ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 31
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 31 ต่อกร (1)
ตอนที่ 31 ต่อกร (1)
โดย
Xiaobei
“วันนี้ตอนกลางวันพวกเราไปที่บ้านใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วต้องดื่มชากัน แต่ไยจึงกลายเป็นสุราลิ้นจี่เขียวไปได้? ระยะนี้ท่านยายสุขภาพไม่ใคร่ดี ทุกคนในบ้านเรามีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้? พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนรอบคอบเพียงนั้น แต่เหตุใดจึงทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้? สองวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ยังบอกว่าหากไม่ใช่เพราะต้องดูแลบ้าน ก็อยากจะไปดูแลท่านยายที่จวนตระกูลซูเสียตั้งนานแล้ว… กลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดเสียนี่” เว่ยฉางอิ๋งสั่งกับฉินเกอว่า “เจ้าไปที่เรือนซินอี๋และบอกกับพี่ใหญ่สักหน่อย ว่าคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวอาจไม่รู้ว่าท่านยายกำลังป่วยอยู่ จึงเอ่ยล้อเล่นกับพี่ใหญ่เท่านั้น พี่ใหญ่โปรดอย่าได้เข้าใจผิดแต่อย่างใด!”
ฉินเกอเข้าใจ คำนับหนหนึ่ง รับคำสั่งแล้วออกไป
เว่ยฉางอิ๋งมองเยี่ยนเกอหนหนึ่ง รอจนเยียนเกอเข้าใจและออกไปเฝ้านอกประตู จึงหันหน้ากลับมาถามนางหวงว่า “ท่านอามองหลิวรั่วเหยียเป็นเช่นไร?”
“เป็นผู้ที่ใจคอล้ำลึกยากหยั่งถึงเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มอ่อนๆ “ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงมาก็หลายปี ล้วนได้ยินได้ฟังเรื่องของคุณหนูบ้านต่างๆ มาทั้งนั้น คุณหนูสิบเอ็ดผู้นี้เริ่มจะมีชื่อเสียงในบรรดาตระกูลต่างๆ เมื่อสามปีที่แล้ว ทว่าก็เป็นแค่คำชมเชยทั่วๆ ไป อย่างเช่นว่าเป็นผู้ที่งดงามเรียบร้อย จิตใจดีงาม… คุณหนูบ้านใดขอเพียงมีญาติผู้ใหญ่เดินไปมาอยู่ข้างนอก ในงานต่างๆ มีหรือจะไม่ถูกชมเชยด้วยถ้อยคำเช่นนี้? ไม่คิดว่าคุณหนูหลิวสิบเอ็ดผู้นี้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ผู้หนึ่ง มิน่าเล่าคุณหนูหลิวสิบจึงได้มีท่าทีขลาดกลัวเช่นนั้น ดูบุตรสาวรู้จักมารดา เห็นได้ว่านางจางร้ายกาจเพียงใด นางจางซึ่งร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีฐานะเป็นแม่เลี้ยง ใช้หลักการเรื่องกตัญญูมากดเอาไว้ หากคุณหนูหลิวสิบอยากจะพลิกขยับตัวก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ก่อนนี้ข้าเคยคิดมาหลายครั้งหลายหนว่าหลิวรั่วเหยียผู้นี้เป็นคนเช่นใดกัน จนเมื่อได้พบวันนี้ จึงพบว่าก่อนนี้ล้วนคิดผิดมาตลอด พวกเราประเมินนางต่ำเกินไปแล้ว… แม้เฟิ่งโจวก็นับได้ว่าเป็นมณฑล แต่หากเทียบกับเมืองหลวงก็เป็นเพียงดินแดนเล็กๆ เท่านั้น ปรากฏว่าผู้เป็นเลิศสร้างชื่อแก่ดินแดน คุณหนูผู้นี้อายุน้อยกว่าข้าสามปีเต็ม แต่กลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้านึกย้อนกลับไปตอนข้าอายุสิบห้ายังห่างไกลกับนางลิบลับเชียว!”
นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “กล่าวกันว่าคนฉลาดมักถูกความฉลาดย้อนมาเล่นงาน เมื่อคนฉลาดเกินไปก็หาใช่เป็นเรื่องดี ว่ากันให้ถ้วนถี่แล้วบุญวาสนาถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฮูหยินน้อยก็เป็นผู้มีบุญวาสนา ผู้ใดก็คิดร้ายไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“ท่านอานี่ช่างชอบเอาใจ…” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้ม คำพูดของนางหวงเป็นการปลอบโยนแต่นางกลับใช้คำว่าบุญวาสนา ทั้งยังบอกว่าความฉลาดก็มิใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด ความจริงแล้วก็ยังมิใช่เป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าสิ่งที่ตนเอ่ยก่อนหน้านี้ว่ายามตนอายุสิบห้ายังห่างไกลกับหลิวรั่วเหยียผู้นี้นัก? อย่าว่าแต่สิบห้าปีเลย หากมิใช่ว่าถูกขัดเกลาหนแล้วหนเล่าจากเรื่องใหญ่เมื่อปีที่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองรู้สึกว่า จนยามนี้ก็เกรงว่าตนยังเทียบกับคุณหนูหลิวผู้นี้ไม่เลยเสียด้วยซ้ำ!
…ด้วยเหตุที่นางหลิวเสียกริยาก่อนหน้านี้ หลิวรั่วเหยียไม่ทันได้พูดสิ่งใดอีก ก็รีบอ้างว่าตนมานานแล้วจึงคิดจะกลับ ทั้งยังแสดงอาการ ‘เป็นห่วง’ ที่นางหลิวมีสีหน้าไม่สู้ดี แล้วถามถึงสุขภาพของนางไปด้วยท่าทีจอมปลอมยิ่ง และเป็นฝ่ายบอกเองว่าไม่ต้องให้นางหลิวไปส่ง เว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่นั่นด้วย จึงย่อมต้องไปส่งนางแทนนางหลิวสักสองสามก้าว ขณะนั้นนางหลิวกำลังจิตใจวุ่นวายสับสน จนแทบจะปิดบังต่อไปอีกไม่ได้แล้ว…จึงตอบตกลงพวกนางไปเรื่อยเปื่อย
เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องเดินไปส่งหลิวรั่วเหยียออกไปจากเรือนซินอี๋ หลิวรั่วเหยียยิ้มร่าเอ่ยถามเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่เว่ยท่านรู้ที่มาของนามของเรือนซินอี๋หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งนึกว่านางเพียงหาเรื่องมาสนทนากับตน เมื่อคิดถึงเรือนจินถงที่ตนเองอยู่ จึงตอบไปลอยๆ ว่า “หรือเพราะพี่สะใภ้ใหญ่ชอบดอกซินอี๋?”
ปรากฏว่าหลิวรั่วอวี้พลันยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากพี่เจ็ดชอบดอกซินอี๋ แล้วในเรือนซินอี๋แห่งนี้ไยจึงไม่มีต้นซินอี๋สักต้นเล่าเจ้าคะ? ได้ยินมาว่าเป็นสามีของพี่เจ็ดยืนกรานจะใช้นามว่าเรือนซินอี๋เจ้าค่ะ ตอนแรกท่านป้ารองของข้ายังมาคุยเรื่องนี้กับฮูหยินซูที่จวนเป็นการเฉพาะ เพียงแต่สามีของพี่เจ็ดไม่ยอมถอยให้ พวกผู้ใหญ่จึงจนปัญญา”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว พลันนึกถึงท่าทีอดรนทนไม่ไหวอย่างเหลือเกินของนางหลิวในวันนี้… คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับนามของเรือนซินอี๋ นางหาได้ต้องการให้หลิวรั่วเหยียสบโอกาสนินทาบ้านใหญ่กับนาง อย่างไรก็ดีหลิวรั่วเหยียก็เป็นเพียงแขก หากนางพูดเรื่องต่างๆ ของบ้านใหญ่ อย่างมากวันหน้านางก็จะไม่ได้รับการต้อนรับจากบ้านเสิ่นอีก ด้วยเดิมทีนางหลิวคอยปกป้องหลิวรั่วอวี้ ก็ย่อมต้องไม่ชอบนางมากอยู่แล้ว
แต่เว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่น ก่อนจะออกเรือนเว่ยเจิ้งหงบิดาของนางสอนสั่งว่า “ระวังกริยาวาจา เรื่องในบ้าน ห้ามเล่าสู่ภายนอก เรื่องไร้สาระภายนอก จงอย่านำเข้าบ้าน! ทุกคำพูดทุกการกระทำ จำไว้ให้จงดีว่า อย่าได้ขัดต่อขนมธรรมเนียมของตระกูลเว่ยของเรา!” คำสอนเสมือนยังดังอยู่ข้างหู แล้วจักยอมให้โอกาสหลิวรั่วเหยียพูดต่อไปได้ที่ใดกัน? จึงได้เบี่ยงเบนประเด็นสนทนาไปเสีย “ดอกเหมยเล็กๆ ที่ปักอยู่บนเสื้อของคุณหนูสิบเอ็ดช่างดูพิเศษจริงๆ”
“ดอกเหมยนี้ยังเป็นตอนที่ข้าได้ยินเรื่องที่พี่เว่ยสังหารศัตรูด้วยความห้าวหาญจึงสั่งให้คนไปปักออกมาเป็นพิเศษเชียวนะเจ้าคะ!” หลิวรั่วเหยียกลับสนทนาไปตามหัวข้อของนาง ว่าแล้วยังกล่าวไปถึงตัวเว่ยฉางอิ๋งเสียอีก นางยื่นมือไปลูบลายดอกไม้ปักบนแขนเสื้อ มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น กล่าวว่า “สัตย์ซื่อแน่วแน่ไม่ย่อท้อ ท้าหิมะรับน้ำค้าง… แม้ข้าจะเป็นหญิงอ่อนแอที่สองมือไร้เรี่ยวแรง แต่วันหน้าก็อยากจะเป็นเช่นพี่เว่ย ที่วันหนึ่งสามารถจับกระบี่สังหารศัตรู พิทักษ์ดินแดนต้าเว่ยของเรา!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปพักหนึ่ง จึงยิ้มและเอ่ยชมว่า “แม้คุณหนูสิบเอ็ดจะมีกายเป็นหญิงแต่กลับมีความกล้าหาญ ไม่เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป” นี่กลับมิใช่เป็นการดูแคลนหลิวรั่วเหยีย แต่แม้ว่าหลิวรั่วเหยียจะไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอเช่นหลิวรั่วอวี้ แต่อย่างไรก็เป็นหญิงงามที่ดูมีสง่าราศีเท่านั้น หาได้เหมือนกับวีรสตรีห้าวหาญแม้แต่น้อย เด็กสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่งที่มีลักษณะเช่นนี้จู่ๆ มาบอกว่าจะพิทักษ์ดินแดนต้าเว่ย หากเป็นพวกพี่สาวน้องสาวของนาง เช่นเว่ยฉางเอ๋อซึ่งเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีมาโดยตลอดพูดออกมาเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจะต้องหัวเราะลั่นออกมาและกระเซ้านางเป็นแน่
แต่ยามนี้เพราะมิได้สนิทสนมกับหลิวรั่วเหยีย นางจึงพยายามให้ท่าทีของตนจริงจังขึงขึงให้มากที่สุด
หลิวรั่วเหยียหันหน้ามายิ้มให้นาง แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าที่พี่เว่ยกล่าวเช่นนี้ ความจริงแล้วไม่ใคร่เชื่อที่ข้าพูด”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จนแทบจะคิดไปว่าที่แท้หลิวรั่วเหยียก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ซุกซนผู้หนึ่งเท่านั้น จึงแสร้งกล่าวไปด้วยท่าทีแสดงความนับถือว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“แต่เล็กมาข้ามักได้ยินท่าพ่อเล่าถึงเรื่องราวในบ้านเกิด ว่าตงหูนั้นมีอากาศหนาวเหน็บเหลือแสน ทั้งยังมีอาณาเขตติดกับเป่ยหรง ผู้คนจึงคล่องแคล่วและห้าวหาญ… ผู้ที่ไม่คล่องแคล่วห้าวหาญก็จักมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้” หลิวรั่วเหยียยื่นนิ้วมือมาลูบปาก แล้วพรรณนาออกมาช้าๆ “ท่านพอมักบอกว่าพวกเราพี่น้องเกิดและเติบโตในเมืองหลวง มิได้ต้องลมหิมะของตงหูมาก่อน นับไม่ได้ว่าเป็นคนตระกูลหลิวที่แท้จริง… เมื่อนับย้อนกลับไปหลายร้อยปีบรรพบุรุษตระกูลหลิวของข้าเดิมทีมีบ้านเดิมอยู่ที่ตงหู ด้วยทนเห็นอาณาเขตถูกพวกหรงรุกรานไม่ได้ จึงพากันขายทรัพย์สมบัติภายในบ้านรวบรวมคนหนุ่มมาปกปักษ์รักษาดินแดนบ้านเกิด ภายหลังจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา และแผ่บารมีมาถึงลูกหลาน ทั้งยังมีนายพลเลื่องชื่อที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอยู่ทุกยุคทุกสมัย และกลายมาเป็นตระกูลใหญ่แห่งตงหูและเป็นที่รู้จักไปทั่วเขตทะเล… พี่เว่ยรู้หรือไม่? หกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล มีเพียงตระกูลหลิวและตระกูลเสิ่นเท่านั้นที่มีกฎตระกูลเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือเฝ้าพิทักษ์บ้านเกิดเสมอไป อย่าให้ผู้ใดมารุกรานแม้ก้าวเดียว!”
น้ำเสียงของนางพลันหนักแน่นขึ้นมา “หากพวกหรงต้องการจะเข้ามาในดินแดนจงหยวน ก็จักต้องข้ามศพของตระกูลหลิวไปก่อน! หากพวกตี้ต้องการจะเข้ามาทางทิศตะวันออก ก็ต้องให้ตระกูลเสิ่นสิ้นแล้วเท่านั้น! นี่ก็คือ ‘คำสั่งสอนของบรรพบุรุษ’ ที่ล้วนมีในตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิว!”
เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงเรื่องการสู้สรบครั้งใหญ่ทางเหนือของเฟิ่งโจวครานั้น นึกไปถึงเรื่องที่ได้เห็นได้ยินมาตลอดทางจากเฟิ่งโจวขึ้นมาทางเหนือ นางจึงกลับยิ้มขึ้นมาในใจ พลางคิดว่า หากเป็นผู้อื่นอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะหวั่นไหวไปกับนาง และในขณะที่เลือดในตัวพลุ่งพล่านก็ย่อมจะเกิดความนับถือและคล้อยตามหลิวรั่วเหยียไปโดยไม่รู้ตัว…
แต่เว่ยฉางอิ๋งรู้ความจริงเรื่องการต่อสู้ครั้งใหญ่ของเฟิ่งโจวหนนั้นว่าจนบัดนี้ความดีความชอบของชัยชนะครั้งใหญ่นี้ยังคงจารึกนามของซ่งหานและซ่งตวนเอาไว้ ส่วนโม่ปิ่นเว่ยที่เป็นผู้สร้างความดีความชอบตัวจริง แม้จะมีชีวิตรอดมาได้จากโอกาสตายเก้ารอดหนึ่งก็ยังไม่อาจลบล้างมลทินของตนได้ สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการถูกเว่ยซินหย่งหลอกและสังหารองครักษ์ตระกูลเว่ยแล้วหลบหนีไป!
จนบัดนี้ คนทั่วหล้ามีผู้ใดจักรู้ว่าฉาวอวิ๋นจวิ้นซึ่งเป็นดินแดนรกร้างเช่นนั้น แต่กลับมีแม่ทัพยอดฝีมือซุกซ่อนตัวอยู่? เขาผู้นี้ต้องลงสู่สนามรบอย่างฉุกละหุกแต่กลับเป็นผู้ที่สร้างคุณงามความดีจากหนึ่งในศึกที่ใหญ่หลวงที่สุดของต้าเว่ยในระยะไม่กี่ปีมานี้ สามารถจินตนาการได้ว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดคาด การบันทึกเรื่องศึกครั้งใหญ่ในเฟิ่งโจวในหนังสือประวัติศาสตร์ก็จะต้องเขียนชื่อของซ่งหานและซ่งตวนลงไป โดยหาได้มีความเกี่ยวข้องใดกับโม่ปินเว่ยแม้แต่น้อยไม่
แม่ทัพเปี่ยมความสามารถซึ่งเป็นผู้ที่มีความชอบใหญ่หลวงในการต่อต้านพวกหรงอย่างแท้จริงและได้รับความสำคัญจากตระกูลซ่งผู้นี้ ท่ามกลางศึกครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น เขาเป็นที่รู้จักแต่ในฐานะเจ้าพนักงานที่รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ไปช่วยดูแลการอพยพชาวบ้านเท่านั้น อย่างมากที่สุด เขาอาจถูกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุของเมืองเหลียวในฐานะเช่นนี้เท่านั้น
หลังจากผ่านไปหลายยุคหลายสมัย แล้วจะมีผู้ใดได้รู้ถึงความชอบของเขา?
และการเอาความอยุติธรรมที่โม่ปินเว่ยได้รับไปไว้บนตัวลูกหลานตระกูลใหญ่นับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
แต่เรื่องนี้ก็หาใช่จะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งคิดถากถางว่าหลิวรั่วเหยียเป็นหญิง แต่กลับหวังจะได้ไปปกป้องบ้านเมืองด้วยตนเอง แต่เพราะนางคิดว่าคำกล่าวนี้ของหลิวรั่วเหยียมีเจตนาแอบแฝงอยู่
เมื่อตัวนางอยู่ในตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ เคยอยู่แต่ในที่สูงส่ง เคยชินกับการมองลงมาจากที่สูง จึงอดจะมองเห็นความสกปรกโสมมต่างๆ นานามิได้ นี่ทำให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างครอบครุมกว้างใหญ่ เห็นการขยายตัวของคลื่นที่ซัดสาดมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องสุขุมมากเท่านั้น
ยามซ่งหานและซ่งตวนแอบสมอ้างรับความชอบนั้น พวกเขาบอกรายละเอียดของสถานการณ์รบได้อย่างละเอียดยิบ ดังนั้นแม้เว่ยฮ่วนจะปราดเปรื่อง แต่เมื่อได้อ่านรายงานแล้วก็หาได้เกิดความเคลือบแคลงใดๆ ไม่ เดิมทีควรจะเป็นโม่ปินอวี่ที่รู้สถานการณ์เหล่านี้กระจ่างที่สุด เพียงคิดก็รู้ว่าล้วนเป็นซ่งหานหลอกถามเอามาจากเขา
ในยามที่เบื้องหลังของเจ้าพนักงานหนุ่มแห่งเมืองเหลียวผู้นั้นเต็มไปด้วยไฟสงครามที่โหมกระหน่ำอยู่ทั่วเมือง เขาช่วยเหลือนายอำเภอสูงอายุในการคุ้มครองประชาชนที่แข็งแกร่งให้ล่วงหน้าไปก่อนส่วนคนที่หวาดกลัวตามไปข้างหลัง ในยามที่เขารู้ว่าเมืองที่เขาอาศัยอยู่มาแต่เล็กจนโตล่มสลายไปแล้ว ในยามที่เขาได้ยินว่าข้างนอกเมืองเหลียวมีกองศพทับถมกันกองแล้วก็กองเล่า… ในยามที่ในอกของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและเคียดแค้นจึงวางแผนและสั่งการให้พวกผู้ชายที่ยังคงเหลืออยู่ในเมืองเหลียวคอยซุ่มโจมตี พากันจุดไฟแค้นให้ลุกโชนขึ้นมาและชูดาบขึ้นล้างแค้นพวกหรงอยู่นั้น เขาหรือจะเคยคิดว่าเมื่อสังหารหัวหน้าของศัตรูได้แล้วและสามารถทนรอจนกำลังเสริมจากในเมืองมาถึง สิ่งที่กำลังรอเขาอยู่หาใช่รางวัลหรือชื่อเสียง หากแต่คือการให้ร้ายและไล่ล่า?!
บางทีในยามที่เขาถูกซ่งหานและซ่งตวนสอบถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของศึกใหญ่อย่างละเอียดอยู่นั้น โม่ปิ่นเว่ยยังหลงนึกไปอย่างไร้เดียงสาว่า นี่คือการที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญแก่ตน หากมิใช่เพราะว่าโม่ปินอวี่แอบซ่อนเครื่องรางของหัวหน้าพวกหรงผู้นั้นเอาไว้มิให้ใครล่วงรู้ แม้แต่เว่ยฮ่วนก็จะไม่เชื่อว่าเขาคือผู้มีความชอบที่แท้จริง!
จิตใจมนุษย์เจ้าเล่ห์ยากหยั่งถึงเกินไป หากถูกล่อหลอกให้รู้สึกพลุ่งพล่านตามคำได้อย่างง่ายดายก็อดจะถูกคนหลอกใช้งานไม่ได้
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านปู่เว่ยฮ่วนกำชับกำชานางไว้ก่อนออกเรือน ผู้สูงวัยท่านนี้เกิดมาในฐานะบุตรอนุและขึ้นมานั่งในตำแหน่งประมุขของตระกูลท่ามกลางแผนการของแม่ใหญ่และการโจมตีขุดคุ้ยของทุกคน ชั่วชีวิตเคยประสบกับอุปสรรคหลายหลากมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตลอดมากลับสามารถกำชัยชนะเอาไว้ในมืออย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
หลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวกำลังจะแต่งงาน เขารวบรวมประสบการณ์ชั่วชีวิตของตนสอนสั่งแก่นางด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว ซึ่งก็คืออย่าได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญในยามที่กำลังเปรมปรีดิ์หรือเสียใจอย่างใหญ่หลวง เว่ยฮ่วนรู้ดีว่า การไม่ปล่อยให้ความเปรมปรีดิ์หรือเศร้าเสียใจมีผลกระทบต่อจิตใจเป็นสิ่งที่หลานสาวอยากจะเข้าใจและควบคุมได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือให้หลานสาวรำลึกเอาไว้ให้จงดีว่าอย่าได้ไขว้เขวกับการแสดงออกแต่เพียงผิวเผิน อย่าให้คนจูงจมูกเดิน
คำกล่าวของหลิวรั่วเหยียนั้นดูฮึกเหิมและร้อนแรง ทว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วกลับยิ่งระแวดระวังนางมากขึ้น เพิ่งจะพบหน้ากันคราแรก คุณหนูหลิวสิบเอ็ดผู้นี้ก็เอ่ยถึงเรื่องคำสอนของบิดาของนาง คงมิใช่ว่าบุตรสาวตระกูลหลิวล้วนชื่นชอบสนทนาเรื่องลึกซึ้งกับคนที่ไม่คุ้นเคยหรอกกระมัง? นางหลิวอยู่ในอาการเช่นนี้ ยามนี้หลิวรั่วเหยียกลับคิดจะหาพวกเสียแล้ว… แต่เว่ยฉางอิ๋งหาได้มีแก่ใจจะมาเป็นพวกเดียวกับคนที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังเคยหมายปองสามีของตนไม่
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ “คุณหนูสิบเอ็ดช่างใจคอกว้างขวางไม่แพ้ชายอกสามศอกจริงๆ!”
“ข้ามักได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงเรื่องบรรพบุรุษสู้รบต่อต้านพวกหรงอยู่เสมอๆ ยามได้ฟังก็รู้สึกว่าเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมาเสียทุกครั้งเจ้าค่ะ” หลิวรั่วเหยียเห็นว่านางมิได้มีท่าทีคล้อยตาม พลันมีความตกตะลึงฉายวาบขึ้นมาในแววตา แล้วหลังจากนั้นในทันใดก็กลับมามีกริยาอ่อนโยนและยิ้มแย้มเช่นกุลสตรีตระกูลใหญ่ควรเป็นดังเดิม ทั้งยังมีท่าทีเหนียมอาย “เพียงแต่ตอนเล็กๆ หยิบโหย่งเกินไปทนลำบากไม่ไหว จึงไม่ยอมไปฝึกวรยุทธ์กับท่านพ่อเช่นเดียวกับน้องชาย จนยามนี้จะมานึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว… ดังนั้นหลังจากได้ยินพี่ชายสิบหกพูดเรื่องฝีมือของพี่เว่ยแล้วก็คิดว่าหากยามเล็กๆ ข้าใจสู้สักหน่อย ก็จะสามารถเกลี่ยกล่อมท่านพอได้ และอีกไม่กี่วันก็จะยอมให้ข้าตามน้องชายไปหาประสบการณ์ที่ตงหูแล้ว!”
นางกำหมัดขาวๆ นุ่มๆ แล้วขยับชกไปมาน้อยๆ หนหนึ่ง ใบหน้างามๆ พลันร้อนแรงจริงจังขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ทุกคราที่ได้ยินเรื่องพฤติกรรมอันชั่วร้ายของพวกหรงที่ถึงกับใช้กองซากศพของประชาชนชาวต้าเว่ยผู้บริสุทธ์เป็นเครื่องอวดอ้างผลงานอันยิ่งใหญ่… จึงอยากจะเป็นเหมือนพี่เว่ยที่ลงมือสังหารพวกหรงและพิทักษ์แคว้นต้าเว่ยอของพวกเราด้วยตนเองเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งแสดงความนับถือนางอย่างยิ่ง “แม้ข้าจะฝึกเพลงหมัดเพลงเตะจากครูฝึกมาบ้างไม่กี่กระบวนท่า แต่ก็กลับไม่เคยคิดไปไกลเกินไป คราแรกที่สังหารพวกคนร้ายก็เพราะถูกบังคับจนไม่มีทางเลือก… ยามนี้มาได้ยินปณิธานอันห้าวหาญของน้องเช่นนี้ จึงรู้สึกอายขึ้นมายิ่งนัก!” นางพูดจาน่าฟังแต่กลับมิได้มีความหมายใดเลย
หลิวรั่วเหยียเห็นนางมิได้คล้อยตามแต่อย่างใด จึงขบริมฝีปากล่างสีแดงระเรื่อของตนแล้วแย้มยิ้มเบิกบาน “พี่เว่ยโปรดอย่างได้ถือสาที่ข้าเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ ข้ารู้สึกคล้ายว่าพี่เว่ยมีบ้างเรื่องเข้าใจผิดข้าอยู่?”
“คุณหนูสิบเอ็ดพูดสิ่งใดกัน?” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม “ข้าและคุณหนูสิบเอ็ดเพิ่งจะได้พบหน้ากันคราแรก แล้วจักเข้าใจผิดกันเรื่องใด?”
หลิวรั่วเหยียเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีครามอันแสนไกล โค้งมุมปากขึ้น “มีช่วงหนึ่งในเมืองหลวง พากันร่ำลือว่าเข้าเคยได้พบกับสามีของพี่เว่ย”
____________________________