ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 20
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 20 กระเรียนระทม
ตอนที่ 20 กระเรียนระทม
โดย
Xiaobei
“กระเรียนระทม?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นสิ่งใดกัน?”
“เป็นยาเย็นที่พวกเป่ยหรงผลิตขึ้นมา” นางหลิวกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้านว่า “ตระกูลหลิวของข้าต้องคอยสู้รบกับพวกหรง มักจะพบเจอยาชนิดนี้อยู่บนตัวของพวกหรง… มีฤทธิ์รักษาพิษร้อยได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากคนที่ปกติดีอยู่ใช้ยาชนิดนี้ ต่อให้เพียงเล็กน้อยก็จะ….”
หลิวรั่วอวี้ตัวโอนเอนคล้ายจะล้มพลางกล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ของชนิดนี้หากใช้มากไปก็จะมีกลิ่นแปลกๆ แต่ว่าร่างกายข้าอ่อนแอเพียงนี้ เพียงเล็กน้อยก็สามารถ… สามารถทำให้ข้าอยู่ในสภาพนี้แล้ว!” นางกล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยลมที่แสนจะแผ่วเบา แล้วจู่ๆ ก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง ปัดไม้ปัดมือไปทั่ว กรีดร้องออกมาว่า “ข้าไม่เคยยื้อแย่งสิ่งใดกับพวกนาง ขอเพียงแค่ถึงวัยอันควรแล้วได้แต่งงานกับคนดีๆ ซื่อตรง ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข! กระทั่งไม่เคยคิดจะแก้แค้นพวกนาง…. พวกนาง… พวกนางก็ยังคงไม่ยอมปล่อยข้าไปเช่นนี้?! ให้ข้าแต่งกับองค์รัชทายาทที่แม้แต่ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งอยู่ไกลถึงเจียงหนานก็ยังรู้ว่าเป็นคนเจ้าชูสำมะเลเทเมายังไม่พอ… ยามนี้แม้แต่ชีวิตข้าก็ยัง…”
“น้องสิบ! เจ้าสงบใจหน่อย!” นิ้วมือของนางหลิวซีดขาวด้วยออกแรงกดอยู่ลงบนโต๊ะ สีหน้าซีดเผือดดังหิมะ แต่ยังนับว่าสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ยามเจอปัญหา จึงร้องห้ามน้องสาวร่วมตระกูลที่เสียใจจนฟูมฟาย แล้วหันไปยิ้มขออภัยกับเว่ยฉางอิ๋งและนางหวง “ขออภัยจริงๆ… น้องสะใภ้สาม ท่านอาหวง เด็กคนนี้… สองวันมานี้อารมณ์ไม่ใคร่ดี วันนี้จึงเลอะเลือนเสียแล้ว และพูดคำพูดส่งเดชเช่นนี้…ช่าง…”
เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวว่า “คนเราเมื่อกำลังป่วยก็มักจะอารมณ์ไม่ดี หากจะพูดออกมาด้วยความโกรธบ้างก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ยาก ผู้ใดจักเห็นเป็นจริงเป็นจังเล่าเจ้าคะ? สุขภาพของน้องรั่วอวี้สำคัญกว่า ตามความเห็นของข้า น่าจะลองถามท่านอาว่าพอมีวิธีหรือไม่เถิดเจ้าค่ะ?” คำนินทาองค์รัชทายาทนั้น ยามที่อยู่ในเฟิ่งโจว มิรู้ว่านางและซ่งไจ้สุ่ยเคยพูดกันไปมากมายเพียงใดแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว คำพูดที่หลิวรั่วอวี้โพล่งออกมาด้วยความอัดอั้นใจเพียงประโยคเดียวนี้จะนับอะไรได้
กับท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกรังเกียจมาจากขั้วหัวใจ ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าวันหน้าซ่งไจ้สุ่ยจะต้องเผชิญกับชะตากรรมยากยิ่งไปชั่วชีวิต จึงยิ่งคาดหวังอย่างสุดหัวใจว่าอยากให้ราชสำนักล่มสลายไปเสีย… แม้จะบอกว่าวันนี้ตนเพิ่งจะได้พบหลิวรั่วอวี้เป็นหนแรก ทั้งเพราะคำพูดของแม่นมชวีนางจึงรู้สึกเคลือบแคลงในตัวเด็กสาวผู้นี้ แต่เมื่อได้ยินว่านางจะต้องแต่งกับองค์รัชทายาทต่อจากซ่งไจ้สุ่ย เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเช่นกัน… เพราะได้รับอิทธิพลจากซ่งไจ้สุ่ย ความรู้สึกที่นางมีต่อองค์รัชทายาทจึงเลวร้ายเสียเหลือเกิน
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเตือน นางหลิวพี่น้องจึงพากันมองไปยังนางหวงด้วยความหวังล้นปรี่
ทว่านางหวงกลับขมวดคิ้วอยู่เป็นนาน แล้วส่ายหน้าไปมา บอกว่า “กระเรียนระทมมีฤทธิ์เย็นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งคุณหนูสิบในเวลานี้ก็อ่อนแอนัก หากใช้ยาที่มีฤทธิ์ร้อน ก็เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว ต่อให้ค่อยปรับธาตุให้ แต่หากไม่ใช้เวลาสักปีครึ่งปี หากต้องการจะตั้งครรภ์ ก็….”
หลิวรั่วอวี้ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า ทั้งตัวสั่นเทาไปหมดเหมือนตะแกรงที่กำลังสั่นร่อนอยู่
นางหลิวเองก็มีสีหน้าหม่นดังเถ้าถ่าน แล้วร้องเสียงหลงไปว่า “ปีครึ่งปี! นะ…น้องสิบจะอยู่รักษาที่นี่ปีครึ่งปีได้อย่างไร?!”
กระเรียนระทมนี้ นางหวงเพียงแค่บอกว่าเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น แต่นางหลิวและหลัวรั่วอวี้กลับเอ่ยชื่อของมันออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งยังบอกว่าเป็นยาที่ผลิตอยู่ในเป่ยหรง แล้วจะเป็นผู้ใดที่วางยาชนิดนี้แก่หลิวรั่วอวี้ได้?
หากสามารถถอนพิษได้ในสามวันห้าวัน ยามหลิวรั่วอวี้กลับไปและคอยระวังตัวสักหน่อย บางทีอาจจะสามารถตบตามารดาใหม่ให้คิดว่ายังคงถูกพิษอยู่ เมื่อแต่งเข้าตำหนักตะวันออกก็อาจจะปลอดภัยขึ้นสักหน่อย แต่ยามนี้นางหวงกลับบอกว่าต้องใช้เวลาปีครึ่งปีจึงจะสามารถถอนพิษได้ ช่วงระยะเวลานี้หลิวรั่วอวี้ก็ต้องแต่งเข้าตำหนักตะวันออกไปเรียบร้อยแล้วน่ะสิ!
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่นางหวงต้องการบอกก็คือยังต้องคอยปรับธาตุไปตลอดเวลาปีครึ่งปีโดยไม่ขาดตอน!
สำหรับหลิวรั่วอวี้ที่กำลังจะออกเรือนนั้น เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
นางหลิวสูดหายใจลึก และเสนอความคิดว่า “สามารถรอให้น้องสิบออกเรือนไปก่อนแล้วค่อยเชิญท่านอาไปรักษาได้หรือไม่?”
นางหวงส่ายหน้าทันที “พิษนี้ไม่อาจประวิงเวลา ยิ่งรอก็จักยิ่งเข้าลึก พอเลยเวลาแม้แต่ยาก็ยังไม่อาจปรับธาตุกลับมาได้ เกราว่าแม้แต่ท่านหมอเทวดาจี้ก็ยังไร้หนทางเลยเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นจักสามารถเชิญท่านหมอเทวดาจี้…มาตรวจเองสักหน่อยได้หรือไม่?” นางหลิวลังเลสักพัก แม้จะรู้ว่าพูดเช่นนี้ออกไปอาจล่วงเกินนางหวง แต่ก็ยังอดถามออกไปไม่ได้
เว่ยฉางอิ๋งเองก็หันมองนางอย่างต้องการจะสอบถามด้วยเช่นกัน แม้จะบอกว่าจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ไม่เพียงแค่เคยช่วยชีวิตบิดานางนางเอาไว้ หากไม่ได้จี้ชวี่ปิ้งกระทั่งแม้แต่ตัวนางและเว่ยฉางเฟิงก็จะไม่ได้มีชีวิตบนโลกนี้ แต่ว่าจนทุกวันนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่เคยได้พบกับหมอเทวดาท่านนี้เลยสักหน… และไม่รู้ว่าบ้านของตนนั้นมีความสัมพันธ์เช่นไรกับจี้ชวี่ปิ้งกันแน่ จะสามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้เช่นเดียวกับที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวทำได้หรือไม่?
นางหวงนิ่งคิด เนิ่นนานจึงค่อยๆ พยักหน้าน้อยๆ ให้แก่นางหลิวที่เฝ้ารอด้วยความหวังเต็มเปี่ยม และเว่ยฉางอิ๋งที่มีแววตาอยากจะไถ่ถามเสียยิ่งนัก กล่าวว่า “วันพรุ่งข้าน้อยจักไปที่บ้านพักของท่านหมอเทวดาสักหน เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านหมอเทวดาจักว่างหรือไม่ จึงไม่กล้ารับประกันเจ้าค่ะ”
นางหลิวกล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณท่านอาหวงมาก… ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี ท่านอามีบุญคุณล้นเหลือทั้งมีคุณธรรมยิ่ง ข้าและน้องสิบจะไม่มีวันลืมเลย!” นางตื่นเต้นดีใจจนพูดออกมาเช่นนี้ รอจนมองไปเห็นเว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนพลั้งปากพูดไปแล้ว แม้จะบอกว่าผู้ที่ทั้งทำการรักษาและยังรับปากจะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมานั้นคือนางหวง แต่นางหวงเป็นบ่าวที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาหลังแต่งงาน หากจะขอบคุณก็ควรจะขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งก่อนจึงจะถูก
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฐานะของนางหลิว แล้วกล่าวกับนางหวงว่า “มีบุญคุณล้นเหลือทั้งมีคุณธรรมยิ่ง จะไม่มีวันลืมเลย” ก็ออกจะเป็นการเสียกริยาจริงๆ
ดีที่เว่ยฉางอิ๋งกู้สถานการณ์ในเวลาชั่วอึดใจ “พี่สะใภ้ใหญ่อย่างเพิ่งกล่าวเช่นนี้เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้ามิใช่เคยบอกแล้ว? น้องรั่วอวี้ทั้งงดงงามและแสนดีเพียงนี้ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีผู้ใดใจคอโหดร้ายนัก น่าน้อยใจแทนนางเสียจริงๆ! ในเมื่อได้มาพบกันยามนี้แล้ว ผู้ใดเล่าก็จักไม่ออกแรงช่วยอย่างเต็มที่เจ้าคะ?”
แม้นางหวงให้คำมั่นว่าจะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาตรวจดูด้วยตนเอง แต่นางก็บอกแล้วว่าไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวรั่วอวี้ถูกมารดาใหม่ข่มเหงมาอย่างหนักแต่เล็ก ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ให้นางต้องแต่งงานอย่างกระชั้นชิดเพื่อกำจัดนางไปเสียให้พ้นๆ กระทั่งยังวางแผนทำลายชีวิตของนางในอนาคตอีก… ไม่ว่าผู้ใดถูกข่มเหงรังแกจนถึงขั้นนี้ก็ล้วนไม่อาจจะทนต่อไปได้อีก
ไม่ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะยอมรักษาหรือไม่ หลิวรั่วอวี้จะมีทางเยี่ยวยาหรือไม่ สรุปแล้วความแค้นระหว่างนางและมารดาใหม่ของนางก็นับว่าใหญ่หลวงนัก! ประเด็นนี้ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและนางหลิวด้วยกระจ่างดี นางหลิวเร่งร้อนปลอบโยนน้องสาว เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ นางหวงจัดยาปรับธาตุแก่หลิวรั่วอวี้ไปชุดหนึ่งก่อน และให้คนไปจัดหามาและดื่มในทันที แล้วนายบ่าวทั้งสองจึงกล่าวคำอำลา
เมื่อออกมาจากเรือนซินอี๋ เว่ยฉางอิ๋งจึงแอบถามนางหวงว่า “พิษของคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นั้น ท่านอาจำเป็นต้องใช้เวลาปีครึ่งปีจึงจะรักษาได้เชียวหรือ?”
นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วมองนาง กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยนับวันยิ่งปราดเปรื่องขึ้นเรื่อยๆ”
คำกล่าวนี้เท่ากับเป็นการตอบรับการคาดเดาของเว่ยฉางอิ๋ง ความจริงแล้วนางหวงไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานถึงเพียงนั้นเพื่อถอนพิษของกระเรียนระทม เว่ยฉางอิ๋งอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ “ข้าก็เพียงแค่เดา ท่านย่าบอกว่าท่านอาเก่งกาจนัก ลำพังแค่เพียงยาที่มีฤทธิ์เย็นเหตุใดจึงจะถอนไม่ได้? แต่กลับไม่รู้ว่าไยท่านอาต้องถ่อมตนเพียงนี้?”
นางหวงได้ยินคำกลับมีท่าทีงงงัน พร้อมสีหน้าไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยอย่าได้ดูถูกกระเรียนระทมนี่เชียวนะเจ้าคะ! คุณหนูสิบตระกูลหลิวกำลังจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เมื่อนางล้มป่วย ผู้คนในสำนักแพทย์หลวงหรือจะไม่มาดู? มารดาใหม่ของนางใช้กระเรียนระทมนี้ ประการแรกเพราะแน่ใจว่ายากจะถอนพิษได้ ประการที่สองเพราะเห็นว่ามันอยากจะวินิจฉัยออกมาได้… แม้แต่แพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถวินิจฉัยหาร่องรอยของยาชนิดนี้ได้! แต่ที่วันนี้ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวล้วนสามารถเอ่ยชื่อยาชนิดนี้ออกมาเป็นเสียงเดียวกัน นั้นล้วนเป็นเพราะตระกูลหลิวอยู่ที่ตงหูมาหลายชั่วคน จึงคุ้นเคยกับของที่พวกหรงผลิตเป็นอย่างดี หากเป็นบ้านอื่น เกรงว่ายังต้องให้ข้าน้อยไปอธิบายที่มาที่ไปของกระเรียนระทมนี้ให้พวกนางฟังเสียอีกเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ใดทางการแพทย์เลย แต่ด้วยเชื่อมั่นในตัวนางหวง จึงรู้สึกว่าวิชาแพทย์ของนางหวงจะต้องเก่งกาจเป็นพิเศษ ยามนี้ได้ฟังแล้วจึงถึงกับลิ้นรัว “รักษายากหรือ?”
“ยากมากเจ้าค่ะ” นางหวงพะยักหน้าอย่างจริงจัง “ดังนั้นข้าน้อยจึงบอกว่า ท่านหมอที่ฮูหยินน้อยใหญ่เชิญมารักษาคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั้นมีฝีมือไม่เลวแล้ว อย่างน้อยเขาก็เอ่ยออกมาว่าคุณหนูสิบตระกูลหลิวจะมีปัญหายากยิ่งในการมีผู้สืบสกุล … หากเป็นท่านหมอที่ไม่สามารถวินิจฉัยออกว่านี่คือกระเรียนระทม ก็จะนึกว่าร่างกายของคุณหนูสิบตระกูลหลิวค่อนข้างเย็นอยู่เป็นทุนเดิม แล้วการปรับธาตุเพียงหนก็จักไม่ใคร่เป็นผลใดนัก แต่หากใช้ยาที่พวกเขาใช้ปรับธาตุให้กับคนที่มีธาตุเย็นอยู่เป็นทุนเดิม กลับกันยิ่งจะเสริมให้ฤทธิ์ยาอยู่นานขึ้น พอถึงยามนั้น คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็หมดหวังเรื่องมีผู้สืบสกุลแล้วเจ้าค่ะ!”
นางหวงยิ้มเยาะกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ในภายหลังต่อให้มีหมอวินิจฉันออกว่านางต้องยาที่มีฤทธิ์เย็น แต่แพทย์หลวงที่เคยวินิจฉัยผิดก่อนหน้านี้ก็จะต้องพยายามปฏิเสธอย่างสุดกำลังเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตน…. แล้วจะไม่เป็นการปกปิดเรื่องนี้ต่อไปหรอกหรือ ผู้ที่ต้องได้รับความทุกข์ทนและถูกทำร้ายก็จะมีเพียงคุณหนูสิบตระกูลหลิว ส่วนมารดาใหม่ของนางก็จะไม่ได้มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย! สำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้อื่น ยาฤทธิ์เย็นชนิดนี้ช่างใช้งานได้ดีจริงๆ!”
เว่ยฉางอิ๋งอดจะคล้อยตามไม่ได้ “เช่นนั้นท่านอาก็เก่งกาจจริงๆ แม้แต่ยาพิษที่ถอนยากเช่นนี้ก็ยังสามารถถอนพิษได้!”
นางหวงกลับหัวเราะออกมา “เป็นข้าน้อยเก่งกาจที่ใดกันเจ้าคะ? ก็เพียงแค่… กระเรียนระทมนี้ ท่านหมอเทวดาจี้เคยนำมาทดลองฤทธิ์ของมันมาก่อน และเป็นดังที่คุณหนูหลิวตระกูลหลิวว่าในวันนี้ กระเรียนระทมเมื่อใช้มากเกินไปก็จะมีกลิ่นแปลกๆ และทำให้คนรู้สึกได้ ครานั้นท่านหมอเทวดาจี้กลับใช้ยาสองสามชิดมาผสมกัน และทำให้มันไร้สีทั้งไร้กลิ่น… ครานั้นข้าน้อยรับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้คอยดูแลที่พักให้แก่ท่านหมอเทวดา ใช้วิธีครูพักลักจำเอา แล้วจดจำวิธีแก้พิษกระเรียนระทมเอาไว้ หาไม่แล้วใช้เวลารักษาปีครึ่งปีก็นับว่าโชคดีแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ในเมื่อท่านอาสามารถแก้พิษชนิดนี้ได้ แต่เหตุใดยังต้องไปเชิญท่านหมอเทวดามาเล่า? มิใช้บอกว่าพิษชนิดนี้ยิ่งประวิงเวลายิ่งไม่ดีหรอกหรือ?”
“ฮูหยินน้อยไม่ทราบ แม้ท่านหมอเทวดาจะอนุญาตให้ข้าน้อยเข้าบ้านไปคารวะยามงานเทศกาล แต่ก็เคยบอกไว้ว่ายามปกติไม่ชอบถูกคนรบกวน เพียงแต่หากข้าน้อยพบเจอเรื่องขัดข้องในทางการแพทย์ ก็สามารถไปขอคำชี้แนะได้ตลอดเวลา ฮูหยินน้อยท่านว่าจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไร? ดีชั่วข้าน้อยไปหนหนึ่ง ต่อให้ไม่อาจเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาได้ ก็ยังสามารถขอคำชี้แนะ อย่างไรก็ไม่เสียเที่ยวเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างงงงันว่า “ท่านอามิใช่บอกว่า ท่านเคยเห็นวิธีถอนพิษนี้จากท่านหมอเทวดาแล้ว?”
นางหวงมองนางด้วยความสงสารหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยว่า “ฮูหยินน้อยลองคิดดูสิเจ้าคะ ฮูหยินน้อยใหญ่ขอให้พวกเราช่วยตรวจอาการให้คุณหนูสิบตระกูลหลิว ก็เพื่อสิ่งใดเล่า? ก็มิใช่เพราะตำหนักตะวันออกหรือ.. ด้วยหวังว่าเมื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิวมีสุขภาพดีแล้วก็จะสามารถมีบุตรธิดาสักคน วันหน้าก็จะได้มีความหวัง! หากเพียงแค่ถอนพิษได้ แล้วเกิดทำให้ลมปราณต้นกำเนิดของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเสียหายนัก แล้วที่ต้องการผู้สืบสกุลจักต้องรอไปอีกกี่ปีกี่เดือนกัน? ยิ่งมิต้องบอกว่าก่อนคุณหนูสิบตระกูลหลิวจะออกเรือนมารดาใหม่ของนางก็ลงมือถึงเพียงนี้แล้ว มีหรือวันหน้าจะไม่ทำร้ายนางอีก? ข้าน้อยไปคราวะท่านหมอเทวดาจี้ และขอคำชี้แนะว่าจะปรับธาตุให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวอย่างให้ ให้คุณหนูสิบได้ตั้งครรภ์ในเร็ววัน มิใช่ดีที่สุดหรอกหรือเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ คิดสักพักจึงว่า “มารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ทำเกินไปจริงๆ ข้าฟังแล้วก็รู้สึกรังเกียจคนผู้นี้นัก”
นางหวงยิ้มอ่อนๆ แล้วว่า “มารดาใหม่นี่เจ้าคะ มีสักกี่คนจะดีเล่า? โดยเฉพาะเมื่อฮูหยินใหม่ผู้นี้ยังมีบุตรสาวของตนเอง!”
“แต่คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็เป็นเด็กผู้หญิง ต่อให้ไม่ชอบปานใด พอถึงวันก็จักต้องออกจากบ้านไป ข้าดูคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็มิได้เป็นคนดื้อรั้นไม่กตัญญู…” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่เป็นสุขว่า “ผู้ที่เป็นแม่เช่นนี้ก็ไร้ความเมตตาเกินไปแล้ว!”
นางอดจะสอบถามไปไม่ได้ว่า “มารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้เป็นบุตรสาวของบ้านใดกัน? ช่างไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้ บ้านแม่นางก็ไม่มีคนคอยตักเตือนสอนสั่งเสียบ้าง!”
นางหวงยิ้ม “จะว่าไปก็นับเป็นเรื่องบังเอิญนัก นางก็คือบุตรของอนุซึ่งเป็นน้องสาวของมารดาแท้ๆ ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั่นเอง! หากมิใช่ด้วยเหตุนี้ บ้านฝั่งแม่ของคุณหนูสิบตระกูบหลิวผู้นี้จะไม่ช่วยสักนิด แล้วยังต้องให้ฮูหยินน้อยใหญ่พี่สาวร่วมตระกูลทนดูไม่ไหวจนต้องยื่นมือเข้าช่วยหรือ?”
“เอ๋?”
“คำเล่าลือในเรือนหลังเป็นการภายใน บอกว่าเมื่อมารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวยังมิทันเสียชีวิตนางก็ส่งสายตาไปมากับบิดาของคุณหนูสิบแล้ว แม้ฐานะของตระกูลจางจะไม่สู้ตระกูลหลิว แต่อย่างไรก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ แล้วจะยอมให้บุตรสาวไปเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร? ปรากฏว่ามารดาของคุณหนูสิบล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่เพราะไปช่วยฮูหยินน้อยใหญ่ แล้วทุกอย่างก็จบสิ้น” นางหวงยิ้มหยัน “นายท่านห้าของบ้านหลิวก็รับนางเข้าบ้านมาเป็นภรรยาหลวงอย่างยินดีปรีดา… นางก็โชคดีนักยามเข้าบ้านมา นอกจากคุณหนูสิบตระกูลหลิวแล้ว แม้แต่บุตรธิดาของอนุก็ไม่มีให้มาเป็นอุปสรรคสำหรับนาง! ปีต่อมาหลังจากนางเข้าบ้านก็ให้กำเนิดหลิวรั่วเหยียซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาของคุณหนูสิบ หลังจากนั้นอีกปีก็ให้กำเนิดหลิวรั่วเวยซึ่งจนถึงยามนี้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านห้าตระกูลหลิว นับแต่นั้นมานางคอยควบคุมนายท่านใหญ่เสียจนอยู่ในโอวาท… หากมิใช่ว่าฮูหยินน้อยใหญ่คอยปกป้องนางอยู่สุดชีวิตเสมอมา คุณหนูสิบผู้นี้จะเติบใหญ่มาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ยังไม่แน่เลยเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “ตระกูลจาง? ตระกูลจางของทางจางผิงซวีนั้นหรือ?”
นางหวงกล่าวว่า “แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลจางเสียไปตั้งแต่มารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวยังไม่ได้ปักปิ่น หนำซ้ำคุณหนูสิบก็ไม่มีท่านลุงท่านอาแท้ๆ เสียอีก… หาไม่แล้วฮูหยินใหม่ผู้นี้มีหรือจะรังแกนางจนถึงเพียงนี้?”
เว่ยฉางอิ๋งอดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้ แล้วกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า “ตระกูลจางนี้ช่างน่าแค้นนัก! ท่านอาคิดจะไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้ ดีชั่วอย่างไรเบื้องหลังก็เป็นมาเช่นนี้ แล้วไยจึงไม่ช่วยรักษาให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวในยามนี้เสียเลยเล่า?”
“ฮูหยินน้อยอย่างได้ร้อนใจเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ดีชั่วอย่างไรคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ยื้อมาได้จนถึงวันนี้แล้ว แล้วจะยื้อต่อไปอีกสองสามวันก็จะเป็นไรไป? ข้าน้อยขอกล่าวตามซื่อเถิด คนที่ข้าน้อยคอยปรนนิบัติคือฮูหยินน้อย คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ดี ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ดี ไม่ว่าพวกนางจะน่าสงสารเพียงใด มีความผู้พันลึกซึ้งปานใด แล้วจักเกี่ยวกับฮูหยินน้อย เกี่ยวกับข้าน้อยเรื่องใดเล่า? ผู้คนที่มีชะตาชีวิตยากลำบากในใต้หล้านี้มีถมเถ แรกเริ่มที่ข้าน้อยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ก็หาใช่เพราะวาดหวังจะได้รักษาคนตายคนเจ็บ หากจะว่ากันจริงๆ ก็ด้วยต้องการจะปรนนิบัติฮูหยินน้อยให้ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้สบายใจเจ้าค่ะ!”
“หากเมื่อครู่นี้ข้าน้อยพูดไปตามความจริง ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็จะต้องซาบซึ้งต่อฮูหยินน้อย และต้องเคียดแค้นบ้านตระกูลจาง แต่จะรู้สึกได้ล้ำลึกเท่ากับท่านหมอเทวดาจี้มาตรวจรักษาเอง หรือให้ท่านหมอเทวดาจี้มาชี้แนะวิธีรักษาด้วยตนเองได้อย่างไร? เพราะท่านหมอเทวดาจี้นั้นเป็นถึงแพทย์เลื่องชื่อที่เป็นที่รู้จักไปทั่วเขตทะเล ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเชิญมายากยิ่ง!”
นางหวงกล่าวเรียบๆ ว่า “ของที่ได้มาอย่างง่ายดายอย่างไรก็ไม่ล้ำค่าจับใจเท่าโอกาสรอดที่ขอได้เพียงหนึ่งในสิบ…ยื้อไว้สักหน่อย เพราะไม่ว่าจะเป็นพิษก็ดี อาการเจ็บป่วยก็ดี ต่างก็อยู่ในตัวของคุณหนูสิบตระกูลหลิว พวกเรามีสิ่งใดต้องปวดใจ? เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงฮูหยินน้อยใหญ่จะติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงกับฮูหยินน้อยหนหนึ่ง นอกจากฮูหยินน้อยใหญ่แล้ว คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็จะเกลียดชังบ้านตระกูลจางไปจนถึงคนตระกูลหลิวทั้งหมด! แรกเริ่มนั้นมิใช่ว่าตระกูลหลิวก็มีส่วนสร้างข่าวลือของฮูหยินน้อยด้วย? ให้พวกเขาต่อสู้กันเองในตระกูลนั้นเป็นเรื่องดีงามเพียงใด… หากคุณหนูสิบตระกูลหลิวสามารถนั่งในตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงเมื่อใด จนกระทั่งสามารถมีพระนัดดาของฮ่องเต้จนโชคดีเป็นองค์ฮองเฮาหรือกระทั่งไทเฮา… ฮูหยินน้อยโปรดคิดดูเถิดว่าคนตระกูลหลิวอย่างน้อยกลุ่มหนึ่งจะมีจุดจบเช่นไร!”
“ดังนั้นจะให้อาการเจ็บป่วยของคุณหนูสิบตระกูลหลิวรักษาหายได้อย่างง่ายได้อย่างไร?” นางหวงแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ
____________________________