ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 189-1 ฮูหยินกู้
แต่แรกนั้นเมื่อได้ยินว่า ท่านหญิงเจินอี้ประชวรหนัก เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพียงแต่คำเชิญขององค์หญิงหลิงเซียนไม่ประสบความสำเร็จ นางเองจึงไม่มีหนทางติดต่อกับองค์หญิงอันจี๋ได้ และทำได้เพียงรอดูความเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ
และนิ่งรอดูอยู่เพียงไม่กี่วัน ซ่งไจ้สุ่ยก็ส่งคนมาเชิญนางไปพบที่จวนสักหน
หลังเสิ่นซูกวงอายุครบเดือนได้ไม่ถึงสองวัน ฮูหยินซูก็ออกปากเองว่าให้เว่ยฉางอิ๋งเข้ามาดูแลปกครองบ้าน แม้จะเป็นเพราะว่าจวนราชครูใหญ่โตทั้งมีกิจการมากมาย จึงไม่อาจมอบให้เว่ยฉางอิ๋งดูแลทั้งหมดในทันทีทันใด ทว่าเวลานี้เว่ยฉางอิ๋งก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมาเสียยิ่งนัก
แต่ซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็นที่สุด แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเวลานี้นางปลีกตัวไปยากเพียงใด? เป็นดังนี้แล้วก็ยังส่งมาเชิญนาง และคนที่มาก็ไม่ได้บอกกล่าวคุณหนูใหญ่บ้านตนมีเรื่องใดจึงต้องเชิญลูกผู้น้องไปพบ หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่โตใดจริงๆ? เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองดูก็ยังตัดสินใจว่าจะหาเวลาว่างไปสักหน จึงไปขออนุญาตกับฮูหยินซู “นับแต่มาอยู่ที่เมืองหลวง สะใภ้ยังไม่เคยไปคารวะท่านลุงต่อหน้าเลยสักครั้ง ยามนี้ลูกผู้พี่ส่งคนมาเชิญ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะท่านลุงมีเวลาว่างหรือมีเรื่องอื่นใดจะหารือ จึงขออนุญาตท่านแม่ด้วยใจจริงให้สะใภ้ไปเยี่ยมเยือนสักครั้งเจ้าค่ะ”
เพราะเวลานี้นางให้กำเนิดหลานชาย ทำให้ฮูหยินซูรักใคร่นางเป็นนักหนา จึงตอบรับไปว่า “นี่เป็นการสมควรแล้ว เพียงแต่บ้านเรามีงานมากมาย เจ้าไปแล้วก็ควรกลับมาภายในวันเดียวเป็นดี”
“ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ สะใภ้ไม่กล้าชักช้าร่ำไรแน่นอนเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างโล่งอก
ดังนี้ เมื่อมาถึงจวนตระกูลซ่ง ซ่งไจ้สุ่ยก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เดินไปไม่ทันสองก้าวก็สั่งให้บ่าวซ้ายขวาถอนหลังออกไปสักหน่อย อย่าได้มารบกวนสองพี่น้องสนทนากัน เมื่อเห็นดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันคิดในใจว่าที่แท้ผู้พี่มีเรื่องจะพูดกับนางจริงๆ …ทว่าหลังจากซ่งไจ้สุ่ยรอให้คนถอยห่างออกไปแล้ว กลับยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งจ้องมองนาง แล้วเอ่ยถามอย่างสบายๆ ว่า “ไยเจ้าไปล่วงเกินคนบ้านฮั่วเสียแล้ว? เจ้าน่าจะรู้ว่าที่ให้เจ้ามาวันนี้ก็เป็นเพราะพี่สะใภ้ใหญ่ไหว้วานข้ามา?”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งพลันนึกถึงเรื่องของฮั่วเจ้าอวี้ขึ้นมาทันใด และรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน กล่าวว่า “หรือว่าวังหลวงส่งคนไปสอบถามตระกูลฮั่วแล้ว?”
ซ่งไจ้สุ่ยเองก็นิ่งอึ้งไปสักพัก บอกว่า “วังหลวง? นี่มันเรื่องใดกัน? เจ้ารีบบอกข้ามา!”
เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยพลันขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้านี่ก็จริงๆ เชียว ยังไม่ทันบอกกล่าวกับตระกูลฮั่วสักคำก็แนะนำคนไปเสียแล้ว เวลานี้ตระกูลฮั่วยากลงจากหลังเสือ ตอบรับก็ไม่ได้ไม่ตอบรับก็ไม่ได้ …ก็มิน่าเล่าที่ตระกูลฮั่วอยากจะมาถามไถ่เอาความกับเจ้า!”
“แต่เหตุใดตระกูลฮั่วจึงรู้เรื่องเสียแล้วเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งออกจะไม่เข้าใจ “ตอนที่ข้าบอกกับองค์หญิงอันจี๋ก็ไม่มีคนที่สามอยู่ด้วยนี่นา!”
“ไม่แน่ว่าอาจเป็นองค์หญิงอันจี๋บอกออกมาเอง?” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ในเมื่อองค์หญิงพระองค์นี้ก็ยังบอกกับเจ้ามาชัดเจนแล้วว่าก่อนหน้านั้นนางเห็นองค์หญิงหลินชวนช่วยพูดให้เจ้า ซึ่งดูไม่เป็นเรื่องปกติ นึกว่ามีผลประโยชน์ใดจึงได้เข้าไปช่วยพูดด้วยสักคำ แต่กลับไม่คิดว่าเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงหลินชวนจึงมาช่วยเจ้า นางจึงค่อยมาคิดว่าจะหาประโยชน์ใดจากเจ้าได้บ้าง …แล้วเจ้านึกว่านางจะเก็บรักษาความลับอันใดได้? เจ้าลองคิดดูว่านางและท่านหญิงเจินอี้ล้วนไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แม้แต่ตนเองก็ยากจะปกป้องได้เลย แล้วจะคิดให้มาทำสิ่งใดเพื่อเจ้าอีก?”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าทำผิดต่อตระกูลฮั่วจริงดังว่า แต่เหตุการณ์ก็เป็นไปดังนี้แล้ว ข้าจะทำอย่างไรดีเล่า?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเรียบๆ ว่า “อย่างไรเสีย ตระกูลฮั่วก็ไม่อาจจับเจ้ากินได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไปขอขมาเถิด” แล้วทอดถอนใจว่า “เจ้าจะมาหมดอาลัยตายอยากอันใด? คนที่ควรหมดอาลัยตายอยากควรเป็นข้าต่างหาก เพราะตระกูลฮั่วมาหาข้าผ่านทางพี่สะใภ้ใหญ่ แล้วไม่แน่ว่างานไกล่เกลี่ยในวันนี้ ต่อให้ข้าอยากจะผลักไสก็คงไม่ได้เสียแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยสักน้อย แต่ข้ากลับไม่อาจไม่ช่วยไปขอขมากับเจ้าและยังต้องถูกเยาะหยันไปกับเจ้าด้วย!”
แล้วต่อว่าต่อขานนางว่า “เจ้าเด็กแล้งน้ำใจ เจ้ามานี้ก็ไม่เอาหลานชายข้ามาด้วย ข้าได้เห็นเขาแล้วจะได้ดีใจขึ้นมาบ้าง”
“ข้าจะพาเขาออกมาข้างนอกได้ที่ใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย เมื่อได้ยินเรื่องของบุตรชายกลับรู้สึกดีขึ้นมาสักหน่อย “เมื่อได้ยินว่าวันนี้ข้าจะมาหาท่านที่นี่ แม่สามีก็บอกว่าไม่มีคนควบคุมดูแลในเรือนจินถงก็ไม่ดี แล้วเรียกให้คนอุ้มเข้าไปที่เรือนหลักในทันใด”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็ว่าอยู่ว่าเหตุใดพอส่งคนไปเจ้าก็มาได้ในทันที? คนเป็นสะใภ้ ถัดขึ้นไปยังมีแม่สามี จะอิสรเสรีเช่นนี้ได้ที่ใด! ที่แท้เจ้าก็ได้ดีเพราะบุตรชายนี่เอง”
“ออกจะเป็นเช่นนั้นจริงดังว่า” เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ปฏิเสธ “นับแต่กวงเอ๋อร์ลืมตาดูโลก ท่านแม่ก็ดีกับข้าอย่างมากขึ้นมาในทันใด แม้แต่พี่สะใภ้ทั้งสองก็ไม่ได้มาหาเรื่องหาราวเหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างเช่นวันนี้ข้าปลีกตัวจากงานต่างๆ มาพบท่านที่นี่ หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ท่านแม่อนุญาตแล้ว พวกพี่สะใภ้ก็ต้องมาพูดนั่นพูดนี่ วันนี้พอท่านแม่รับปาก พวกนางล้วนเอ่ยสำทับ แตกต่างกับเมื่อก่อนนี้ลิบลับ ที่จะต้องพูดเหน็บแนมสักคำสองคำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้แม่สามีเจ้าต้องการให้เจ้าปกครองจวนเพียงคนเดียว ยามนี้พวกนางคงแทบทนรอให้เจ้าออกไปข้างนอกบ่อยๆ ไม่ได้ พวกนางจะได้ถูกเรียกตัวให้มาดูแลงานสักสองสามงานน่ะสิ!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็เดินมาถึงเรือนใหญ่แล้ว ทั้งสองคนเดินเข้าประตูมา ก็ปรากฏว่ามองเห็นร่องรอยการจัดแจงสถานที่ไว้ล่วงหน้าแล้ว เหลือไว้เพียงสาวใช้ที่โตแล้วซึ่งมีความสามารถพอให้เชื่อถือได้สองสามคนเอาไว้ดูแลรับใช้เท่านั้น ส่วนนางฮั่ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็กำลังนั่งสนทนาอยู่กับสตรีในชุดหรูหรานางหนึ่ง ในที่นั่งรองถัดจากสตรีผู้นี้ยังมีเด็กสาวในชุดสีสันสวยงามนั่งอยู่อีกผู้หนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งกลับเด็กสาวผู้นี้จำได้ นางก็คือคุณหนูตระกูลฮั่ว ฮั่วชิงหลิงที่เคยพบมาก่อนหน้านี้สองครั้ง
เมื่อมีฮั่วชิงหลิงมาด้วย ไม่ต้องถามก็รู้ว่านางเป็นญาติผู้ใหญ่ของตระกูลฮั่ว
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกผิดยิ่งนัก เวลานี้จึงวางตัวค่อนข้างลำบาก นางฮั่วและสตรีในชุดหรูหราผู้นั้นกลับมีท่าทีเกรงอกเกรงใจ …แล้วนางฮั่วก็แนะนำว่าสตรีผู้นี้คือนางกู้ ท่านป้าใหญ่บ้านฝั่งมารดาของนาง “จะว่าไปแล้วทางสายของท่านป้าใหญ่ของข้าผู้นี้มีความเกี่ยวพันเล็กน้อยกับบ้านฝั่งมารดาของน้องเว่ย ทว่าน้องเว่ยเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงคงไม่ทราบกระมัง?”
“ข้ากลับไม่ค่อยได้ยินเรื่องใดมากนัก ต้องขอให้พี่สะใภ้ฮั่วชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
นางฮั่วจึงแย้มยิ้มและเริ่มพูด “ลูกผู้น้องที่ชื่อว่าเฉินยวนของข้า ก็คือบุตรชายคนรองของท่านป้าใหญ่ แต่เล็กจนถึงบัดนี้ได้ฝากตัวขอร่ำเรียนวิชากับใต้เท้าเสนาบดีฝ่ายปกครอง”
“ที่แท้คุณชายรองฮั่วเป็นศิษย์ของท่านอา” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งนับไปดังนี้จึงรู้สึก วางตัวไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย …แล้วเช่นนี้จะเรียกขานกันอย่างไรดี? หากนับจากทาง เสิ่นจั้งเฟิงนับว่าเป็นสหายในรุ่นเดียวกันกับฮั่วเฉินยวน ทว่าเวลานี้หากนับตามทางฝั่งของเว่ยอวี้ ก็มิใช่ว่าตนเองต้องเรียกขานฮั่วเฉินยวนว่าท่านอาตระกูลฮั่วหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วนางฮั่วที่อยู่ตรงหน้าและฮูหยินกู้ก็…
ดีที่ฮูหยินกู้รีบเข้ามาช่วยพูดไกล่เกลี่ยอย่างนุ่มนวลและถ่อมตนว่า “บุตรชายข้าเบาปัญญานัก บุญที่ใต้เท้าเสนาบดีปกครองไม่รังเกียจว่าเขาไม่เอาถ่านจึงรับเข้าไว้ และคอยสอนสั่งแต่เช้าจนค่ำ”
——————————