ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 19 โรคกับพิษ
วันนี้เดิมทีนางหวงก็ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาที่บ้านใหญ่ด้วย เว่ยฉางอิ๋งปลอบนางหลิวได้แล้ว เห็นนางเช็ดหน้าตาเรียบร้อย จึงเรียกให้คนตักน้ำเข้ามาล้างหน้า พร้อมกับไปเรียกนางหวงมาอธิบายความต่อหน้า
เว่ยฉางอิ๋งออกปาก นางหวงย่อมไม่ปฏิเสธและกล่าวถ่อมตัวว่า “เพียงแต่ข้าน้อยไม่อาจเทียบเท่าคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ ทว่าท่านหมอเทวดาเคยพักอยู่ในจวนตระกูลเว่ยเป็นเวลาสั้นๆ และข้าน้อยเคยได้ดูแลใกล้ชิดมาช่วงหนึ่ง ดีที่ท่านหมอเทวดาจี้ไม่รังเกียจจึงสอนสั่งข้าน้อยมาบ้าง ทว่าแม้แต่ความรู้เพียงผิวเผินก็มิได้เรียนรู้จากท่านหมอเทวดามาเจ้าค่ะ หากวิชาความรู้ไม่ละเอียดลออพอ และไม่อาจคลายเรื่องทุกข์ร้อนของคุณหนูสิบได้ ก็ขอให้ฮูหยินน้อยใหญ่โปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เนื่องด้วยเว่ยฉางอิ๋งตอบตกปากรับคำแล้ว ยามนี้นางหลิวจึงกลับมาตั้งสติได้ นางยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ท่านอาหวงว่ามาเช่นนี้ ผู้ใดจักไม่รู้ว่าครานั้นยามท่านหมอเทวดาจี้พักอยู่ที่จวนตระกูลเว่ย แม่เฒ่าซ่งบรรจงเลือกสรรมือขวามือซ้ายที่เฉลียวฉลาดสองสามคนไปคอยดูแลท่านหมอเทวดาจี้ ในบรรดาสาวใช้เหล่านั้นก็มีเพียงท่านอาผู้เดียวที่ได้รับการชื่นชมจากท่านหมอเทวดา จึงได้สอนวิชาแพทย์ให้ หลายปีมานี้ ประตูบ้านท่านหมอเทวดาจี้ นอกจากคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่แล้ว ก็เป็นท่านอาที่เข้าไปได้ เห็นได้ถึงความคาดหวังที่ท่านหมอเทวดาจี้มีต่อท่านอา อีกประการน้องสะใภ้สามเพิ่งเข้าบ้านมา ข้าก็ไปรบกวนพวกท่านทั้งนายบ่าว พวกท่านไม่ถือโทษ ข้าก็พึงพอใจมากแล้ว แล้วยังกล้าได้คืบจะเอาศอกอีกได้อย่างไรเล่า?”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “นั่นเป็นความใจบุญของท่านหมอเทวดาจ้าค่ะ ข้าน้อยยังคงรำลึกถึงอยู่เสมอ ไม่กล้าปฏิเสธ ข้าน้อยเบาปัญญานักเจ้าค่ะ…”
นางหลิวปากก็พูดคุยอย่างเกรงใจกับนาง แต่ในใจยิ้มเยาะน้อยๆ ว่า ท่านหมอเทวดาจี้ใจบุญ? แพทย์ยอดฝีมือที่แต่เล็กมามีอาภรณ์ชั้นดีอาหารชั้นเลิศแล้วเมื่อที่บ้านเกิดเรื่องก็ต้องมาระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว ได้ลิ้มรสความเยือกเย็นและอบอุ่นในใต้หล้าอย่างถึงที่สุด ต้องอาศัยพรสวรรค์ว่าตนมีความกระจ่างทางด้านการแพทย์และบันทึกเคล็ดวิชาแพทย์ของปู่ที่ทิ้งเอาไว้ให้จนสามารถกลับมาอยู่ในสายตาของผู้คนในตระกูลสูงศักดิ์ จนถึงขั้นที่ตราบทุกวันนี้เขากลายเป็นหมอมือหนึ่งที่แม้แต่บรรดาตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ยังไม่อาจขอเข้าพบเพื่อรับการรักษาได้
….เพียงดูจากสิ่งที่เขาต้องพานพบมา แล้วจะยังคงใจบุญแสนซื่ออยู่ต่อไปได้หรือ? หาไม่ ป่านนี้คงจะตายอยู่ในซอกมุมหนึ่งข้างถนนโดยไม่มีผู้ใดรู้ไปแล้ว!
อย่างน้อยนางหลิวก็รู้ว่า หลังจากจี้ชวี่ปิ้งรับรักษาเว่ยเจิ้งหงและได้รับการเชื้อเชิญจากแม่เฒ่าซ่งให้ไปอยู่ในจวนตระกูลเว่ย ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี ผู้คนที่เคยเข้าบ้านไปจับกุมคนในครอบครัวของจี้อิง… ก็ค่อยๆ ล้มตายไปอย่างน่าประหลาดทีละคน…ทีละคน
แม้กระทั่งตระกูลเติ้ง ญาติพี่น้องสองสามคนในสายรองที่เคยมีส่วนร่วมในการขู่บังคับคนในครอบครัวของจี้อิงก็ล้มป่วยจนตายไปอย่างมีเงื่อนงำ…
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยเกิดความสงสัยมาก่อน
แต่ยามนั้นแม่เฒ่าซ่งแห่งตระกูลเว่ยกำลังไร้ซึ่งความหวังใดๆ จึงต้องการจะไขว่คว้าจี้ชวี่ปิ้งซึ่งเป็นฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ให้จงได้ แล้วจะยินยอมให้จี้ชวี่ปิ้งถูกนำตัวไปสอบสวน จนทำให้การรักษาบุตรชายคนโตของนางต้องหยุดชะงักไปเช่นนั้นหรือ? ไม่เพียงแค่แม่เฒ่าซ่งเท่านั้น ฮูหยินซ่งภรรยาหลวงของเว่ยเจิ้งหงก็ยังเป็นบุตรสาวในสายหลักของซ่งซินผิงประมุขตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน เขาหรือจะเอาแต่นั่งดูบุตรสาวเป็นม่าย? เจ้าเมืองไปบ้านตระกูลเว่ยเพื่อบอกกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่าต้องการจะสอบสวนจี้ชวี่ปิ้งก็ถูกแม่เฒ่าซ่งด่าเปิงเสียเกือบตาย ดูคล้ายว่าจะถูกบ่าวตระกูลซ่งไล่ตีออกมานอกประตู!
ไม่เพียงเท่านี้ แม่เฒ่าซ่งยังไปเข้าเฝ้าฯ องค์ฮองเฮาเฉียนในยามนั้นทั้งน้ำตา และบอกว่าเจ้าเมืองก็รู้ดีว่าชีวิตของเว่ยจิ้งหงกำลังอยู่ในอันตราย ซึ่งล้วนต้องอาศัยจี้ชวี่ปิ้งที่สามารถชุบชีวิตคนขึ้นมาได้เพื่อให้เขาได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป แต่ยังจงใจเข้าไปรบกวน เท่ากับเป็นการจงใจทำร้ายบุตรชายคนโตของตระกูลเว่ยให้ถึงแก่ชีวิตชัดๆ ส่วนซ่งซินผิงก็ไปเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนต่อฮ่องเต้ให้ทรงให้โอกาสบุตรเขยตนได้มีชีวิตรอดด้วย…
คดีความยังมิทันได้สะสาง แต่เจ้าเมืองเองกลับต้องลงนรกไปเสียก่อน ไม่กี่วันหลังจากนั้นเจ้าเมืองก็ถูกสั่งเนรเทศไปไกลสามพันลี้
ตระกูลเว่ยและซ่งมีอำนาจมากเพียงนี้ หลังจากเจ้าเมืองคนใหม่มารับตำแหน่ง ไม่ถึงครึ่งวันก็เอาเอกสารในคดีนี้ทำลายทิ้งเสีย แล้วประกาศว่าทุกเรื่องล้วนเห็นเพียงเหตุบังเอิญ มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจี้ชวี่ปิ้ง แล้วลงโทษโจทก์ทั้งหมดในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี… วันต่อมาทั้งเว่ยฮ่วนและซ่งซินผิงไปเข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้พร้อมกันและชมเชยว่าเจ้าเมืองคนใหม่นี้ ‘เป็นผู้มีความสามารถ ใช้การได้เป็นอย่างยิ่ง’
หลังจากนั้นตระกูลเติ้งก็ส่งคนไปคารวะที่จวนตระกูลเว่ยคราวหนึ่ง ส่วนรายละเอียดของเรื่องที่เข้าคารวะนั้นคนนอกไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ทุกสิ่งก็เงียบลง ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ว่าจี้ชวี่ปิ้งเป็นฆาตกรหรือไม่ คนบ้านตระกูลเติ้งก็มิได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปอีก
จี้ชวี่ปิ้งพักอยู่ที่จวนตระกูลเว่ยสองปี แม้จะเป็นเพราะว่าทำการรักษาล่าช้าเกินไป จึงไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการป่วยของเว่ยเจิ้งหงก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขากลับมามีชื่อเสียงลื่อลั่นไปทั่วเมืองหลวง หลังจากอำลาตระกูลเว่ย เขาปฏิเสธการสมัครเข้าเป็นแพทย์หลวง ซื้อคฤหาสน์หลังเก่าของจี้อิงคืนมา แล้วเปิดสำนักแพทย์
ในสำนักแพทย์นี้จี้ชวี่ปิ้งรักษาผู้คนที่เป็นโรครักษายากจนหายขาดได้จำนวนหนึ่ง ฉายาแพทย์เลื่องชื่อแห่งเขตทะเลจึงได้เกิดขึ้นนับแต่นั้น แต่เพราะรอบคฤหาสน์เก่าแห่งนี้ล้วนเป็นคนในตระกูลจี้ ครานั้นจี้ชวี่ปิ้งตกระกำลำบาก คนในตระกูลเหล่านี้เกรงกลัวอำนาจของตระกูลเติ้ง จึงไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างมีความขัดข้องใจต่อกัน สำนักแพทย์เปิดได้ไม่นาน ก็ถูกคนในตระกูลโจมตีด้วยเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยนานา
เรื่องภายในบ้านต่างๆ ก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจน สุดท้ายแม้แต่หัวหน้าสกุลจี้ยังต้องออกหน้า หลังจากที่บ้านสกุลจี้ไกล่เกลี่ยกันแล้ว จี้ชวี่ปิ้งจึงปิดสำนักแพทย์ ลงกลอนประตูบ้าน แล้วไปซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งในเมื่อเฉิงตงซึ่งอยู่ห่างไกลจากสกุลจี้แล้วอยู่อย่างสันโดษนับแต่นั้น ไม่ยอมพบปะแขกคนจากภายนอก
คนที่เขายอมพบปะหลายปีมานี้ คนหนึ่งก็คือตวนมู่ซินเหมี่ยว คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ซึ่งเขารับเป็นศิษย์ และอีกคนก็คือนางหวงซึ่งคอยดูแลเขามาสองปียามตระกูลเว่ยเชิญเขาไปรักษาเว่ยเจิ้งหง จึงได้รับคำชี้แนะเรื่องการแพทย์จากเขาเป็นเวลาสองปีด้วย
และก็มิใช่ว่าไม่มีคนอาศัยฐานะตระกูลของตนมาขู่บังคับเพื่อขอรับการรักษา แต่จี้ชวี่ปิ้งรังเกียจการใช้ไม้แข็งยิ่งนัก ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็จะเลือกใช้วิธีต่อให้ตายก็ไม่ยอมรักษาให้ ท่านหมอเลื่องชื่อผู้นี้มิได้แต่งงานจนทุกวันนี้ ไร้ภรรยาไร้บุตร ทั้งยังมีความแค้นกับคนร่วมตระกูล ดังนั้นต่อให้มีคนในตระกูลถูกขู่บังคับ เขาย่อมไม่มีทางยอมศิโรราบให้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่รับไว้เป็นศิษย์นั้นคือคุณหนูแปดแห่งตระกูลตวนมู่ และนางหวงซึ่งเป็นศิษย์ที่เขามิได้ยอมรับนั้นเป็นบ่าวรู้ใจซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลเว่ยให้ความสำคัญมาก… อีกทั้งร่างกายของจี้ชวี่ปิ้งเองก็แข็งแรงยิ่ง หากบอกว่าไม่รักษา ต่อให้มีคนมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า หรือบีบบังคับจนตาย ก็ไม่มีวันยอมรักษาให้ทั้งสิ้น
ปัญหาคือหากผู้ที่มาเฝ้าวิงวอนขอร้องเขากลับไม่ยอมรามือ เกิดใช้ไม้แข็งขึ้นมา แล้วตีเขาจนตายหรือพิการไปจริงๆ คิดดูก็รู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของเขาย่อมไม่ยอมใจบุญปล่อยให้ผ่านไปเปล่าๆ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แม่เฒ่าซ่งจะติดตามสามีกลับไปเฟิ่งโจวแล้ว แต่ก็ได้สั่งบุตรชายของอนุซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงว่าให้นางหวงนำของกำนัลมากมายมอบแก่เขาทุกปี… ด้วยเกรงว่าหากยามใดเว่ยเจิ้งหงอาการไม่ดีขึ้นมา ก็ยังฝากความหวังไว้ที่จี้ชวี่ปิ้งได้
ตวมมู่ซินเหมี่ยวยังเยาว์ สำหรับหลายคนแล้วยังอาจนึกคิดไปว่านางไม่มีสิ่งใดน่าเกรงกลัว แต่สำหรับแม่เฒ่าซ่ง… ในบรรดาผู้สูงวัยของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็นับได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจอำมหิตยิ่งนัก ด้วยผู้สืบสกุลหลายคนของนางต้องตายไปตั้งแต่ยังเล็ก นางจึงเห็นบุตรชายคนโตซึ่งนางเหลืออยู่เพียงผู้เดียวสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของตน ฮูหยินผู้เฒ่าในวัยนี้มีสิ่งใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็นหรือคาดคิดไม่ถึง? หากมีความแค้นกับนางขึ้นมาจริงๆ คนทั้งบ้านก็ล้วนต้องคอยระวังตัวเอาไว้!
ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าเติ้งแห่งตระกูลซูล้มเจ็บ ฮูหยินซูจึงนำนางตวนมู่ผู้สะใภ้รองติดตามไปเยี่ยมด้วยเป็นการเฉพาะ ส่วนนางหลิวซึ่งต้องการขอการรักษาให้แก่หลิวรั่วอวี้ผู้น้องสาว จึงทำได้เพียงมาขอร้องนางหวงซึ่งติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาเสียก่อน… แม้จะบอกว่า ใจจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นฮูหยินซูหรือว่านางหลิวก็ล้วนต้องการให้จี้ชวี่ปิ้งมารักษาด้วยตนเองก็ตาม
แต่หมอเทวดาท่านนั้น… มีตระกูลตวนมู่ และตระกูลเว่ยคอยหนุนหลัง ทั้งยังแล้วมีเงาของตระกูลซ่งแฝงอยู่ด้วย เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล จักมีตระกูลใดกล้าทำการส่งเดชเพื่อให้ได้ตัวหมอมือหนึ่งผู้นี้ แต่ต้องสร้างความแค้นกับทั้งสามตระกูลเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นตัวจี้ชวี่ปิ้งเองก็หาใช่คนที่เมื่อถูกไม้แข็งแล้วก็จักยอมก้มหัวให้…
หากเปรียบกับผู้ที่มาขอรับการรักษาซึ่งต้องคอยเสาะหาความสัมพันธ์อ้อมไปมา น้องสะใภ้ทั้งสองของนางหลิวล้วนสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวพันกับจี้ชี่วปิ้งได้ ก็นับว่าสะดวกยิ่งแล้ว
นางหลิวกล่าวชมนางหวงสองสามประโยค ก็สั่งให้คนไปเชิญหลิวรั่วอวี้มา ไม่คิดว่าผ่านไปนานหลิวรั่วอวี้จึงเพิ่งมาถึง โดยสวมเสื้อครึ่งแขนเพิ่มมาหนึ่งชั้น ทั้งยังเปลี่ยนมาสวมกระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล พลางอธิบายด้วยท่าทีเคอะเขินว่า “เมื่อครู่นี้ข้าป้อนนมเปรี้ยวให้เยวี่ยเอ๋อร์ทาน เหยียนเอ๋อร์วิ่งเข้ามาแย่ง และทำหกใส่ตัวข้า ไม่อาจไม่ไปเปลี่ยนกระโปรงได้เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “มิเป็นไร ดีชั่วเรือนจินถงก็อยู่ห่างจากที่นี่เพียงไม่กี่ก้าว? ล้วนอยู่ในเขตคฤหาสน์เดียวกัน”
เดิมที่นางหลิวเตรียมจะตำหนิที่นางมาช้าสักสองสามประโยค คราวนี้จึงกลับขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่พอใจว่า “ไยต้องให้เจ้าป้อน? แม่นมและสาวใช้เล่า?” ที่นางบอกว่าเชิญน้องสาวร่วมตระกูลมาช่วยดูแลเหล่าหลานๆ สักหน่อย ความจริงก็เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาทเท่านั้น ตั้งแต่เสิ่นซูโหร่วจนถึงเสิ่นซูเหยียน พวกนางคนใดที่ข้างกายไม่มีแม่นมและสาวใช้กลุ่มใหญ่คอยดูแลอยู่เป็นการเฉพาะ? ที่ว่าดูแลก็คือการคอยดูแลว่าคนเหล่านี้ตั้งใดดูแลหรือคอยแอบละเลยเจ้านายตัวน้อยหรือไม่เท่านั้น
จักให้หลิวรั่วอวี้ซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ลงมือป้อนนมเปรี้ยวให้เสิ่นซูเยวี่ยทานได้อย่างไร? คงมิใช่ว่าคนเหล่านั้นรู้ถึงสาเหตุที่หลิวรั่วอวี้มักมาอยู่ที่บ้านเสิ่น รู้สึกดูแคลนนางอยู่ในใจ จึงจงใจสั่งให้นางไปทำงานที่บ่าวไพร่ควรต้องทำ?
ไม่เพียงแค่นางหลิวเท่านั้นที่สงสัยเช่นนี้ แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็คิดว่าก่อนทานอาหารนั้น นางมองเห็นหลิวรั่วอวี้โน้มตัวลงมาเช็ดหน้าให้เสิ่นซูเหยียน เดิมทีนึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา ยามนี้คิดๆ ไปก็รู้สึกว่า หรืออาจเป็นเพราะหลิวรั่วอวี้ถูกรังแกเสียแล้ว
หลิวรั่วอวี้ยิ้มออกมาหนแล้วหนเล่า สีหน้าของนางซีดขาว แต่รอยยิ้มกลับอ่อนโยนและดูแล้วสบายใจนัก “ข้าเห็นว่าเยวี่ยเอ๋อร์น่ารัก จึงขอถ้วยมาจากแม่นมและป้อนนางสองสามคำเจ้าค่ะ”
สีหน้าของนางหลิวจึงผ่อนคลายลง กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง… ซูเหยียนน่าน่าโมโหจริงๆ ซูโหรวดุนางหรือไม่?
“ดุไปสองสามประโยคเจ้าค่ะ แล้วข้าก็ตักเตือนนางแล้วเจ้าค่ะ” หลิวรั่วอวี้อมยิ้ม
เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ประมวลนิสัยของหลานๆ ออกมา… เสิ่นซูเหยียนซึ่งเป็นคนเล็กที่สุดและเห็นชัดว่าถูกตามใจมากที่สุด แน่นอนว่าออกจะเป็นเด็กที่ถูกเอาใจจนเสียคน ซึ่งนิสัยร่าเริงของนางนี้คงจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านอาสี่ของนางเสิ่นจั้งหนิงอย่างแน่นอน…
เสิ่นซูจิ่งและเสิ่นซูโหรวล้วนกริยาตามแบบฉบับของกุลสตรีตระกูลใหญ่ เสิ่นซูจิ่งเป็นคนที่ทำการค่อนข้างอ่อนโยนและอบอุ่นใจ เสิ่นซูโหรวค่อนข้างเป็นคนที่ยึดมั่นในเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง เสิ่นซูเยวี่ยเป็นคนที่เงียบที่สุดในบรรดาหลานสาวทั้งสี่คน ไม่รู้ว่าเพราะนางเป็นเพียงบุตรของอนุเพียงคนเดียวในรุ่นหลานทั้งหมดหรือไม่?
ทางนี้นางกำลังคาดเดานิสัยของบรรดาหลานสาว ทางนั้นนางหลิวก็บอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ แก่หลิวรั่วอวี้ และแน่นอนว่ารายละเอียดต่างๆ นางหลิวจะต้องเคยเอ่ยกับหลิวรั้วอวี่มาก่อนแล้ว ยามนี้ก็เพียงบอกคร่าวๆ ไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น หลิวรั่วอวี้กล่าวคำขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งและนางหวง แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็รีบให้นางหวงเข้าไปประคองนาง
เมื่อกล่าวคำตามมารยาทกันเสร็จแล้ว นางหวงก็เชิญให้หลิวรั่วอวี้นั่งลงแล้วยื่นมือออกมาจับชีพจรนาง
ผ่านไปสักพัก นางหวงพลันมีสีหน้าตื่นตกใจ นางหลิวรีบถามว่า “ท่านอาหวง?”
“ฮูหยินน้อยใหญ่โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” นางหวงส่ายหน้า แต่กลับไม่ยอมเปิดเผยอาการของหลิวรั่วอวี้ในทันที เพียงแต่กล่าวกับหลิวรั่วอวี้อย่างอ่อนโยนว่า “คุณหนูสิบเจ้าคะ โปรดเอามือข้างซ้ายมาให้ข้าน้อยดูสักหน่อยด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อตรวจชีพจรที่มือทั้งสองข้างแล้ว นางหวงก็นิ่งไตร่ตรองอยู่เป็นนาน จนทำให้นางหลิวสองพี่น้องล้วนสงสัยว่านางสามารถรักษาได้หรือไม่ จากนั้นนางหวงจึงเงยหน้าขึ้นมา “อาการร่างกายอ่อนแอของคุณหนูสิบนี้เป็นมานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ?”
หลิวรั่วอวี้มีอาการร้อนรนเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้ามีร่างกายไม่ใคร่ดีมาแต่เล็ก แต่ที่สีหน้าย่ำแย่เช่นนี้เพิ่งจะเริ่มเป็นเมื่อต้นปี” สีหน้าของนางหม่นลง บอกว่า “ครานั้นได้ยินบางเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก ในใจจึง…รู้สึกเป็นทุกข์หนัก ยามนั้นนอนซมอยู่สองสามวัน ภายหลังแม้ว่าจะดีขึ้นแล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่ปกติมาโดยตลอดเจ้าค่ะ”
“ไม่ทราบว่าท่านหมอที่ตรวจดูอาการของคุณหนูสิบมาก่อนหน้านี้ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ? นางหวงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
สีหน้าของหลิวรั่วอวี้ยิ่งหม่นขึ้นกว่าเก่า หันไปมองทางนางหลิว นางหลิวถอนใจหนหนึ่ง เมื่อมองไปรอบทิศแล้วเห็นว่านอกจากเว่ยฉางอิ๋งนายบ่าว ก็ล้วนเป็นคนสนิทของตน จึงได้กล่าวว่า “ท่านหมอท่านนั้นกล่าวว่าเป็นร่างกายของน้องสิบอ่อนแอ โรคนั้นยิ่งทำให้ลมปราณดั้งเดิม[1]เสียหาย วันหน้า… เรื่องการมีผู้สืบสกุลเกรงว่าจะมีอุปสรรค ดังนั้นวันนี้ข้าจึง…”
ในเมืองหลวงเองก็มิใช่ว่าจะมีจี้ชี่ปิ้งที่เป็นหมออยู่เพียงผู้เดียว ตระกูลจี้ก็มีมาอายุนับร้อยปี ทั้งแพทย์หลวงชั้นเลิศก็มิได้ขาดแคลน เหตุที่นางหลิวมาขอร้องคนของเว่ยฉางอิ๋ง หากสืบค้นย้อนกลับไปก็เป็นเพราะหมอคนอื่นที่นางเชิญมารักษาหลิวรั่วอวี้ล้วนมิอาจยืนยันว่าจะรักษาหลิวรั่วอวี้จนหายได้
ยามนี้เมื่อพูดถึงผลการวินิจฉันของแพทย์คนก่อนๆ จึงอดจะถามนางหวงไปด้วยความพะวงไม่ได้ว่า “ท่านอาคิดว่าเป็นเช่นไรเล่า?”
นางหวงกล่าวอย่างลังเลว่า “วิชาแพทย์ของท่านหมอท่านนี้ไม่เลวเลย เพียงแต่เขารู้สึกเป็นพะว้าพะวังและเป็นกังวลจึงไม่กล้าพูดความจริงออกมาเจ้าค่ะ”
หลิวรั่วอวี้ตกตะลึง ส่วนนางหลิวที่เป็นผู้ใหญ่มากว่าสักหน่อยเมื่อได้ยินคำสี
หน้ายังเปลี่ยนไปทันที กล่าวว่า “ยังต้องขอให้ท่านอาบอกให้กระจ่าง!”
“คุณหนูสิบมีร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอมาแต่เล็ก ซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้มิได้เป็นสิ่งใด หญิงสาวหลายคนล้วนเป็นเช่นนี้ ก่อนออกเรือนร่างกายอ่อนแอ พอแต่งงานแล้วก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นมา” นางหวงพูดช้าๆ ว่า “ดังนั้นสาเหตุแท้จริงที่สีหน้าไม่ใคร่ดีเช่นยามนี้ กลับอยู่ที่อาการเจ็บป่วยเมื่อต้นปีเจ้าค่ะ”
นางหลิวพลันทรุดตัวเอนไปข้างๆ โดยไม่ทันรู้ตัว “ขอฟังรายละเอียดด้วยเถิด!”
“ความจริงแล้ว…” นางหวงถอนหายใจ กล่าวว่า “คุณหนูสิบล้มเจ็บที่ใดกันเล่า? ที่แท้แล้วเป็นเพราะถูกคนทำร้ายเจ้าค่ะ!”
นางมองไปยังใบหน้าซีดขาวของหลิวรั่วอวี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงสารว่า “ยามนี้เป็นกลางเดือนสี่แล้ว หากอีกวันสองวันยังไม่มีฝนตกลงมาอีก ก็จักต้องไปเอาน้ำแข็งออกมารับประทานกันแล้ว แต่คุณหนูสิบยังต้องไปสวมเสื้อครึ่งแขนทับบนเสื้อส้างหรูอีกชั้นหนึ่ง เมื่อครู่นี้ยามทานอาหารมิได้สวมมา คงเพราะวันนี้อากาศแจ่มใส ยามตะวันส่องลงมาบนหัวในเวลาเที่ยงก็จะรู้สึกค่อนข้างร้อน…. เมื่อผ่านเวลาเที่ยงไปเล็กน้อย คุณหนูสิบก็จะรู้สึกหนาว จึงไปสวมเสื้อครึ่งแขนเพิ่มอีก ใช่ไหมเจ้าคะ?”
ยามนี้ในหน้าของนางหลิวซีดขาวเสียยิ่งกว่าหลิวรั่วอวี้ “เช่นนั้นน้องสิบถูกทำร้ายอย่างไร?”
“ตามความเห็นของข้าน้อย คุณหนูสิบถูกคนวางยาเย็นที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ส่วนจักเป็นยาเย็นชนิดใดนั้น….” นางหวงยังคงครุ่นคิด แต่สีหน้าของนางหลิวและหลิวรั่วอวี้ต่างเปลี่ยนไปพร้อมกัน และพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “กระเรียนระทม”
__________________________________
[1] ลมปราณดั้งเดิม (元氣) คือ ลมปราณ หรือ ชี่ ที่มีมาแต่กำเนิด