ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 196-2 แม่ลูกจากกันชั่วคราว
นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยรู้สึกเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ทว่าท่านลองคิดดูว่าเพียงแค่ให้คุณชายน้อยไปอยู่ที่เรือนหลัก หาได้อุ้มไปอยู่บ้านอื่นไม่ ทุกวันฮูหยินน้อยก็มิใช่ว่าต้องไปคราวะที่เรือนหลักอยู่แล้ว? ฮูหยินเพียงแค่ดูแลคุณชายน้อยแทนท่านเท่านั้น ยามท่านรู้สึกเหงาอยากไปเยี่ยม แล้วฮูหยินจะขัดขวางท่านหรือเจ้าคะ?”
นางเฮ่อเองก็บอกว่า “เวลานี้ฮูหยินน้อยเพิ่งเริ่มปกครองดูแลเรือน ต้องมีเรื่องสับสนวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รอจนฮูหยินน้อยจัดการเรื่องต่างๆ ในมือได้คล่องแคล่วแล้ว ย่อมต้องว่างลงแล้ว ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าฮูหยินก็จะส่งคุณชายน้อยกลับมาให้แล้วนะเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าแม่สามีรักใคร่ลูกของนางเพียงนั้น เวลานี้ก็ออกปากว่าจะเอาเสิ่นซูกวงมาเลี้ยงดูที่เรือนหลัก ประการแรกเพื่อให้ตนไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังยามดูแลงานในเรือน ประการที่สองก็เพราะชื่นชอบเด็กเล็กๆ หากเลี้ยงดูไปสักพักแล้วยิ่งรักใคร่เขามากขึ้น พอถึงยามนั้นแม้ตนเองจะมีเวลาว่างมาดูแลลูกเองแล้ว แต่แม่สามีเกิดตัดใจไม่ได้และไม่ยอมคืนลูกให้ตนจะทำเช่นใด?
เพียงแต่เวลานี้เสิ่นซูกวงเพิ่งจะถูกอุ้มไป และนางก็เพิ่งเริ่มเข้ามาจัดการงานทุกอย่างในจวน …กว่านางจะพอมีเวลาว่างก็ไม่รู้ว่าต้องทนไปถึงปีใดเดือนใด? แต่ก็ทำได้เพียงแค่แอบถอนใจคำหนึ่งและปลอบโยนตนเองว่า ดีชั่วอย่างไรฮูหยินซูก็ไม่มีทางเลี้ยงดูเสิ่นซูกวงไม่ดีเป็นแน่ ขอเพียงแค่ดีต่อลูก เรื่องอื่นก็ทำเป็นมองไม่เห็นและให้ผ่านไปเถิด
คืนนี้นางนอนหลับไปทั้งความกลัดกลุ้มใจ
วันต่อมานางไปคารวะที่เรือนหลัก ฮูหยินซูกลับมิได้อุ้มเสิ่นซูกวงออกมา เพียงแต่เอ่ยกับนางหลิวคำหนึ่งว่า “ระยะนี้การเรียนของหมิงเอ๋อร์ไม่ใคร่ดีนัก คงเพราะคนข้างกายดูแลเขาไม่ดีและปล่อยให้เขาเล่นมากเกินไป เจ้าคอยใส่ใจให้มากหน่อย อย่างไรลูกก็สำคัญ งานในเรือนหากมีล้นมือก็ให้ฉางอิ๋งแบ่งเบาไปบ้าง”
นางหลิวรีบขอขมาไปก่อน “สะใภ้รู้สึกผิดนักเจ้าค่ะ คราก่อนตอนน้องสะใภ้สี่มายกน้ำชา หมิงเอ๋อร์ก็ทำเสียหน้ามาคราหนึ่งแล้ว หลังสะใภ้กลับไปก็เพิ่งจะกำชับกำชาเขา ไม่คิดว่ายังห่วงแต่เล่น แต่สะใภ้กลับไม่ทราบ! ดีที่ท่านแม่ตักเตือนจึงได้รู้ สะใภ้กลับไปจะต้องดูแลเขาให้ดี ไม่ปล่อยให้เขาเกียจคร้านเจ้าค่ะ” แล้วหันมายิ้มขอบคุณที่ เว่ยฉางอิ๋งจะช่วยแบ่งเบาภาระงาน
เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องตอบไปอย่างถ่อมตน แล้วบอกว่าตัวเองยังเด็ก มีหลายเรื่องที่ยังต้องขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ ขอให้นางหลิวคอยให้คำชี้แนะด้วย
ฮูหยินซูพึงพอใจที่สะใภ้รักใคร่ปรองดองกันยิ่งนัก …แต่นางเองก็รู้ว่าคำพูดเหล่านี้ของนางหลิวมิได้มาจากใจจิรงทั้งหมด ส่วนสะใภ้รองตวนมู่เยี่ยนอวี่ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจกำลังคิดแผนการอยู่ในใจ ทว่าพอน้ำใสแล้วกลับไม่มีปลา ฮูหยินซูชมเชยพวกนางสองสามคำก็ให้กลับไปได้
เมื่อออกมาจากเรือนหลัก ตวนมู่เยี่ยนอวี่จึงบอกว่าสองวันมานี้คุณหนูหลานที่สามเสิ่นซูเยวี่ยมีอาการไอเล็กน้อย และหมอที่นัดมาก็ใกล้จะถึงแล้ว นางไม่วางใจอยากกลับไปดูไวๆ จึงลาทั้งสองคนและกลับไปก่อน
นางหลิวจึงเชิญเว่ยฉางอิ๋งไปที่เรือนซินอี๋ เพื่อจะได้มอบหมายงานบางส่วนให้แก่นาง ระหว่างทางทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระกัน นางหลิวกล่าวว่า “ได้ยินว่าตอนนี้กวงเอ๋อร์ถูกเอาไปเลี้ยงดูที่เรือนท่านแม่แล้วหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วก็น่าละอายใจนัก นับแต่แต่งเข้าบ้านมา ข้าก็ไม่เคยแบ่งเบาภาระของท่านแม่เลย และไม่เคยได้ปรนนิบัติกตัญญูใดๆ เวลานี้ยังต้องมาเพิ่มความลำบากให้ท่านแม่อีก” เว่ยฉางอิ๋งพูดไปดังนั้น แต่ในใจก็เตรียมตัวตั้งรับเอาไว้แล้ว นั่นเพราะคุณชายหลานคนโตเสิ่นซูหมิงถูกเลี้ยงดูมาในบ้านใหญ่ ท่านปู่ท่านย่าไม่เคยเอ่ยปากว่าจะรับเขาไปเลี้ยงดูเลย
แม้จะเป็นเพราะว่าครั้งนั้นเสิ่นเซวียนสามีภรรยายังคงเลี้ยงดูบุตรธิดาที่อายุยังน้อยอยู่หลายคน …ปีนี้คุณชายแปดเสิ่นเหลี่ยนเหิงอายุได้สิบสองปีเพิ่งจะโตกว่าหลายชายคนโตเสิ่นซูหมิงสามปีเท่านั้น ถัดขึ้นไปจากเสิ่นเหลี่ยนเหิงก็ยังมีพี่ชายน้องชายที่ตอนที่เสิ่นซูหมิงเกิดนั้นพวกเขาล้วนยังไม่โต เสิ่นเซวียนสามีภรรยาจึงไม่มีเวลาว่างมาเลี้ยงดูหลานๆ อีก
แต่เสิ่นซูหมิงเป็นหลายชายคนโต แต่มิได้มีท่านปู่ท่านย่าเลี้ยงดูมาเอง แต่กลับเป็นลูกผู้น้องเสิ่นซูกวงที่เพิ่งจะเกิดมาไม่กี่เดือนก็ถูกท่านย่าอุ้มไปเลี้ยงดูที่เรือนหลักเสียแล้ว …แม้จะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้อยากแยกจากบุตรชาย แต่ไม่แน่ว่านางหลิวอาจยังคิดว่าบุตรชายของตนเองเสียเปรียบกว่าก็เป็นได้?
ดังนั้นแล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงพูดอีกว่า “นี่ก็เป็นเพราะข้าไม่เก่งกาจเช่นพี่สะใภ้ใหญ่หากข้าเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าคิดว่าท่านแม่ต้องไม่เป็นกังวลว่าข้าจะละเลยกวงเอ๋อร์เพราะต้องไปดูแลงานในเรือน จึงเป็นกังวลกับข้าขึ้นมา”
นางหลิวยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าต้องดูแลในเรือนยามนี้จะเทียบกับข้าในเวลานั้นได้ที่ใด? ครั้งนั้นข้าเพิ่งแต่งเข้าบ้านมา พวกน้องๆ ยังเล็กกันนัก งานที่ต้องทำก็มีน้อย ท่านแม่วางกฎระเบียบเอาไว้จนหมดแล้ว ข้าทำไปตามนั้นก็พอแล้ว เวลานี้นอกจากพวกน้องๆ จะโตกันหมดแล้ว แม้แต่หลานชายหลานสาวก็มีตั้งมากมาย บ้านใหญ่กิจการก็ใหญ่โต จึงมีเรื่องให้ทำมากเช่นกัน หากเป็นข้าเพิ่งแต่งเข้ามายามนี้เหมือนเจ้า ข้าก็ต้องทำงานอย่างยากลำบากเช่นกัน”
เว่ยฉางอิ๋งฟังว่านางพูดจาอย่างอ่อนโยน จึงวางใจและเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นข้าที่แต่งเข้ามาในสมัยที่พี่สะใภ้ใหญ่แต่งเข้ามาก็คงไม่สู้พี่สะใภ้ใหญ่หรอกเจ้าค่ะ ไม่ปิดบังท่าน ก่อนข้าออกเรือนท่านแม่ข้าสอนสั่งข้าเสมอว่าต้องไปเรียนรู้กับพี่สะใภ้ใหญ่ท่านให้มาก บอกว่าหากข้าสามารถเรียนรู้จากท่านแม้เพียงผิวเผินนางก็จะวางใจแล้วเจ้าค่ะ”
นางหลิวแสร้งยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า ยิ้มพลางเอ็ดไปว่า “โธ่เอ๊ย น้องสะใภ้สามเจ้าก็อย่าพูดยกยอข้าเช่นนี้เลย ท่านแม่ของเจ้าเป็นบุตรสาวตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน นับแต่แม่เฒ่าซ่งท่านย่าของเจ้าจนถึงซ่งไจ้สุ่ยลูกผู้พี่ของเจ้าผู้นั้น บุตรสาวตระกูลซ่งแต่ละสมัยล้วนขึ้นชื่อเรื่องรู้จักธรรมเนียมประเพณีเป็นเลิศ! นับเป็นที่หนึ่งที่สองใน ตระกูลสูงศักดิ์ …กริยามารยาทเล็กๆ น้อยๆ ของข้านี้ ยามไปอยู่ต่อหน้าท่านแม่และท่านย่าของเจ้าจะมีอันใดให้ดูกัน?”
ถ่อมตัวกันไปมาเช่นนี้สักพักก็มาถึงเรือนซินอี๋ นางหลิวจึงพานางไปที่ห้องหนังสือเล็กที่นางมักเอาไว้ใช้จัดการงานต่างๆ ไม่นึกว่าทั้งสองคนเพิ่งจะมาถึงระเบียงทางเดินหน้าห้องหนังสือเล็กยังไม่ทันเข้าไป ประตูห้องหนังสือเล็กก็เปิดออกเสียแล้ว เสิ่นจั้งลี่และคุณหนูหลานใหญ่เสิ่นซูจิ่งก็เดินออกมาพร้อมกัน ข้างหลังยังมีบ่าวเดินตามมาอีกสองคน ในมือของบ่าวทั้งสองคนถือหนังสืออยู่จำนวนหนึ่ง
บังเอิญมาพบกันดังนี้ ทั้งสองฝั่งจึงต่างสะดุ้งตกใจ เสิ่นซูจิ่งรีบเข้าไปคารวะอาสะใภ้
เว่ยฉางอิ๋งเองก็รีบบอกให้นางอย่าได้เกรงใจ และตนเองก็โค้งตัวให้แก่เสิ่นจั้งลี่ และเรียกเขาคำหนึ่งว่าพี่ใหญ่
สีหน้าของเสิ่นจั้งลี่ค่อนข้างซีด เขามองน้องสะใภ้คราวหนึ่งแล้วก็พันเหสายตาไป จากนั้นก็กำมือวางไว้ที่ริมฝีปากไอไปสองหน กล่าวว่า “น้องสะใภ้สามไม่ต้องมากพิธี”
เมื่อเห็นเขาไอ นางหลิวก็หน้าแดงขึ้นมาทันที อยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็หยุดเสีย สุดท้ายก็ยังพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “สองวันมานี้ร่างกายท่านไม่สู้ดี เหตุใดจึงลุกขึ้นมาเสียแล้ว? ออกมาก็ไม่ใส่เสื้อเพิ่มอีกสักหน่อย”
เสิ่นจั้งลี่อธิบายด้วยน้ำเสียงลมปราณส่วนกลางไม่พอว่า “นอนอยู่เฉยๆ รู้สึกเบื่อ นึกถึงหนังสือที่เคยอ่านไปก่อนหน้านี้สองสามเล่มจึงให้พวกบ่าวมาหา ปรากฏว่าบ่าวหาไม่พบ จึงเรียกจิ่งเอ๋อร์มาหา จิ่งเอ๋อร์หามาให้สองสามเล่ม ข้าดูแล้วล้วนไม่ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมาเมื่อใด จึงมาหาเองเสียเลย”
เสิ่นซูจิ่งรีบบอกว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เป็นลูกไม่รอบคอบเอง ลืมเตือนให้ท่านพ่อสวมเสื้อคลุมแล้วค่อยออกมาเจ้าค่ะ”
เพราะมีเว่ยฉางอิ๋งอยู่ด้วย นางหลิวจึงไม่ได้พูดสิ่งใดมากมาย เพียงบอกว่า “เจ้ารีบประคองท่านพ่อเจ้ากลับไปในห้องเถิด”
____________________________