ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 195-1 ราตรีนี้ลั่นกลองรบชูธงศึก
แม้จี้ชวี่ปิ้งจะมีชื่อเสียงเรื่องเชิญมาทำการรักษายากยิ่ง ทั้งคำพูดคำจาก็ขึ้นชื่อว่าไม่น่าฟังนัก แต่ตามประสบการณ์ของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว อย่างไรคนผู้นี้ก็ยังคงเห็นแก่บุญคุณของแม่เฒ่าซ่ง ฉะนั้นคนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่เฒ่าซ่ง หากทนกับอารมณ์ร้ายๆ ของเขาสักหน่อยก็ยังสามารถเชิญเขามาได้
ทว่าครานี้ไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะพูดจาดีอย่างไร จี้ชวี่ปิ้งก็ไม่ยอมออกไปรักษาให้ ด้วยเหตุผลว่าแม้พิษที่ซูอวี๋อู่และเผยไค่ได้รับมาจะแก้ได้แล้ว แต่ในระหว่างที่กำลังปรุงยาถอนพิษอยู่นั้น เขาก็เกิดประกายความคิดใหม่ขึ้นมา และมีความสนใจในประโยชน์ทางด้านอื่นของกระเรียนระทม เวลานี้กำลังอยู่ในช่วงที่ศึกษาเรื่องนี้อยู่ จึงไม่อยากจะเสียสมาธิกับเรื่องอื่น
สุดท้ายเว่ยฉางอิ๋งร้อนใจหนักหนา เขาจึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่งอย่างไม่ยอมใจ “หาไม่เจ้าก็ส่งคนมาที่นี่ อย่าได้คิดให้ข้าเสียเวลาเดินทางไปมา!”
เมื่อเอ่ยถึงขั้นนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จนปัญญา ทำได้เพียงส่งม้าเร็วไปรายงานที่จวนเสนาบดีตรวจการ
เมื่อถึงเวลาเที่ยง กลับได้ยินทั้งเสียงคนเสียงม้าดังขรมอยู่ข้างนอกคฤหาสน์จี้ …เป็นซ่งไจ้เจียงสามพี่น้องที่แม้ว่าหลังจากได้รับจดหมายแล้วจะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าชักช้า รีบใช้รถม้าที่กว้างใหญ่ที่สุดในเรือนพาซ่งอวี่วั่งมารักษา
บ่าวกำยำพากันหามซ่งอวี่วั่งเข้าไปภายในเรือน รอจนจี้ชวี่ปิ้งออกมา ทุกคนล้วนมีท่าทีประหวั่นพรั่นพรึงขณะมองดูเขายกข้อมือของซ่งอวี่วั่งขึ้นมาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย จับชีพจรอยู่สักพักแล้วก็วางลง …ยังไม่ทันเอ่ยถามถึงอาการป่วย จี้ชวี่ปิ้งก็สะบัดแขนเสื้อแล้วสั่งว่า “พวกผู้หญิงให้ออกไปให้หมดก่อน บุตรชายตระกูลซ่งอยู่ที่ใด? ให้อยู่คอยช่วยข้า”
สตรีที่อยู่รอบๆ นี้นอกจากสาวใช้แล้วก็มีเว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ย เพราะซ่งไจ้เจียงและซ่งไจ้เถียนล้วนมากันแล้ว ย่อมต้องมีคนหนึ่งอยู่ดูแลเรือน จึงเหลือนางฮั่วเอาไว้จัดการเรื่องต่างๆ ในเรือน
เมื่อได้ยินคำของจี้ชวี่ปิ้ง ลูกพี่ลูกน้องหญิงทั้งสองล้วนมีสีหน้าดึงเครียดขึ้นมา ซ่งไจ้สุ่ยเป็นห่วงบิดาจึงเอ่ยถามออกไปว่า “ท่านพ่อข้าเป็นเช่นใดบ้าง?”
จี้ชวี่ปิ้งไม่แม้จะเงยหน้าขึ้นมาสักหนก็เอ่ยเสียงเย็นไปว่า “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะถามผู้ใด? ไม่เห็นหรือว่าข้ายังไม่ทันได้ตรวจให้ดีเลย?!”
แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะโมโหเป็นนักหนา ทว่าก็เคยถูกสอนสั่งอบรมในบ้านมาแต่เล็ก พอถูกเขาตอบกลับมาเช่นนี้หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจึงตั้งตัวได้ สักพักหน้าก็แดงไปทั้งหน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธหนักหรือว่าอายหนักกันแน่ …เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบเข้าไปช่วยรอมชอมกล่าวว่า “ท่านพี่พวกเราออกไปก่อนเถิด บางทีท่านหมอเทวดาจี้ต้องให้พวกเราออกไปก่อนจึงจะสามารถตรวจอาการได้”
จี้ชวี่ปิ้งส่งเสียงอืมไปคำหนึ่งแล้วว่า “แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องการแพทย์เลยเช่นเจ้าก็ยังเข้าใจความหมายของข้า คุณหนูตระกูลซ่งผู้นี้ทำให้หน้าตาฉลาดๆ ของนางเสียราคาจริงๆ แม้แต่เหตุผลเช่นนี้ไยยังไม่รู้อีก?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งขืนลากซ่งไจ้สุ่ยออกไปนอกประตู เอ่ยทอดถอนใจว่า “ฉะนั้นหากไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยจริงๆ ทุกตระกูลในเมืองหลวงก็จะไม่มีคนยอมมาตรวจรักษากับคนผู้นี้ ท่านเห็นแล้วหรือไม่? ท่านอย่าไปร่ำไรกับเขา มันไม่ได้ผลหรอก ท่านดูสิแม้แต่ข้าก็ยังไม่ไปร่ำไรกับเขาเลย!”
สำหรับซ่งไจ้สุ่ยที่เข้าใจนิสัยใจคอของนางเป็นอย่างดีแล้ว ปรากฏว่าคำพูดนี้ได้ผลชะงัดนัก ซ่งไจ้สุ่ยถลึงตาใส่นางอยู่เนิ่นนาน ขบฟันพลางว่า “แม้แต่เจ้าก็ยังพูดออกมาว่าทนได้ แล้วข้าจะไม่ทนได้หรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางยังคงรู้สึกกลัดกลุ้มเรื่องที่เมื่อครู่นางเอ่ยถามไปแล้วถูก จี้ชวี่ปิ้งโต้กลับมาจนหาทางไปไม่ได้ จึงเอ่ยปลอบโยนนางว่า “ท่านอย่าโกรธไปเลย แม้เขาจะพูดจาระคายหู ทว่าก็มีข้อดีอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือฝีมือแพทย์เขาไม่เลวเลยจริงๆ ท่านก็คิดเสียว่าทำเพื่อท่านลุงก็แล้วกัน!”
ซ่งไจ้สุ่ยคิดแล้วคิดอีก กล่าวว่า “นี่กลับพอใช้การได้ หากเขาสามารถรักษาท่านพ่อได้ ให้ข้าทนฟังเขาพูดอีกสองสามคำก็ยังมิเป็นไร”
ยามอยู่ใต้แสงอาทิตย์ในเวลานี้ก็ร้อนนักหนา ทั้งสองคนยืนสนทนานากันสองสามคำอยู่ในลานบ้านจึงคิดไปหาที่นั่งสักพัก ทว่าในเรือนของคนเป็นหมอก็ไม่เหมือนกับเรือนของคนทั่วไป เรือนแถวทั้งสองฝั่งแม้จะไม่ได้ลงกลอน ทว่าเมื่อผลักให้เปิดออกล้วนมียาวางอยู่เต็มไปหมด แน่นเสียจนไม่มีที่จะยืน อย่าว่าแต่จะหาที่นั่งเลย
ยิ่งไปกว่านั้นแม้บนระเบียงทางเดินจะทำที่นั่งยาวขนาบสองข้างเอาไว้ ทว่าเวลานี้ก็มียานานาชนิดตากเอาไว้ ที่ว่างระหว่างนั้นก็นั่งได้เพียงแค่คนเดียว
ซ่งไจ้สุ่ยเห็นแล้วจึงถามว่า “พวกเราจัดเก็บของให้เขาเพื่อให้ได้นั่งรอ แล้วภายหลังค่อยเก็บคืนให้เขาได้หรือไม่?”
“ข้าว่าอย่าดีกว่า” เว่ยฉางอิ๋งเตือนนาง “ได้ยินมาว่าที่เขาไม่ยอมออกไปรักษาให้ในวันนี้ก็เพราะเขาเกิดความคิดบางอย่างเกี่ยวกับกระเรียนระทมซึ่งเป็นพิษที่พวกหรงใช้ ระยะนี้ล้วนกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ จึงไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปกลับจากบ้านของท่าน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเอายาพวกนี้มาใช้ศึกษากระเรียนระทมก็เป็นได้? พวกเราก็หาใช่คนที่รู้เรื่องยา หากวางผิดที่ขึ้นมาจนทำให้เขาโมโหก็จะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
ซ่งไจ้สุ่ยถอนหายใจ “คนผู้นี้… เฮ่อ ไม่เอ่ยถึงเขาแล้ว!”
“ดูจากที่เขาต้องการให้ลูกผู้พี่ชายทั้งสองอยู่คอยช่วยเขา ข้าว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก มิสู้ให้คนสองคนรอเฝ้าอยู่ที่นี่ แล้วพวกเราก็ออกไปหาที่นั่งพักข้างนอกกันเถิด” เว่ยฉางอิ๋งเสนอ “ที่นี่มียาตั้งมากมาย แดดส่องลงมายิ่งทำให้มีกลิ่น น่าเวียนหัวนัก”
ซ่งไจ้สุ่ยตอบรับไปอย่างซังกะตาย …บ่าวในเรือนของจี้ชวี่ปิ้งก็มีเพียงผู้ใหญ่สองคนและเด็กอีกหนึ่งรวมเป็นสามคนเท่านั้น ย่อมไม่อาจมาคอยต้อนรับดูแลได้ตลอดเวลา เมื่อไม่มีคนนำทางและเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่เสียยิ่งนัก อาศัยเพียงความทรงจำเดินไปตามทางที่ดูคล้ายว่าจะเป็นเรือนรับรอง ปรากฏว่าเดินไปเดินไป ก็เข้าไปในประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ แล้วเห็นว่าบนโต๊ะเก้าอี้หินที่อยู่ใต้ร้านองุ่น เป็นซูอวี๋อู่ที่ใบหน้าซีดขาวและเผยไค่ที่หน้าตาไม่มีสีเลือดเช่นกันนั่งผลัดกันวางหมากรุกอยู่ ส่วนบ่าวที่ทั้งสองตระกูลส่งมาดูแลพวกเขาก็ยืนประสานมือดูหมากรุกอยู่ข้างๆ
พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้า จึงมองไปพร้อมกัน เมื่อเห็นสตรีทั้งสองนางจึงพากันมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
แต่เห็นชัดว่าซูอวี๋อู่คงจะเข้าใจผิดแล้ว เขารีบทิ้งตัวหมากแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ เอ่ยทักทายว่า “ลูกผู้พี่ ท่านมาเยี่ยมข้าหรือขอรับ?”
เว่ยฉางอิ๋งเข้ามาข้างในแล้วจึงรู้ว่าเดินผิดทาง เดิมทีคิดจะหาที่นั่งพัก ไม่คิดว่ากลับเดินเข้ามาในเรือนที่เอาไว้คนเจ็บพักในคฤหาสน์จี้ และคนที่ดูหมากรุกอยู่ก็สงบเงียบยิ่งนัก ทำให้ข้างนอกไม่ได้ยินว่าในนี้มีคนอยู่ ในขณะที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวนางไม่แม้จะเคาะประตูก็เข้ามาเสียแล้ว ในขณะที่กำลังเลิ่กลั่กอยู่นั้น พอได้ยินซูอวี๋อู่เอ่ยทักทาย นางจึงยอมรับไปเสียเลย พลางพูดไปอย่างคลุมเครือว่า “ลูกผู้น้อง ยามนี้เจ้าลุกขึ้นได้แล้วหรือ?”
แล้วเห็นว่าเผยไค่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาคารวะ จึงหันไปพยักหน้าให้เขาเป็นการตอบรับ “คุณชายเผยยามนี้ท่านอาการดีขึ้นแล้วหรือ?”
ซูอวี๋อู่ยิ้มพลางว่า “ลุกนั่นลุกได้แล้ว เพียงแต่ร่างกายยังไม่ใคร่มีกำลัง ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าเป็นเพราะลมปราณดั้งเดิมได้รับความเสียหาย ทั้งเสียเลือดมากจากบาดแผลภายนอก ต้องพักฟื้นให้ดีขอรับ”
เผยไค่ก็บอกว่า “ลำบากฮูหยินเว่ยมาเยี่ยมแล้ว ข้าน้อยมิได้เป็นสิ่งใดมากแล้ว ยามนี้เพียงแต่ต้องทานยาสองสามชุดก็สามารถกลับบ้านแล้วขอรับ”
———————————-