ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 2 พิธีแต่งงาน
ดินแดนต้าเว่ยสุขสงบมากว่าร้อยปี แม้หลายปีมานี้การปกครองจะตำต่ำย่ำแย่ ทำให้ภาพลักษณ์ของแคว้นเสื่อมถอย ทว่าเมืองหลวงก็ยังคงรุ่งเรืองเช่นหมื่นปีก่อน บ้านเรือนโอ่อ่าสูงใหญ่ มองไม่เห็นวิกฤตที่มีในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
อากาศในวันที่เจ็ดเดือนสี่ดีเหลือประมาณ ลมอ่อนโชยไหวๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่งอาการสดชื่น เมื่อมองจากที่ไกลๆ อาคารสูงใหญ่โดดเด่นเป็นสง่าภายในเมืองช่างน่าเกรงขามและโอ่อ่างดงามยากจะบรรยาย สองข้างถนนหลวงที่ตรงเข้าไปภายในเมืองมีกิ่งก้านต้นหลิวห้อยระย้าปกคลุมอยู่เต็มไปหมด นกขมิ้นที่แฝงกายอยู่ท่ามกลางกิ่งก่านระย้าของต้นหลิวต้องตื่นตกใจด้วยเสียงกลองเสียงดนตรี และพากันโบยบินขึ้นในทันใด เสียงนกร้องตื่นตระหนกระงมไปทั่วท้องถนน แต่กลับเพิ่มความครึกครื้นของฤดูใบไม้ผลิให้แก่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวซึ่งกำลังเคลื่อนขบวนไปบนถนนสายนี้มากขึ้นไปอีก
ที่สุดทางของกิ่งหลิวระย้าและเสียงนกร้อง มองเห็นมีคนแน่นขนัดเต็มไปหมด
…และมองได้แค่เพียงแวบเดียวเท่านี้ ม่านของเกี้ยวก็ถูกนางหวงดึงปิดลงมาอย่างมิได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเสียงนางหวงกล่าวเสียงต่ำๆ กับคนหามเกี้ยวมาจากหลังผ้าม่านกั้นว่า “เดินให้นิ่งกว่านี้สักหน่อย…ม่านเกี้ยวเปิดออกหมดแล้ว”
วันนี้ต้องเข้าบ้าน ฉินเกอและเยี่ยนเกอล้วนไม่ได้ขึ้นเกี้ยวมาด้วย เว่ยฉางอิ๋งต้องลุกขึ้นมาแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศตั้งแต่ไก่โห่เหมือนกับวันที่นางออกจากบ้าน ตัวนางถูกรัดรึงไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าจนไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ง่ายดาย แม้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก็ยังลำบาก… ความจริงแล้วยามนี้นางควรจะรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวล ทว่าเมื่อถูกทำให้เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กายเช่นนี้ ความคิดเดียวที่นางมีก็คือต้องอดทนและขอให้เรื่องนี้ผ่านไปเร็วๆ ทีเถิด…
จักต้องรู้ก่อนว่ายามนี้มีเครื่องเครามากมาย ทั้งเครื่องประดับนานาที่ทำให้นางเหมือนต้นไม้ที่ต้นเต็มไปด้วยดอกไม้ บวกกับมงกุฎรูปดอกไม้ที่ประดับด้วยอัญมณีและไข่มุกแพรวพราวมากองอยู่บนหัว อีกทั้งตำแหน่งที่ปักเครื่องประดับทั้งหลายก็จะต้องไม่ไปบดบังความโดดเด่นของไข่มุกและอัญมณีเหล่านั้นด้วย เพื่อเผยความสูงส่งล่ำเลิศค่าที่เว่ยฉางอิ๋งมีให้มากยิ่งขึ้น และแม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีผมยาวถึงหัวเข่าที่เมื่อปล่อยผมลงมาก็จะสยายตัวออกไปถึงครึ่งตั่งอยู่แล้ว แต่ครานี้ยังเสริมมวยผมปลอมที่หลังใบหูทั้งสองข้างและข้างบนหัวเข้าไปอีก ทั้งทรงผมที่สลับซับซ้อนและที่ครอบมวยผมที่ตรึงรั้งผมเอาไว้ จนยามนี้ทำให้นางรู้สึกปวดหัวเป็นหนักหนา
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งไม่มีแก่ใจแม้แต่น้อยที่จะมาคิดถึงปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องที่หลังจากเข้าบ้านไปแล้วแม่สามีจะไว้หน้านางหรือไม่ เหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้จะพูดจานอกลู่นอกทางหรือไม่ และบรรดาท่านป้าท่านอาน้อยใหญ่ฝั่งบ้านสามีจะพึงพอใจตนหรือไม่ นางเพียงแต่ภาวนาอย่างสุดหัวใจว่าให้งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ครานี้เสร็จสิ้นลงเสียไวๆ
มิน่าเล่าเขาจึงพากันว่าก่อนออกเรือนจะต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดี หากเป็นผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เครื่องเคราบนหัวเหล่านี้เกรงว่าพอเอามาใส่บนตัวไม่นานก็คงจักเหน็ดเหนื่อยจนหมดสติ แล้วจะออกเรือนกันได้อย่างไรอีกเล่า…
ในระหว่างที่กำลังคิดส่งเดชอยู่เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งปวดหัวเหลือหลาย และทั้งต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตนสักหน่อย ระหว่างทางจึงลอบไปเปิดม่านของเกี้ยวออกเพื่อแอบดูเสียหน่อยว่าเมืองหลวงเป็นเช่นไรบ้าง
เคราะห์ดีที่นางหวงขัดขวางนางเอาไว้ ทันทีที่เห็นนางเปิดม่านก็อาศัยจังหวะตอนผู้อื่นไม่ทันสังเกต แล้วผลักความรับผิดชอบไปให้แก่คนแบกเกี้ยวแทน
ภาพทั้งหมดต่อจากนี้ไป เว่ยฉางอิ๋งล้วนมองไม่เห็น ทำได้แต่ฟัง…ว่ายามที่ค่อยๆ เข้าใกล้ประตูเมือง เสียงโห่ร้องของผู้คนยิ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็มีเสียงกลองอีกเสียงดังเพิ่มขึ้นมา
หลังจากนั้นข้างนอกเกี้ยวก็คล้ายจะเงียบลง คาดว่าคงเข้ามาในประตูเมืองแล้ว… ปรากฏว่าผ่านไปเพียงไม่นานเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
นอกจากถุงเครื่องหอมรุ่ยหลินเซียงที่แขวนเอาไว้บนเกี้ยวแล้ว หลังจากเข้าประตูเมืองมาก็ยังมีกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยโชยมา กลิ่นหอมนี้ทั้งสดชื่นและอ่อนโยน
เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่านั่นคือกลิ่นของหอมของซานอวิ๋นเซียง ซึ่งกลิ่นหอมนี้ให้ความรู้สึกล้ำค่าและสูงส่งยิ่ง คงเพราะรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งแขวนถุงเครื่องหอมเอาไว้
และท่ามกลางกลิ่นนั้นยังมีกลิ่นของเครื่องหอมไป๋เหยียนเซียงผสานเข้ามา จึงทำให้กลิ่นหอมต่างๆ ไม่ปะทะกัน หาไม่แล้วจะยิ่งทำให้กลิ่นฉุนจนเกินไป และไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเสิ่นรู้เรื่องที่ตระกูลเว่ยจุดธูปเฉินกวงเอาไว้ทั่วเมืองหรือไม่ จึงจงใจเผาเครื่องหอมทั้งสามชนิดนี้เอาไว้ต้อนรับตน?
เพราะเสียงกลองและดนตรีดังอื้ออึงไปหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ยินเพียงเสียงคนโห่ร้องอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรี แต่กลับฟังไม่ชัดว่าพูดสิ่งใดกัน
ในที่สุด หลังจากที่นางเฝ้าอดทนมาอย่างบากลำบาก ยามนี้ก็อดทนมาจึงถึงเวลาเชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยวเสียที
นางมีฝ้าคลุมหน้าบดบังสายตาเอาไว้ อีกทั้งเพราะมงกุฎดอกไม้และเครื่องประดับบนศีรษะทำให้ก้มหน้าไม่สะดวก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่อาศัยสาวใช้ประคองให้เดินและฟังเสียงเตือนบอกทางเบาๆ พลางเดินไปอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าแม้จะวอกแวกไปฟังเสียงพูดต่างๆ หรือคำอวยพรจากคนที่อยู่ข้างทาง… ดีชั่วอย่างไรอาคารที่บอกว่าใช้เป็นสถานที่จัดงานก็อยู่ข้างหน้านี้แล้ว ยังมิทันสิ้นเสียงพูดของสาวใช้ก็พลันได้ยินเสียงดนตรีดังสนั่นพร้อมกับเสียงประทัดดังขึ้น จนเว่ยฉางอิ๋งอดจะสะดุ้งตกใจไม่ได้ เคราะห์ดีที่แม้ว่านางจะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาด้วยเครื่องแต่งการเต็มยศนี้ แต่เพราะฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ฝีเท้ายามนางก้าวเดินจึงมั่นคงยิ่ง ไม่ถึงกับต้องหกล้มและเสียมารยาทไปด้วยเหตุนี้
ภายในโถงพิธีแต่งงาน เมื่อผู้ดูแลพิธีเห็นว่าเจ้าสาวมาถึงแล้ว จึงรีบร้องเพลงอวยพรขึ้นมาเสียงดังลั่น รอจนเจ้าสาวเดินตามเพลงอวยพรเข้าไปภายในและยืนประจำที่แล้ว ผู้ดูแลพิธีจึงกล่าวชมเชยไปประโยคสองประโยคว่าทั้งคู่เป็นคู่สร้างคู่สมกัน จากนั้นจึงประกาศลำดับพิธีการในโถงพิธี…หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับผู้ใหญ่ สุดท้ายสามีภรรยาคำนับกันและกัน…
เว่ยฉางอิ๋งถูกปิดหน้าเอาไว้ทำให้มองไม่เห็น และเมื่อถูกพาตัวเข้าไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของสามี นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองลงมาจากที่นั่งของแขกผู้ใหญ่ ว่ามีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่สายตานั้นดุดันเฉียบคมยิ่ง คล้ายกับว่าแม้จะมีผ้าคลุมหน้ากั้นอยู่ก็ยังสามารถมองเห็นความรู้สึกภายในใจของนางได้เช่นนั้น
นางพลันสั่นสะท้านขึ้นมาในใจ ด้วยไม่กล้าเงยหน้า และเพราะไม่รู้ว่าเป็นเสิ่นโจ้วหรือเป็นฮูหยินซูกันแน่?
ในขณะที่นางกำลังตื่นตระหนกอยู่นั่นเอง นางก็ถูกสาวใช้สะกิดหนหนึ่ง จึงได้ลุกขึ้นมา และหันมาคำนับซึ่งกันกับเสิ่นจั้งเฟิง
หลังจากสามีภรรยาคำนับกันแล้ว ทุกๆ คนก็ลุกขึ้นมาห้อมล้อมพวกเขา และดันพวกเขาให้เดินไปทางห้องหอกันอย่างเฮฮา… ทว่าเส้นทางนี้กลับต้องเดินอีกไกลมาก คงเพราะจวนตระกูลเสิ่นกว้างขวาง ระหว่างทางต้องเดินผ่านห้องโถงและระเบียบทางเดิน ทั้งยังมีเสียงของเด็กสาวหัวเราะอย่างยินดีดังลอยมาตลอดเวลา รวมทั้งเสียงคนร้องเพลงอวยพรให้คู่แต่งงานใหม่มีความสุขสงบสมบูรณ์ทุกประการ
เว่ยฉางอิ๋งอาศัยว่าตนมีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ จึงแสร้งทำเป็นว่ามิได้ยินสิ่งใด เอาแต่คอยตั้งใจระวังเท้ายามก้าวเดิน
ในที่สุด หลังจากมีคนเตือนให้นางยกขาก้าวสูงๆ หนหนึ่ง นางก็เข้ามาภายในตัวอาคารเสียที
ในเสียงดังเอะอะนั้น เว่ยฉางอิ๋งถูกประคองให้มานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ที่ขอบตั่งนอน รู้สึกแต่เพียงว่าตรงหน้าพลันสว่างวาบขึ้นมา
นั่นเพราะนางถูกปิดหน้ามาตลอดทาง ยามนี้ตรงหน้ามีพุ่มดอกไม้และแสงเทียนสว่างไสว มองเห็นทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรางดงาม และเครื่องประดับวับวามทั้งไข่มุกและอัญมณี ทำให้ภายในห้องยิ่งดูสุกสว่างงดงามยิ่ง จนนางต้องนิ่งเหม่อไปสองอึดใจจึงสามารถมองภาพตรงหน้าได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นว่าห่างออกไปนั้น เสิ่นจั้งเฟิงกำลังอมยิ้มพลางส่งคันตาชั่ง[1]ให้กับผู้ติดตามที่อยู่ข้างกาย
เหล่าพี่สะใภ้และท่านป้าท่านอาหญิงที่กรูเข้ามาในห้องได้เห็นใบหน้าของเจ้าสาวก่อนผู้ใด…ว่าใบหน้าของนางนั้นช่างงดงามผุดผ่อง แม้จะอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งกลุ่มก็ยังคงชมเชยได้เช่นเดิมว่างดงามล้ำเลิศ สิ่งที่หาได้ยากยิ่งนั้นคือ ยามนี้ทั้งตัวเจ้าสาวเต็มไปด้วยอัญมณีชั้นเลิศ แต่กลับไม่รู้สึกว่าไร้รสนิยม ในทางกลับกันสิ่งนี้ยิ่งเผยให้เห็นความเรียบง่ายและสุภาพที่งดงามล้ำค่า
ยามเหล่าคนตระกูลใหญ่มองคนนั้น เรื่องหนึ่งต้องมองที่รูปโฉม ทว่าราศีกลับยิ่งสำคัญเสียกว่า เมื่อเห็นว่าความงามและราศีของเจ้าสาวมิได้จืดจางลงเพราะเครื่องประดับและชุดแต่งงานแสนหรูหรา หากแต่ลอดผ่านอาภรณ์เหล่านั้นออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ทุกคนต่างสบตาซึ่งกันแล้วพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่ว่าก่อนออกเรือนเจ้าสาวผู้นี้จะถูกร่ำลือกันไปเช่นไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ที่สืบสายเลือดโดยตรง ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยก็เป็นผู้สอนสั่งอบรมมาด้วยตนเอง ดังนั้นที่สุดแล้วจึงจะไม่มีวันเสียสง่าราศีของบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลสูงศักดิ์ไปได้
จากนั้นมีสตรีสวมชุดหรูหรารูปโฉมงดงามผู้หนึ่งเป็นคนเอ่ยชมรูปโฉมของเจ้าสาว พลางกระเซ้าว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีวาสนาไม่เบา แล้วทุกคนก็พากันคล้อยตามนาง หลังจากกระเซ้าเย้าแหย่กันสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงตอบคำของพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นไปสองสามประโยค ทว่ากับสู้ปากคอแสนคมคายของนางหลิวผู้นี้ไม่ได้ จึงยิ้มเจื่อนๆ พลางเฝ้าขอให้ลดละให้ตนด้วย จากนั้นก็เฮฮากันอีกรอบ และมีแม่นมซึ่งมีท่าทีเคร่งขรึมเข้ามาเร่งรัดว่าให้คู่สามีภรรยาใหม่ได้ทำพิธีร่วมโต๊ะอาหารและคล้องแขนดื่มสุราได้แล้ว
นางหลิวรีบเรียกให้เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งมานั่งด้วยกัน คนสองคนที่มีความสุขพร้อมสมบูรณ์[2]เป็นผู้ยกอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ชนิดเดียวกันออกมา แล้วป้อนพวกเขารับประทานคนละคำสองคำพอเป็นพิธี จากนั้นมีเด็กหญิงเล็กๆ คู่หนึ่งซึ่งมีผิวพรรณงดงามนำกระบวยคู่ที่รินสุราอวี้จินมาจนเต็มส่งมาให้พวกเขาท่ามกลางกลิ่นอายความปลื้มปิติยินดี ภายในกระบวยคู่ซึ่งทำจากผลน้ำเต้าลูกเดียวกันฝ่าครึ่ง มองเห็นสุราที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในสะท้อนภาพเส้นด้ายแดงที่ผูกเอาไว้ปลายกระบวยให้ยิ่งดูสีสดงดงาม ทว่าเมื่อรสชาติขมๆ ของน้ำเต้าผสมเข้าไปในรสของสุรา ทำให้กลายเป็นว่าสุรานี้ดูแล้วหอมหวาน แต่เมื่อเข้าปากกลับฝาดขมเสียยิ่งนัก
แต่ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งทั้งหิวทั้งกระหาย จึงมิได้มาห่วงว่าตนจะหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือไม่ หลังจากที่คล้องแขนกับเสิ่นจั้งเฟงแล้วนางก็ดื่มเสียจนหมดกระบวย ถือเป็นการอาศัยจังหวะนี้ดับกระหายไปเสียเลย
ผู้มีความสุขพร้อมสมบูรณ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามารับกระบวยจากมือของคนทั้งสอง แล้วเหวี่ยงลงข้างล่างตั่งต่อหน้าทุกคน แต่เมื่อเห็นว่ากระบวยคู่นั้นซีกหนึ่งหงาย อีกซีกหนึ่งคว่ำ ทุกคนจึงพากันมีสีหน้ายินดี ผู้มีความสุขสมบูรณ์ซึ่งเหวี่ยงกระบวนลงพื้นยิ้มพลางกล่าวชมว่า “หนึ่งซีกหงาย หนึ่งซีกคว่ำ โชคดียิ่งใหญ่! ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม และฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ!”
สองแก้มของเว่ยฉางอิ๋งมีสีดังผลท้อ นางเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา เสิ่นจั้งเฟิงกลับหัวเราะและพูดคุยตามมารยาทกับทุกๆ คนขึ้นมา
จากนั้นก็มีคนถือกรรไกรเข้ามา จากนั้นก็ตัดผมของสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันออกมาคนละปอย แล้วมัดเข้าด้วยกันด้วยเชือกห้าสี และค่อยๆ บรรจุลงในถุงผ้าปักอย่างระมัดระวัง
เมื่อพิธีมัดผมซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายนี้เสร็จสิ้นลง ทุกคนจึงพากันกล่าวคำอวยพรให้คู่สามีภรรยาปรองดองกันตลอดไป รักใคร่กันจนผมเป็นสีขาว เว่ยฉางอิ๋งนั้นอยู่ในอาการเขินอายปนประหม่า เอาแต่กำผ้าเช็ดหน้าในมือไม่ยอมส่งเสียง เสิ่นจั้งเฟิงพานางขอบคุณทุกคน …เมื่อวุ่นวายกันดังนี้อยู่พักใหญ่ นางหลิวเห็นว่าที่ประตูห้องมีคนชะเง้อคอเข้ามามอง จึงเข้าใจในทันใด แล้วยิ้มแย้มพลางว่า “ยังพอจักมีเวลาอยู่บ้าง น้องสามรีบออกไปฉลองสักจอกสองจอก พวกเราจักช่วยเจ้าดูแลฮูหยินคนใหม่เอง”
เสิ่นจั้งเฟิงรีบตอบไปว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เป็นอย่างยิ่งขอรับ”
“เจ้าไปเถิด” นางหลิวยิ้มพลางพยักหน้า เมื่อเห็นเขารับปากแล้ว แต่ฝีเท้ากลับยังรั้งรอชักช้าอยู่ จึงจงใจพูดไปว่า “หากไม่ออกไป ผู้อื่นก็จะสงสัยเอาได้ว่าเจ้าเห็นใบหน้าเจ้าสาวซึ่งงดงามเสียกว่าบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ จึงได้หลงลืมแขกเหรื่อที่อยู่กันเต็มโถงเสียแล้ว! พอถึงเวลานั้นขึ้นมาก็จักพากันกลุ่มรุมเข้ามาดูเจ้าสาว เกรงว่าจะทำให้น้องสะใภ้สามตื่นตกใจเอาได้!”
คำพูดนี้ทำเอาใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นจั้งเฟิงพลันแดงขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างขัดเขินว่า “เพิ่งจะเสร็จพิธีกราบไหว้ เรื่องนี้…เอ่อ เรื่องนี้ต้องรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว จั้งเฟิงขอตัวไปก่อนขอรับ”
ได้ยินว่าเขาจะออกไปต้อนรับแขก เว่ยฉางอิ๋งจึงเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาคราหนึ่ง ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิ่งก็มองมาทางนางพอดี เมื่อสองคนสบตากันหน้าก็ยิ่งแดงมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่สายตาของพวกนางหลิว จึงพากันหัวเราะและเร่งให้เสิ่นจั้งเฟิงไป “หากยังไม่ไป แล้วเจ้าสาวมองเจ้าอีกสองหน เจ้าก็จะไปไหนไม่ได้แล้วนะ”
ในจำนวนนั้นมีสาวน้อยอายุราวสิบสองสิบสามปีผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าหลายสีพลันตบมืออย่างร่าเริงแล้วว่า “พี่สะใภ้ใหญ่พูดได้ถูกต้องเป็นที่สุด ยามนี้แขกเหรื่อเต็มโถงกำลังรอพี่ชายสามท่านไปดื่มฉลองอยู่นะเจ้าคะ! หากพี่ชายสาม ท่านยังไม่ไปอีก หรือเพราะกลัวว่าพวกเราจะกินพี่สะใภ้สามไปเล่าเจ้าคะ?”
สาวน้อยนางนี้มีคิ้วใบหลิวดวงตาสองชั้นกลมโต ใบหน้ารูปเม็ดแตงคางแหลมงดงาม ดวงตาดำขลับกรอกไปมายามพูดจา ดูไปแล้วเจ้าเล่ห์แสนกล เว่ยฉางอิ๋งคิดเปรียบเทียบกับคนในตระกูลเสิ่นที่นางหวงเคยบอกกล่าวกับตน คิดในใจว่าหรือสาวน้อยผู้นี้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเสิ่นจั้งเฟิง คุณหนูสี่เสิ่นจั้งหนิงที่ชอบปีนขึ้นไปบนต้นไม้และลงมาไม่ได้ผู้นั้น?
ขณะที่นางกำลังคิด เสิ่นจั้งหนิงก็ถูกพวกพี่สะใภ้และน้องสาวร่วมแรงร่วมใจกันไล่นางออกไป
เหลือเพียงเว่ยฉางอิ๋งที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนตั่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมองมาทางตนพร้อมกับรอยยิ้มจนตาหยี ก็อดจะกำผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้แน่นๆ ไม่ได้… นางหลิวมองออกว่านางตื่นเต้น รอยยิ้มของนางจึงได้อ่อนโยนลงมาก ไม่เหมือนน้ำเสียงแจ่มชัดฟังดูเฉลียวฉลาดยามนางเย้าแหย่เสิ่นจั้งเฟิง แต่กลับเปลี่ยนมาพูดจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพและอบอุ่นว่า “น้องสะใภ้สาม วันนี้เกรงว่าฟ้ายังไม่ทันสางเจ้าก็ต้องตื่นมาเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เช้า ยามนี้คงอยากจะทานอะไรสักหน่อยกระมัง?”
วันนี้ทั้งวันน้ำสักหยดข้าวสักเม็ดเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ได้ทาน เดิมทีเพราะนางฝึกวรยุทธ์มานานปี ปริมาณอาหารที่นางทานก็จะมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว และเพราะว่านางมีชาติกำเนิดที่สูงส่งมั่งคั่ง แต่เล็กมาจึงมีอาหารและยาบำรุงชั้นเลิศทานอยู่ทุกวี่วัน เพื่อมิให้ในระหว่างฝึกวรยุทธ์มีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ แล้วจักมียามใดที่นางเคยหิวโหยเช่นนี้มาก่อน? ก่อนนี้เพราะเรื่องข่าวลือทำให้นางไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืน ทว่ายามนั้นจิตใจของนางดังเถ้าถ่านที่กำลังมอด ไม่ว่าอาหารรสเลิศเช่นใดมาวางอยู่ตรงหน้าก็กินไม่ลง จึงได้เพียงแต่นอนซมอยู่บนตั่งสองวัน
แต่วันนี้กลับมิใช่ว่ากินไม่ลง แต่เพราะกินไม่ได้ ตลอดทางที่เดินทางมาต้องใส่มงกุฎเครื่องประดับมากมายทั้งชุดแต่งงานแสนหนักอึ้ง นางจึงทั้งเหนื่อยทั้งหิวอยู่ทุกขณะจิต เมื่อได้ยิงคำของนางหลิวจึงรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาจับใจ และพยักหน้าไปทันใดโดยไม่แม้แต่จะคิด เดิมทีนางหลิวนึกว่าน้องสะใภ้ผู้นี้เพิ่งจะเข้าบ้านมา ผู้เป็นเจ้าสาวก็คงจักอดเหนียมอายไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามสงวนท่าที นางยังเตรียมคำคะยั้นคะยอไว้อีกสองสามประโยค หากเว่ยฉางอิ๋งยังยืนยันว่าไม่ต้องการ เช่นนั้นก็แล้วไป หาไม่แล้วหากบังคับนางให้ทานอาหารกลับจะทำให้นางยิ่งตื่นเต้นมากเกินไป
แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ จนนางกลับต้องนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงสั่งบ่าวไปว่า “ไปเลือกเอาของว่างดีๆ มาสักจานหนึ่ง และรินนมแพะเจือน้ำผึ้งมาถ้วยหนึ่งด้วย” บ่าวยังไม่ทันไป นางก็ถามเว่ยฉางอิ๋งไปอีกว่า “น้องสะใภ้สามมีสิ่งใดที่ไม่ทานบ้างหรือไม่?”
“รบกวนให้พี่สะใภ้ใหญ่สอบถามแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดที่ไม่ทานเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบ
เสิ่นจั้งหนิงที่อยู่ข้างๆ จับจ้องไปยังพี่สะใภ้คนใหม่ของตนด้วยความสนใจยิ่ง จึงเอ่ยออกมาในยามนี้ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ บนโต๊ะข้างนอกมีขนมฮวายฮวากวนแป้งที่เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อเช้าวางอยู่เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง นางหลิวเองก็เอ่ยถามไปอย่างแปลกใจว่า “ขนมฮวายฮวากวนแป้งรึ? สองวันนี้ในบ้านวุ่นวายกันยิ่งนัก ข้าจำได้ว่าในงานเลี้ยงก็มิได้มีของว่างนี้นี่ เป็นผู้ใดเอามากัน?”
“พี่ชายสามกำชับกำชามาโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างได้อกได้ใจว่า “สองวันก่อน พี่ชายสามให้คนกลับมาสั่งความว่าให้คนในห้องครัวไปเก็บดอกฮวายฮวาในสวนดอกไม้มา ข้าไปพบเห็นเข้าจึงได้สอบถามไป…ท่านยายแม่บ้านยังบอกว่าพี่ชายสามรู้สึกอยากกินขนมฮวายฮวากวนแป้งขึ้นมา ข้าก็คิดว่าแต่ไรมาพี่ชายสามมิได้มีความสนใจเรื่องอาหารการกิน ในขณะที่กำลังวุ่นวายกันเรื่องงานแต่งงานเช่นนี้ แล้วพี่ชายสามจะส่งคนกลับมาสั่งความเป็นพิเศษได้อย่างไร? คิดว่าเพื่อเตรียมเอาไว้ให้พี่สะใภ้สามกระมังเจ้าคะ?”
คำกล่าวนี้ทำเอาทุกคนในห้องหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน และมีหญิงผู้หนึ่งที่ก่อนนี้เอาแต่ยิ้มไม่พูดจาเอ่ยปากออกมาว่า “มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้น้องสามจึงเอาแต่ละล้าละลังไม่ยอมออกไปต้อนรับแขกเหรื่อสักที!”
เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งหนิงเป็นคนที่กลัวว่าในใต้หล้าจะไม่เกิดความวุ่นวายเพียงพอ นางพลันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วว่า “พี่สะใภ้รองพูดถูกเป็นที่สุดเจ้าค่ะ!”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็หน้าแดงไปทั้งหน้าอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งแดงลงไปถึงลำคอ… นางหลิวสั่งให้สาวใช้ยกขนมฮวายฮวากวนแป้งเข้ามาแล้ววางไว้ข้างๆ ตัวนาง นางกลับมีท่าทีจะหยิบก็ไม่ใช่ ไม่หยิบก็ไม่ถูก วางตัวไม่ถูก ขัดเขินเป็นที่สุด…
__________________________
[1] คานตาชั่ง คือตัวคานของตาชั่งที่เป็นคานเดียว ข้างหนึ่งมีถาดเอาไว้ใส่ของที่ต้องการชั่ง ส่วนอีกข้างเป็นที่เกี่ยวกับทุ่นน้ำหนักเวลาชั่งน้ำหนัก ใช้เป็นอุปกรณ์เมื่อเจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มีความหมายว่าให้ทุกเรื่องราบรื่นสมดังใจ
[2] ผู้มีความสุขสมบูรณ์ คือ สตรีที่แต่งงานแล้ว มีสามีที่ดี บ้านสามีรัก มีบุตรธิดาครบพร้อมและยังมีชีวิตอยู่