ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 194 ท่านอาก็งดงามเช่นกัน
เมื่อหลิวรั่วอวี้ได้ยินเซินสวินพูดเช่นนี้ นางก็สะดุ้งขึ้นมาก่อน นึกว่าเขาแอบได้ยินเรื่องที่นางไม่ถูกกับจางเสากวงและหลิวรั่วเหยียเสียแล้ว แต่เมื่อมานึกดูว่าประตูห้องหนาเพียงนั้น หากเซินสวินได้ยินผ่านประตูก็แปลกแล้ว เกรงว่าเพราะฟังอยู่ข้างนอกครึ่งค่อนวันแต่กลับไม่ได้ยิน จู่ๆ จึงได้ผลักประตูเข้ามาเช่นนี้ ด้วยหวังจะมาจับให้ได้คาหนังคาเขา
เพียงแต่องค์รัชทายาทพระองค์นี้ก็คิดเรื่องเหลวไหลเกินไป ตนเองมั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม จึงเดาว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นเขาไปเสียหมด? ถึงกับสงสัยว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะทนความเงาในห้องที่วางเปล่าไม่ไหวจึงไปเรียกขันทีมา…
หากมิใช่เพราะจดจ่ออยู่กับการแก้แค้น แล้วเป็นคนที่คิดจะครองคู่กับเซินสวินอย่างจริงแท้ และอยากเป็นพระชายาองค์รัชทายาทอย่างจริงๆ จังๆ แล้วมาได้ยินคำนี้เข้าก็ไม่รู้ว่าจะหวาดกลัวและโมโหโกรธาเพียงใด?
หลิวรั่วอวี้แย้มยิ้มอยู่ในใจ กล่าวว่า “ฝ่าบาทโปรดระวังคำ หม่อมฉันเรียกจวีจงเข้ามาย่อมมีเรื่องสั่งให้เขาทำ ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทก็ทรงเห็นแล้ว เมื่อครู่นี้ในห้องบรรทมก็มิได้มีเพียงเขาผู้เดียวอยู่รับใช้ นางกำนัลทั้งซ้ายขวาก็ล้วนอยู่ด้วย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าหม่อมฉันได้รับการอบรมมาแต่เล็ก แล้วจะทำเรื่องที่ผิดต่อคุณธรรมของภรรยาได้อย่างไร?”
เซินสวินหรี่ตาลง ย่างสามขุมเข้ามาตรงหน้านาง …พลันมีกลิ่นสุรารุนแรงโชยมา หลิวรั่วอวี้คิดในใจว่าไม่รู้ว่าเขาดื่มสุราไปเท่าใดแล้ว? คิดว่าในตำหนักตะวันออกแห่งนี้ แม้องค์รัชทายาทจะยังหนุ่ม ทว่าเพราะมัวเมาในกามรมย์มานานปี จนบัดนี้มักต้องใส่ยาปลุกกำหนัดไว้ในสุราเพื่อเพิ่มความสำราญอยู่บ่อยครั้ง …ในใจหลิวรั่วอวี้ออกจะรู้สึกสะอิดสะเอียน จึงค่อยๆ เอียงหัวมาน้อยๆ เพื่อปกปิดท่าทีรังเกียจนี้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนไปอีกว่า “คล้ายว่าเมื่อครู่นี้ฝ่าบาทจะเสวยน้ำจัณฑ์มาไม่น้อย จะเสวยน้ำชาสักเล็กน้อยช่วยสร่างเมาหรือไม่เพคะ?”
แล้วลุกขึ้นไปหยิบถ้วยชามาหวังจะไปให้ห่า เซินสวินสักหน่อย
ทว่านางเพิ่งจะลุกขึ้นก็ถูกเซินสวินผลักให้กลับลงไปนั่ง เพราะเซินสวินลงมืออย่างไม่เบาแรงเลย …แขนของหลิวรั่วอวี้ไปชนเข้ากับข้างโต๊ะ นางเจ็บปวดนักหนา จึงร้องเบาๆ ออกมาคราวหนึ่ง รู้สึกกังวลขึ้นมาในบัดดล …กำลังคิดว่าคงมิใช่ว่า เซินสวินดื่มมากไป แล้วจะมาระบายฤทธิ์สุราเอากับตนหรอกนะ?
ในใจกำลังเต้นเร่าด้วยความตื่นตกใจ ไม่คิดว่าเซินสวินกลับยิ้มเย็นพลางว่า “มีพวกนางกำนัลอยู่แล้วจะเป็นเช่นใด? เมื่อครู่นี้ตอนข้าจะเข้ามาก็มีนางกำนัลที่หน้าประตูคิดจะขวางข้าไว้ พอขวางข้าไม่ได้ก็คิดจะส่งสัญญาให้เจ้ารู้ตัว …นางกำนัลผู้นั้น ข้าสั่งให้ลากไปโบยจนตายแล้ว! หากเจ้าทางนี้ไม่ได้คิดการที่บอกกล่าวผู้ใดไม่ได้ ไยต้องให้คนไปคอยดูทั้งข้างในข้างนอกไม่ให้คนเข้ามาเล่า?”
หลิวรั่วอวี้ประคองโต๊ะค่อยๆ ลุกขึ้น กล่าวว่า “เช่นนั้น ฝ่าบาทก็ทรงเข้ามาแล้ว และเห็นแล้วว่ากำลังทำสิ่งใด ก็เพียงแค่ถามไถ่เรื่องทั่วไปเท่านั้น หม่อมฉันเสียมารยาทสักน้อยหรือไม่เพคะ?”
“กลางวันแสกๆ เรียกขันทีเข้ามาพบแล้วปิดประตูห้องบรรทมยังไม่นับว่าเสียมารยาทรึ?” เซินสวินมองนางอย่างเคลือบแคลง ยกมือขึ้นมาบีบคางนาง กล่าวว่า “เจ้าอย่านึกว่าตนเป็นพระชายาองค์รัชทายาท แล้วข้าจะทำอันใดเจ้าไม่ได้! ได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่บ้านแม่ก็ไม่ได้เป็นที่รักเสียอย่างยิ่ง ตระกูลหลิวก็ยังให้เจ้ามาแต่งกับข้า เห็นชัดว่าดูแคลนข้านัก เจ้าว่าข้าอยากแต่งกับเจ้ารึ? ดีชั่วข้าก็ไม่มีวันขาดแคลนพระชายาองค์รัชทายาท”
หากเขาพูดคำพูดนี้ในเวลาปกติหลิวรั่วเหยียกลับไม่ได้หวาดกลัว เพราะแม้เซินสวินจะไร้คุณธรรม แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้นตบตีพระชายาองค์รัชทายาทที่เกิดใน ตระกูลสูงศักดิ์จนเป็นเรื่องเป็นราว ทว่าเวลานี้เซินสวินมีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั้งตัว สองตาแดงก่ำ เห็นชัดว่าดื่มมามากแล้ว …หลิวรั่วอวี้รู้สึกกังวลนัก หากตนเองตอบไปไม่ดีก็จะต้องถูกเขาลงมืออย่างหนักเป็นแน่
นางเร่งคิดใคร่ครวญ เพียงพริบตาปัญญาก็แล่นมา จึงเอ่ยไปช้าๆ ว่า “ฝ่าบาททรงจำได้หรือไม่? จวีจงเป็นคนคอยดูแลต้นดอกเสาเย่าในลานตำหนักให้หม่อมฉัน”
เซินสวินเอ่ยอย่างรำคาญใจว่า “ดอกเสาเย่าอันใด? เดิมทีเขาไม่ได้ดูแลในตำหนักนี้ เป็นเจ้าที่พอเข้าตำหนักตะวันออกมาก็ย้ายมันมาอยู่ข้างกาย นึกว่าข้าไม่รู้รึ?”
“ความจริงแล้วเรื่องที่หม่อมฉันสนทนากับเขาก็มิได้มีเรื่องใดจริงๆ ก็คือให้เขานำต้นเสาเย่าสองสามต้นไปมอบให้คน…” หลิวรั่วอวี้ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกตบหน้า นางร้องออกมาคำหนึ่งเพราะเซไปชนเข้ากับโต๊ะ ดีที่ไม่ได้ชนเข้ากับเหลี่ยมโต๊ะ …ทว่าหน้าผากที่ชนโดนก็รู้สึกชาขึ้นมา ไม่ต้องจับดูก็รู้แล้วว่าจะต้องชนจนบวมโตแล้ว
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่รึ?” เซินสวินยิ้มหยันแล้วจิกมวยผมนาง เอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “สั่งให้ขันทีเอาต้นเสาเย่าไปมอบให้คนต้องแอบมาพูดลับๆ ล่อๆ และยังต้องสั่งคนไปเฝ้าประตูไว้ด้วยรึ?! ‘บุรุษและสตรี กระเซ้าเย้าหยอกซึ่งกัน กำนัลดอกเสาเย่าแทนใจ’ …เกรงว่าเจ้าคิดจะให้เขานำดอกเสาเย่าไปมอบให้แก่คนรักก่อนที่เจ้าจะแต่งกับข้าน่ะสิ? เรื่องเช่นนี้ยังคิดจะปิดบังข้า? ข้าก็ว่าในตำหนักตะวันออกมีดอกไม้ตั้งมากมายก็มิเห็นเจ้าจะสนใจมาก่อน ไยต้นเสาเย่าพวกนั้นเจ้าจึงทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ถึงขั้นสั่งให้คนไปคอยเฝ้าดูโดยเฉพาะ?”
เขาดึงทึ้งมวยผมของหลิวรั่วอวี้เสียจนเจ็บไปหมด เพราะตอนที่นางกำนัลออกไปก็ปิดประตูห้องบรรทมแล้ว นางจึงอดจะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ “หากเป็นการนำดอกเสาเย่าไปแบ่งปันให้คนอย่างปกติธรรมดาย่อมไม่ต้องปิดประตูแล้วค่อยมาสั่งความจวีจง! แต่ครานี้หม่อมฉันคิดจะมอบให้แก่ท่านแม่และน้องรั่วเหยีย!”
เซินสวินตะลึง พลันปล่อยมือลงโดยไม่รู้ตัว หลิวรั่วอวี้ลุกขึ้นมานั่งทั้งน้ำตานองหน้า มองเขาพลางยิ้มเยือกเย็น กล่าวว่า “หากฝ่าบาทไม่เชื่อ ก็สามารถไปเรียกจวีจงมายืนยันได้เพคะ!”
ก่อนหน้านี้เซินสวินหาหนทางอยู่เป็นนานเพื่อให้หลิวรั่วอวี้รับปากว่าจะเอาแม่ยายและน้องภรรยามามอบให้เขาที่ตำหนักตะวันออก ทว่าหลิวรั่วอวี้จงใจยั่วน้ำลายเขา จึงยอมถูกเขาด่าทอยกใหญ่คราวหนึ่ง แล้วทำทีไม่สนใจไปอีกเกือบเดือน แต่นางก็ยังไม่ยอมรับปาก เมื่อเห็นหลิวรั่วอวี้เอ่ยมาดังนี้ ก็ย้อนนึกขึ้นมาว่าตอนที่ตนเองบุกเข้ามานั้น เสื้อผ้าของทั้งหลิวรั่วอวี้และจวีจงล้วนเรียบร้อยดีอยู่จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังกำลังรายงานบางสิ่งกันอยู่ในระยะที่ห่างมาก ไม่เหมือนกำลังเสียมารยาทอันใด เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเชื่อไปครึ่งใจในทันใด จากนั้นก็เอ่ยอย่างค่อนข้างเลิ่กลั่กว่า “มอบให้ท่านแม่ยายและรั่วเหยีย ก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หรือว่าข้าจะขัดขวางเจ้า?”
หลิวรั่วอวี้เม้มปากเน้นไม่ยอมตอบ
เซินสวินเห็นดังนั้น จึงบอกว่า “ความจริงแล้วไยเจ้าต้องสั่งให้จวีจงไปมอบให้พวกนาง? จวีจงก็เป็นเพียงบ่าวไพร่จะรู้เรื่องต้นเสาเย่าอันใด? มิสู้เชิญพวกนางมาเลือกเองที่ตำหนักตะวันออก และมิใช่เพียงแค่ดอกเสาเย่า ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ต้นไม้ล้ำค่าใดๆ หากพวกนางชอบก็เอาไปให้หมดเป็นพอ ในเมื่อเป็นท่านแม่และน้องสาวเจ้า หรือว่าข้าจะตระหนี่กับพวกนาง?”
หลิวรั่วอวี้เข้าใจความหมายของเขา พลันคิดขึ้นมาทันใด และตัดสินใจว่าจะยั่วน้ำลายเขาอีกสักหน่อย จึงยิ้มเย็นๆ แล้วว่า “ให้พวกนางมาเลือกหาต้นดอกไม้ตามใจ หรือว่าให้พวกนางมาให้ฝ่าบาทเลือกได้ตามใจกันแน่เพคะ?”
เซินสวินได้ฟังคำนี้สีหน้าพลันหนักอึ้งขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “ข้าไม่เชื่อว่าถ้าเจ้าจะไม่ช่วยข้า แล้วข้าจะเอาพวกนางเข้าวังมาไม่ได้!” พูดจบไม่รอให้หลิวรั่วอวี้ตั้งตัว เขาก็ยกเท้าขึ้นมาถีบที่หน้าอกนาง!
หลิวรั่วอวี้ไม่ทันตั้งตัวเลยสักน้อย คิดจะหลับแต่ก็หลบไม่ทัน จึงถูกถีบเสียจนหายใจแทบไม่ออก! หูอื้อไปหมดในทันใด ในสมองสับสนปนเป …และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด กลับพบว่าตนเองกลับถูกย้ายมาบนตั่งนอน เสียงกึ่งหัวเราะกึ่งไม่หัวเราะของเซินสวินสั่งอยู่ไม่ไกลออกไปว่า “โรคเก่าของพระชายาองค์รัชทายาทกำเริบ นอนป่วยอยู่บนตั่ง ยังไม่รีบส่งคนไปรายงานที่บ้านฝั่งมารดาของพระชายาองค์รัชทายาทอีก แล้วสั่งให้ท่านแม่ยายและน้องภรรยาของข้าเร่งมาดูเร็ว?!”
ในตำหนักตะวันออกกำลังชุลมุนวุ่นวาย แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับโล่งอก …หลังจากฮูหยินซูไปสอบถามมาก็คิดว่าฮั่วชิงหลิงมีคุณสมบัติมาเป็นสะใภ้หกตระกูลเสิ่นได้ อีกทั้งไปสอบถามความเห็นของเสิ่นเหลี่ยนคุนมาแล้ว และให้เว่ยฉางอิ๋งจัดเตรียมรายการของหมั้นหมายมา
เว่ยฉางอิ๋งเป็นกังวลว่าหากวันหน้าเสิ่นเหลี่ยนคุนรู้สาเหตุของการแต่งงานครานี้แล้วจะรู้สึกขัดข้องใจ จึงไปขอความเห็นชอบจากฮูหยินซู เพื่อเชิญน้องชายสามีมาพบเป็นการส่วนตัว นางเล่าเรื่องทั้งหมดแต่ต้นจนจบให้เขาฟังต่อหน้าพวกนางหวง หลังจากขออภัยแล้ว ก็บอกว่าหากเสิ่นเหลี่ยนคุนไม่ชอบใจ ตนเองก็ไม่กล้าเอาเขาไปชดเชยให้แก่ตระกูลฮั่ว
แรกเริ่มนั้นเสิ่นเหลี่ยนคุนออกจะตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนิ่งคิดเนิ่นนาน กลับยกมุมปากขึ้นพลางสอบถามถึงรูปโฉมและนิสัยใจคอของฮั่วชิงหลิง เมื่อได้ยินว่าคุณหนูบ้านฮั่วมีรูปโฉมงดงามนัก ทั้งเป็นคนที่ไม่หลงใหลในลาภยศสรรเสริญ จึงเอ่ยปากอย่างพออกพอใจว่า “เหลี่ยนคุนรู้สึกว่าคุณหนูตระกูลฮั่วเป็นคนดีนัก คิดว่าเป็นคนที่ท่านแม่แล พี่สะใภ้ล้วนหมายตา ก็คงจะผิดไปไม่ได้”
รอจนเสิ่นเหลี่ยนคุนกลับไปแล้ว นางหวงจึงกระเซ้ายิ้มๆ ว่า “ข้าน้อยรู้สึกว่าความจริงแล้วเรื่องนิสัยใจคอของคุณหนูฮั่วก็เพียงพูดไปเรื่อยเปื่อยสักสองสามคำเป็นพอแล้ว พอคุณชายหกได้ยินว่าคุณหนูฮั่วรูปโฉมงดงามนัก ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันใดเชียว!”
นางเฮ่อกล่าวว่า “มีคนหนุ่มสาวใดบ้างที่ไม่ชอบความสวยความงามเล่าเจ้าคะ? ข้าน้อยบอกแล้วว่าฮูหยินน้อยเพียงแต่บอกกับคุณชายหกว่าคุณหนูตระกูลฮั่วรูปโฉมงดงามนัก คุณชายหกก็จะต้องโอนอ่อนผ่อนตามไปแล้วกว่าครึ่ง และจะไม่โทษฮูหยินน้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ครานี้เว่ยฉางอิ๋งอารมณ์ดีนักหนา พลันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำนี้ของท่านอาถูกต้องนัก ท่านอาก็งดงามเช่นกัน”
นางเฮ่อเอ็ดไปว่า “ฮูหยินน้อยพูดสิ่งใดกันเจ้าคะ? ข้าน้อยก็อายุปูนนี้แล้ว จะมีสิ่งใดงามไม่งามอีกเจ้าคะ?” แม้จะพูดไปดังนี้ แต่กลับแอบสะท้านในใจอยู่น้อยๆ ลอบคิดในใจว่า หรือว่าเรื่องที่ข้าไปส่งของที่คฤหาสน์จี้วานนี้ ไอ้เจ้าน่าสับเป็นพันชิ้นนั่น …เจียงเจิงนั่นขืนยัดกำไลให้ข้า ฮูหยินน้อยจะรู้แล้ว? จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นรอบๆ ตัวรับรองว่าไม่มีคน …แต่จะว่าไปแล้ว หลายปีมานี้ทุกครั้งที่เจียงเจิงเห็นข้าก็เหมือนหนูเห็นแมวเช่นนั้น จู่ๆ มายัดกำไลให้เข้านี่มันหมายความว่าไร?
…นางเป็นคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แล้วจะไม่รู้จริงๆ ว่าเจียงเจิงหมายความอย่างไรได้อย่างไร? เพียงแต่รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเท่านั้น คงมิใช่ว่าคนผู้นี้จะเลอะเลือนเสียแล้ว? ข้ามองเขาเป็นเป็นคู่แค้นแท้ๆ แต่เขากลับ …ต้องเป็นเพราะว่าคิดเช่นนี้ ตอนนั้นจึงไม่ได้โยนกำไลนั่นกลับไป! อุ๊ และเป็นไปได้ว่าเพราะข้าเห็นหน้าเอาอกเอาใจของเขา คนก็อายุปูนนี้แล้ว พอใจอ่อนก็เลย …จริงๆ เชียว…
คิดนั่นคิดนี่จนใจลอย จึงคิดได้ว่าในคำพูดว่า ‘ท่านอาก็งดงามเช่นกัน’ นี้น่าจะมีความหมายซ่อนอยู่ พลันรู้สึกใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ อดคิดไม่ได้ว่าครั้งตนเองยังสาวก็งดงามชั้นแนวหน้าในบรรดาสาวใช้ทีเดียว …แม้เวลานี้จะมีอายุแล้ว ทว่า…ในสายตาของเจียงเจิงนั้นตนเองยังคงมีความงดงามหลงเหลืออยู่?
นางเฮ่อคิดไปๆ ก็เกิดสับสนขึ้นมาในใจ…
ทว่า คราวนี้เป็นนางร้อนตัวไปเองจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งก็เพียงแค่พูดไปส่งเดชเท่านั้น และภายหลังก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดแล้ว
จนถึงวันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งตื่นขึ้นมาจัดการงานในเรือน ไม่คิดว่าเพิ่งจะให้พ่อบ้านสองคนออกไป ข้างนอกก็รายงานว่าซ่งไจ้สุ่ยส่งคนมาอีกแล้ว เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกตระหนกอยู่ในใจ คิดในใจว่าหรือทางบ้านฮั่วจะมาเรียกร้องเรื่องใดอีก?
ทว่าเมื่อเรียกคนเข้ามาสอบถามจึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลฮั่ว แต่ก็มิได้เป็นข่าวดีอันใด …สองสามวันนี้ซ่งอวี่วั่งมักจะแน่นหน้าอกและปวดหัวโดยไม่รู้สาเหตุ ปรากฏว่าเช้าวันนี้กำลังจะออกไปข้างนอก ขณะขึ้นเกี้ยวก็เกิดตาลายหัวหมุน …แม้เด็กรับใช้จะประคองได้ทันท่วงทีจึงไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ทว่าก็ทำให้คนทั้งบ้านตกใจกันขนานหนัก
เมื่อเป็นดังนี้จึงไม่กล้าให้เขาออกไปทำงานต่อแล้ว ซ่งไจ้เจียงจึงรีบรุดไปลาหยุดให้เขา
เวลานี้ซ่งอวี่วั่งนอนพักอยู่ในบ้าน และเพราะเขาเป็นทั้งเสนาบดีตรวจการซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ขั้นหนึ่ง ทั้งยังเป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานด้วย หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงจึงไม่กล้าชักช้า นำแพทย์หลวงหลายคนรุดมาถึง ตรวจวินิจฉัยอยู่พักหนึ่ง แม้ว่าหลังจากฝังเข็มแล้ว ซ่งอวี่วั่งจะอาการดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังคงบอกว่าปวดหัวอย่างหนัก …ครานี้ทั้งหัวหน้าสำนักแพทย์และแพทย์หลวงจึงจนปัญญาแล้ว ทั้งยังถูกคนตระกูลซ่งเร่งรัดบีบคั้นให้รักษาซ่งอวี่วั่งให้หายให้จงได้ …หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงเองจึงไม่อาจมาห่วงหน้าตาอยู่ พลันดึงตัวซ่งไจ้เถียนมาข้างๆ แล้วเสนอว่าให้เชิญจี้ชวี่ปิ้งมา “โรคนี้หากจะรักษาให้หาย เกรงว่าในเขตทะเลนี้จะมีเพียงจี้ชวี่ปิ้งเท่านั้นขอรับ”
ตระกูลซ่งเองก็รู้ว่าจี้ชวี่ปิ้งมีฝีมือแพทย์สูงส่ง แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเชิญมารักษายากเย็นนัก ดีที่ผู้ใดก็ล้วนรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับตระกูลเว่ย และซ่งอวี่วั่งก็มีความสัมพันธ์กับเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นหลานลุงแท้ๆ อยู่แล้ว ซ่งไจ้สุ่ยย่อมรีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือ
เมื่อรู้ว่าลุงแท้ๆ ล้มป่วย เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ชักช้า รีบบอกนางหวงช่วยจัดการงานในเรือนแทนตนในวันนี้ แล้วพาคนที่ซ่งไจ้สุ่ยให้มาส่งข่าวรุดไปอธิบายถึงเหตุการณ์ตอนนี้กับฮูหยินซู
ฮูหยินซูได้ยินว่าซ่งอวี่วั่งเสนาบดีตรวจการซึ่งมีตำแหน่งทัดเทียมตำแหน่งของ เสิ่นเซวียนล้มป่วย จึงรีบบอกว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปดูเร็ว! อย่าชักช้าต่ออาการป่วยของ ท่านเสนาบดีตรวจการ!”
________________________