในห่อผ้าจริงๆ แล้วเปิดออก กลับเป็นดอกไม้อัญมณีกลางเก่ากลางใหม่ดอกหนึ่ง …เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงน้อยๆ ดอกไม้อัญมณีนี้คล้ายๆ ว่าคุ้นตา แน่นอนว่าเคยเห็นปักอยู่บนหัวขององค์หญิงอันจี๋มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น หากเสิ่นจั้งหนิงคิดจะหาของอื่นมาแทนก็เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย นางเป็นคุณหนูมีตระกูล ทั้งไม่อาจไปหาซื้อของที่ตลาดได้ตามใจ ฮูหยินซูก็อบรมสั่งสอนบุตรสาวคนนี้อย่างเข้มงวดนัก แต่ของที่บรรดาคุณหนูมีตระกูลมี เสิ่นจั้งหนิงก็มิได้ขาดเหลือ
ในมือของเสิ่นจั้งหนิงไม่น่าจะมีดอกไม้อัญมณีที่เก่าเพียงนี้ …น้องสาวสามีผู้นี้ชื่นชอบการแต่งหน้าแต่งตัวที่ประหลาดออกเพียงนั้น จึงชอบเปลี่ยนเครื่องประดับและแป้งชาดแต่งหน้าใหม่ๆ มาอย่างกระตือรือร้น
เว่ยฉางอิ๋งอดคิดถึงเรื่องที่พูดกับองค์หญิงอันจี๋เมื่อคราวก่อนขึ้นมาไมได้ บางทีองค์หญิงอันจี๋… จึงโพล่งถามไปคำหนึ่งว่า “แล้วคำที่องค์หญิงให้เจ้านำมาคือ…?”
เพิ่งจะสิ้นคำ เสิ่นจั้งหนิงก็เก็บดอกไม้อัญมณีนั้นไป แล้วหัวเราะเสียงดังอย่างได้ใจ “ฮ่าๆ! ข้ารู้แล้วว่าพี่สะใภ้ท่านมีเรื่องสมคบคิดกับองค์หญิง! เห็นหรือไม่ ถูกข้าหลอกถามได้แล้วเป็นไร?”
______________________