ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 39
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 39 จวนตระกูลซู
ตอนที่ 39 จวนตระกูลซู
โดย
Xiaobei
เพียงพริบตาวันเกิดของคุณหนูสามซูอวี๋เฟยก็มาถึง เว่ยฉางอิ๋งสอบถามพวกของนางหวงว่าซูอวี๋เฟยผู้นี้เป็นบุตรสาวคนโตจากภรรยาเอกของบ้านสองตระกูลซู ซึ่งบ้านสองนี้เป็นบุตรของอนุ ด้วยเหตุที่ซูเม่าบิดาของนางเป็นพี่น้องต่างมารดาของฮูหยินซู แม้ปกติแล้วจะไปมาหาสู่กันอย่างเกรงอกเกรงใจ ของที่มอบให้ก็ล้วนทำอย่างเท่าเทียมกัน แต่อย่างไรฮูหยินซูก็ไม่ได้เอาใจใส่เทียบเท่ากับบุตรชายบุตรสาวของบ้านใหญ่และบ้านสามของตระกูลซู… เว่ยฉางอิ๋งนำเรื่องนี้ไปสอบถามฮูหยินซู และคำตอบที่นางได้รับก็คือให้นางไปคิดดูเอาเอง
บางทีเพราะฮูหยินซูมิได้ใส่ใจวันเกิดของหลานสาวสักคนมากมายนัก หรือบางทีอยากจะลองทดสอบสะใภ้สักหน่อย เว่ยฉางอิ๋งขบคิดอยู่หนึ่งวัน และคำนึงถึงว่าซูอวี๋เฟยและเสิ่นจั้งหนิงคล้ายจะสนิทสนมกันมาก คราวก่อนที่เสิ่นเจิ้งหนิงกินนกแก้วของลูกผู้พี่ซูอวี๋อู่ ก็มิใช่วิ่งไปซ่อนฮูหยินซูที่กำลังโมโหหนักที่ห้องของนางหรอกหรือ? ดังนั้นจึงเลือกของกำนัลชิ้นหนึ่งที่ไม่ได้มีราคามากนัก แล้วมอบของกำนับเล็กๆ น้อยๆ อื่นอีกสองสามชิ้นไปด้วย วันต่อมาซูอวี๋เฟยก็ส่งของกำนัลกลับมาให้ชิ้นหนึ่ง
ฮูหยินซูกลับมิได้เอ่ยถามเรื่องการส่งของกำนัลหนนี้เลยแม้แต่น้อย เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจจึงไปขอคำชี้แนะจากนางหวง นางหวงเตือนให้รู้ว่า “ฮูหยินมีหลานสาวหลายคนนะเจ้าคะ คนในบ้านเราเองก็มีไม่น้อย นับไปนับมาทุกๆ เดือนก็จะมีวันเกิดของญาติๆ คุณหนูสามตระกูลซูก็เป็นเพียงคนรุ่นหลังของฮูหยิน ยามนี้ฮูหยินกำลังวุ่นวายกับเรื่องของคุณหนูสี่ของเรา ขอเพียงฮูหยินน้อยไม่ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง เรื่องเล็กน้อยบางเรื่อง ในสายตาของฮูหยินแล้วจึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเจ้าค่ะ”
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งได้รับคำชี้แนะเช่นนี้จึงเข้าใจชัดเจน
อีกไม่กี่วันต่อมาก็วันที่เก้าเดือนห้า ตามข้อกำหนดเรื่องเวลาแล้ว ในช่วงหนึ่งเดือนแรกที่คู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่ นอกจากจะพาภรรยากลับบ้านในวันที่สามแล้ว หากไปที่บ้านอื่นก็จะไม่เป็นมงคล เป็นเช่นนี้ไปจนครบหนึ่งเดือนจึงจะพ้นกำหนดข้อห้ามนี้
ปรากฏว่าฮูหยินซูเป็นห่วงเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนเล็กยิ่งนัก และเพราะหลายวันมานี้ นางเองก็ส่งคนไปรับเสิ่นจั้งหนิงที่ตระกูลซูสองสามหน คงเพราะในวันนั้นด้วยนางต้องการจะชดเชยแก่บ้านฝั่งมารดาของตนจึงพูดแรงเกินไปสักหน่อย เสิ่นจังหนิ่งจึงปักใจว่าเมื่อกลับมาก็จะต้องมีบทลงเอยที่น่าอนาถ จึงเอาแต่กอดแม่เฒ่าเติ้งเอาไว้ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมปล่อย
แม่เฒ่าเติ้งทั้งสงสารหลานสาว ทั้งยังต้องรักษาหน้าตา จึงให้คนบ้านเสิ่นกลับไปและบอกว่าจะให้หลานสาวอยู่ใกล้ๆ สักระยะหนึ่ง
ดังนั้นตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งแต่งงานครบหนึ่งเดือนแล้ว ฮูหยินซูจึงสั่งให้เสิ่นจั้งเฟิงลางานครึ่งวันและไปคารวะตระกุลซูกับเว่ยฉางอิ๋ง
เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่รู้เรื่องที่มารตาตั้งใจจะจับคู่น้องสาวกับลูกผู้น้อง นึกว่าเป็นเพียงการเข้าคารวะญาติผู้ใหญ่หลังแต่งงานครบหนึ่งเดือนตามธรรมเนียมเท่านั้น เขายังหยอกล้อกับภรรยาไปสองสามคำว่า “เดิมทีข้านึกว่จะรอให้ถึงวันหยุดในวันมะรืนเสียก่อนจึงค่อยไปคารวะที่บ้านท่านยาย ไม่คิดว่าวันนี้ท่านแม่กลับให้ข้าลางานไปกับเจ้า คงกลัวว่าเจ้าจะคิดถึงท่านน้าสะใภ้สามมากเกินไป เห็นทียามนี้ท่านแม่จะรักเจ้ามากกว่ารักข้าเสียอีก”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าหากไม่ใช่เพราะเสิ่นจั้งหนิง วันนี้แม่สามีหรือจะให้เจ้าไปลางาน? ต่อให้ข้าอยากจะไปพบท่านอาหญิงรองคนเดียวเสียก่อน ก็ไม่แน่ว่านางจะรับปากเลย! ทว่าคำพูดนี้ย่อมไม่ควรพูดออกไป จึงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ “เดิมทีท่านแม่ก็ขึ้นชื่อเรื่องรักใคร่สะใภ้ เจ้าอิจฉาแล้วล่ะสิ?”
“ภรรยาข้าเพียบพร้อมเรียบร้อย ได้รับความชื่นชมจากผู้ใหญ่ก็เป็นเรื่องธรรมดา” เสิ่นจั้งเฟิงหยิกแก้มนางเบาๆ แล้วกล่าวขำๆ ว่า “สามีเป็นคนขี้ใจน้อยเช่นนั้นหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งตีเขาเบาๆ หนหนึ่ง แล้วมองตาขวางกลับไป “พูดเพียงเท่านี้เจ้าก็ลงไม้ลงมือแล้ว ยังว่าไม่ขี้ใจน้อยอีก!”
เสิ่นจั้งเฟิงแสร้งพูดว่า “อ่ะ เอาเถิด ยามนี้สามีขี้ใจน้อยยิ่งนัก เพียงเท่านี้ก็โมโหแล้ว แล้วเจ้าคิดจะปลอบสามีเช่นไร?”
“ลูกผู้ชายตัวโต ยังจะขี้ใจน้อยเช่นนี้ แล้วจะปลอบเจ้าทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งหยิบเอาผลไม้อบแห้งลูกหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของข้างๆ มือ และวางไว้บนมือเขา “เห็นแก่ท่านแม่ ให้ผลไม้อบแห้งเจ้าลูกหนึ่ง กินแล้วก็อย่าเป็นเช่นนี้อีกเล่า”
เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าก็ประเมินคนต่ำเกินไปแล้ว! แค่ผลไม้อบแห้งผลเดียวก็คิดจะไล่ข้าไป! ถ้าไม่ได้สามผล เช่นนั้นก็อย่าได้หวังเลย!”
ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกันไปจนถึงจวนตระกูลซู ด้วยเหตุที่หลานยายและหลานสะใภ้ใหม่มาที่บ้านเป็นครั้งแรก นางเติ้งผู้เป็นฮูหยินน้อยใหญ่และนางกู้ฮูหยินน้อยสามจึงมาพร้อมกันที่หน้าประตูเพื่อรอต้อนรับโดยเฉพาะ
นางเติ้งเป็นหลานสาวของแม่เฒ่าเติ้ง เว่ยฉางอิ๋งเคยฟังนางหวงเอ่ยถึงมาก่อน และนางก็ยังเป็นลูกผู้พี่ฝั่งบิดาของเติ้งจงฉีที่เคยช่วยตนเองไว้ที่เขาไผ่น้อยคราวก่อนด้วย
นางเติ้งผู้นี้แต่งกับคุณชายใหญ่ตระกูลซู ซูรั่วเฉียนซึ่งเป็นบุตรของอนุ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายคนโต แต่กลับไม่อาจเทียบกับคุณชายรองซูอวี่เซี่ยนที่เสียไปแล้วได้ แต่เพราะซูอวี๋เซี่ยนเสียชีวิตไป เสิ่นจั้งจูภรรยาของเขาจึงกลับไปอยู่ที่จวนเซียงหนิงปั๋ว คุณชายสี่ตระกูลซูยังไม่ได้แต่งงาน บ้านใหญ่จึงมีนางเติ้งเป็นสะใภ้เพียงคนเดียว และคอยช่วยนางเฉียนซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่ดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน
นางเติ้งมีหน้าตางดงาม แม้จะมีบุตรสาวแล้วหนึ่งคนแต่ก็ยังดูสดใส่เปล่งปลั่ง รูปร่างอรชรผอมบาง เพียงแต่ไม่ค่อยพูด ทุกครั้งที่เอ่ยปากล้วนคล้ายกับว่าต้องคิดแล้วคิดอีกเช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งเดาว่านี่คงจะเกี่ยวกับฐานะของซูรั่วเฉียนในตระกูลซู… ว่าแม้จะเป็นหลานชายคนโตแต่ด้วยเหตุที่เป็นบุตรของอนุ ดังนั้นในสภาพการณ์ที่มีพี่น้องบุตรของแม่ใหญ่อยู่เขาก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้สืบทอดตระกูล โดยเฉพาะเมื่อซูอวี๋เซี่ยนซึ่งเป็นน้องชายบุตรแม่ใหญ่เสียไป ซูอวี๋เหลียงซึ่งเป็นน้องชายบุตรของแม่ใหญ่อีกคนก็เป็นคนที่ยากจะการใหญ่ได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูรั่วเฉียนและนางเติ้งจึงได้มีท่าทีเพียงกลางๆ เพื่อไม่ให้นางเฉียนผู้เป็นแม่ใหญ่คิดว่าพวกตนจงใจจะปัดแข้งปัดขาบ้านใหญ่ แต่หากทำหน้าระรื่นเกินไปเล่า ไม่แน่ว่านางเฉียนก็จะคิดว่าพวกเขาอาจกำลังวางแผนอื่นอยู่
โดยเฉพาะเรื่องที่เสิ่นจั้งจูกลับไปอยู่บ้านมารดา นางเฉียนจึงไม่อาจไม่ให้นางเติ้งมาคอยทำงานช่วยตนได้ นางเติ้งจะทำเป็นโง่ก็ไม่ถูกจะคล่องแคล่วว่องไปก็ไม่ใช่ นางจึงทำได้เพียงระมัดระวังทั้งกริยาและวาจาเท่านั้น
ด้านฮูหยินน้อยสามที่มีชาติกำเนิดในตระกูลกู้แห่งหงโจว คงเพราะซูอวี๋ยวนสามีของนางเป็นบุตรชายคนโตของภรรยาเอกในบ้านสอง… อย่างไรเสียบ้านสองก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใด บ้านใหญ่และบ้านสามก็กลัวว่าตนจะบีบให้บ้านสองไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม จึงพากันเกรงอกเกรงใจบ้านสองมาโดยตลอด นางกู้ไม่มีเรื่องให้ต้องอิจฉาตาร้อน จึงกลับเป็นฮูหยินน้อยบ้านสามเสียอีกที่ดูมีท่าทีกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก คอยทักทายสอบถามมาตลอดทาง และดูสุภาพยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งตอบรับพวกนางเพียงผิวเผินมาจนเข้ามาในโถงหลัก และภายในมีคนอยู่แน่นไปหมดจนดำพรึบไปทั้งโถง และภาพที่ได้เห็นนั้นมีเรื่องหนึ่งซึ่งแตกต่างกับตอนที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปยกน้ำชาที่ตระกูลเสิ่น ก็คือสตรีในบ้านซูนั้นมีมากกว่าบ้านเสิ่นมาก
เมื่อมองไปยังเสื้อผ้าปักระยิบระยับและเสียงเครื่องประดับกระทบกันล้วนมาจากพวกคุณหนูที่สวมเสื้อผ้าหลากสี ซึ่งพวกนางยังไม่ได้แต่งออกเรือนไป ไม่เหมือนกับตระกูลเสิ่น ในจวนราชครูนี้ นอกจากเสิ่นจั้งหนิงแล้วก็ไม่มีคุณหนูที่ยังไม่ได้แต่งงาน แม้ยามนี้คุณหนูทั้งสองคนในจวนเซียงหนิงปั๋วล้วนอยู่ที่บ้าน แต่คราวก่อนก็กลับไม่ได้พบ
บรรดาคุณหนูที่ยังไม่แต่งงานออกไปเหล่านี้ มิได้อยู่ข้างหลังบิดามารดา หากแต่พากันไปรวมกันอยู่ที่ที่นั่งหลัก ล้อมรอบสตรีสูงวัยผมสีขาวทั้งหัวและสวมชุดเซินอียาวติดกันทั้งตัวสีเขียวไพรผู้หนึ่ง
ไม่ต้องถามก็รู้ว่า ท่านนี้จะต้องเป็นแม่เฒ่าเติ้งแล้ว นี่คือสิ่งที่คนเรียกขานกันว่าสมดังคำร่ำลือ อาจเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวได้รับอิทธิพลจากจี้ชวี่ปิ้งผู้เป็นอาจารย์ จึงทำให้นางไม่มีใจเมตตาดังเช่นที่ใครๆ พากันนึกคิดว่าควรจะมี ทว่าเมื่อนางเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์มาจากจี้ชวี่ปิ้งเช่นเดียวกัน ดังนั้นฝีมือของนางจึงไม่เป็นที่กังขาเลย หลายวันมานี้ แม่เฒ่าเติ้งไม่เพียงสามารถออกมารับไหว้จากบรรดาลูกๆ หลานๆ สีหน้าของนางก็ยังไม่เลวอีกด้วย เว่ยฉางอิ๋งไม่เคยเห็นว่าก่อนหน้าที่แม่เฒ่าเติ้งจะล้มป่วยนั้นเป็นเช่นไร แต่เท่าที่ดูในตอนนี้ ก็ดูไม่ออกจริงๆ ว่าแม่เฒ่าเติ้งเคยล้มป่วยหนักจนทำให้บุตรสาวที่ออกเรือนไปหลายปีต้องกลับบ้านมาคอยอยู่ดูแลที่ข้างตั่งนอนหลายวัน
นางเติ้งและนางกู้ที่พาสามีภรรยาทั้งสองคนเข้ามาคำนับแม่เฒ่าเติ้งและนางเฉียนที่นั่งอยู่ในที่นั่งรอง มีคนนำที่เบาะมาปูเตรียมเพื่อให้สามีภรรยานั่งลงคารวะฮูหยินผู้เฒ่าไว้นานแล้ว
แม่เฒ่าเติ้งบอกให้พวกเขาลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน แล้วเรียกให้คนเอาหยกหรูอี้คู่หนึ่งมามอบให้เป็นของกำนัลยามพบกัน นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “หลายวันมานี้ได้ยินว่าพวกเจ้าดีต่อกันมาก วันนี้ดูไปแล้วก็เป็นคู่สร้างคู่สมจริงๆ เห็นได้ว่าแต่แรกนั้นพวกผู้ใหญ่ของเจ้าล้วนมีสายตาแหลมคมยิ่ง และรู้ว่าพวกเจ้าเหมาะสมกันเพียงนี้”
เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ เสิ่นจั้งเฟิงกลับกล่าวพลางหัวเราะว่า “ท่านยายพูดถูกเป็นที่สุดขอรับ สายตาของท่านพ่อนั้นดีมาแต่ไร ทั้งท่านปู่เว่ยด้วยเช่นกัน”
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา โดยเฉพาะเสียงของเด็กผู้หญิงกลุ่มใหญ่สวมชุดงดงามที่ห้อมล้อมฮูหยินผู้เฒ่าอยู่นั้นยิ่งแจ่มชัดนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็หัวเราะ และกระเซ้าว่า “เดิมทีข้ายังจะกำชับเจ้าสักคำว่าให้ดูแลภรรยาเจ้าให้ดี ยามนี้ดูไปแล้วคงไม่ต้องแล้ว”
นางเฉียนอมยิ้มแล้วว่า “ท่านแม่ยังต้องกำชับเด็กคนนี้อีกหรือเจ้าคะ? สะใภ้เห็นว่าหัวใจทั้งดวงของเขาล้วนไปมัดอยู่บนตัวภรรยาแล้วเจ้าค่ะ นี่ไม่ใช่ว่าวันนี้เขาต้องไปทำงานในวังหรือเจ้าคะ? ปรากฏว่ากลับวิ่งมาบ้านเราเสียแล้ว” แล้วมองไปข้างๆ หนหนึ่ง “เพราะเป็นหลานสาวของน้องสะใภ้สาม อย่างไรก็ย่อมต้องมีโชคดี”
คนที่นั่งอยู่ติดกับนางเป็นสตรีชุดสีฟ้าที่มีใบหน้างดงามแต่ดูเฉยเมยผู้หนึ่ง เมื่อได้ยินคำสายตาของนางก็กลับมิได้หันเหไปทางใด กลายสตรีท่าทีสง่าหน้าตางดงาม สวมชุดสีเขียว เกล้าผมทรงชิงจี้[1] ใบหน้าเรียวยาว มีดวงตากลมโตซึ่งอยู่ถัดไปจากเป็นสตรีชุดฟ้าที่เมื่อได้ยินคำ คิ้วดำทั้งสองก็ค่อยๆ ขมวดเข้ามา แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว”
ที่นางกล่าวไปเช่นนี้ ด้วยคล้ายว่าขุ่นเคืองที่นางเฉียนพูดเหมือนต้องการจะสื่อความบางอย่าง นางดึงผ้าเช็ดหน้าเบาๆ พลางพูดอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “หากโชคไม่ดี แล้วพี่เขยใหญ่และพี่หญิงใหญ่จะหมายตานางหรือ?”
เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าสตรีชุดเขียวหน้าตางดงามผู้นี้ก็คือเว่ยเจิ้งอิน อาหญิงแท้ๆ เพียงคนเดียวของตนแล้ว คำพูดนี้พลันทำให้นางนึกถึงเรื่องที่ฮูหยินซูตกลงทำสัญญากับเว่ยเจิ้งอินเป็นการส่วนตัวเรื่องการแต่งงานของบุตรชายและบุตรสาว… เมื่อมีโชคดีเสิ่นเซวียนและฮูหยินซูจึงได้หมายตานาง หมายถึงตัวนางเอง หรือว่าหมายถึง…ซูอวี๋อู๋กัน?
หากหมายถึงลูกผู้น้องซูอวี๋อู่ เมื่อผนวกกับเรื่องที่ซูอวี๋เซี่ยนจากไปตั้งแต่วัยหนุ่มจนทำให้ซูอวี๋อู่ถูกท่านปู่ซูผิงจ่านหมายตา ความหมายในคำพูดนี้ก็ยิ่งลึกลงไปอีก
ไม่ว่าจะหมายความถึงสิ่งใด สามารถมองออกว่าระหว่างเว่ยเจิ้งอินและนางเฉียนนั้นมีรอยร้าวอันใหญ่หลวง ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูเล่าอย่างคร่าวๆ ว่าสองคนรักใคร่กลมเกลียวกัน แท้จริงแล้วล้วนเป็นคำพูดอย่างเกรงใจเพื่อกลบเลื่อนเท่านั้น
ดูท่าว่านางเฉียนคล้ายคิดไม่ถึงว่าเว่ยเจิ้งอินจะไม่ไว้หน้านางในงานพบปะลูกหลานที่เพิ่งจะเข้าบ้านมาคารวะหนแรกเช่นนี้ ดวงตานางพลันมีแววแห่งความโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองหลั่งไหลออกมา
แม่เฒ่าเติ้งกระแอมไอหนหนึ่ง พลางกล่าวรอมชอมสถานการณ์ว่า “พวกเจ้าก็พบท่านป้าสะใภ้ น้าสะใภ้ และลูกผู้น้องทั้งหญิงชายของพวกเจ้าเสียหน่อยสิ” แล้วอธิบายว่า “ท่านตาของพวกเจ้ากับท่านลุง ท่านน้า ยังมีพวกลูกผู้พี่ยามนี้ล้วนไปทำงาน ก่อนนี้ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะมากันวันนี้ จึงไม่อาจลามาได้ จงอย่าถือโทษ”
เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่ถือโทษ จึงเริ่มคารวะตั้งแต่นางเฉียนลงไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าสตรีชุดฟ้าก็คือท่านน้าสะใภ้รองแซ่จาง ส่วนสตรีโฉมงามในชุดเขียวก็คือเว่ยเจิ้งอิน… เว่ยเจิ้งอินไม่ไว้หน้านางเฉียนต่อหน้าธารกำนัล ทว่ากลับให้ความสนิทสนมใกล้ชิดกับหลานสาวแท้ๆ และหลานชายฝั่งสามีเป็นอย่างยิ่ง นางกุมมือเว่ยฉางอิ๋ง มองดูนางอย่างละเอียด แล้วทอดถอนใจออกมาว่า “เพียงพริบตาเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว จำได้ว่าปีนั้นครั้งเจ้าถูกนำกลับไปที่เฟิ่งโจว ยังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่เลย… เวลาช่างผ่านไปไวจริงๆ!” แล้วบอกว่านางงดงามนัก “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าล้วนหน้าตางดงาม เจ้ากลับเป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นและงอกเงยกว่าต้นเดิมเสียอีก”
ประเด็นนี้นางจางก็เห็นด้วย “ตระกูลเว่ยเต็มไปด้วยคนรูปงาม ครั้งข้ายังไม่ออกเรือนก็ได้ยินคนว่ากันเช่นนี้ น้องสะใภ้สามเองก็เป็นคนงามคนหนึ่ง ไม่คิดว่าฉางอิ๋ง เด็กคนนี้จะงดงามหาใดเปรียบงามเสียยิ่งกว่าน้องสะใภ้สามเมื่อสาวๆ เสียอีก” แล้วยิ้มออกมา “ข้าก็พลันนึกขึ้นได้ น้องสะใภ้สามอย่าได้เคืองโกรธ”
เว่ยเจิ้งอินบอกว่า “คนในที่นี้นอกเสียจากท่านแม่ ล้วนยังไม่เคยได้เห็นพี่ใหญ่ของข้า แม้เขาจะป่วยมานานปี แต่หากเอ่ยถึงคนรูปงาม พี่น้องทั้งหมดของข้าไม่มีผู้ใดเทียบเขาได้ ร่างทั้งร่างของเขายังมีความสง่างามที่ยากจะพบเห็น ข้าจะขอโอ้อวดสักคำ หลายปีมานี้ข้ายังไม่พบผู้ใดที่เป็นเช่นเขาในเมืองหลวงเลย ฉางอิ๋งเป็นบุตรสาวคนโตของเขา นางงามยิ่งกว่าข้าครั้งเป็นสาวก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
ผู้ที่เคยพบเว่ยเจิ้งหงมีน้อย แต่ผู้ที่เคยได้ยินว่าเขามีความสง่างามเหนือคนกลับมีไม่น้อย ทุกคนพลันเอ่ยถึงเว่ยเจิ้งหงด้วยความเสียดายขึ้นมา นางเฉียนถูกเมินเฉยอยู่ข้างๆ จึงไม่พอใจยิ่ง แล้วกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ตระกูลเว่ยเต็มไปด้วยคนรูปงาม น้องสะใภ้รองยังมิทันออกเรือนก็เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้พวกเราก็ได้เห็นพวกเจ้าอาหลานด้วยตาตนแล้ว เมื่อยืนอยู่ด้วยกันก็ประหนึ่งเดินออกมาจากภาพวาดบนผนังเช่นนั้น… ร่างกายของท่านแม่เพิ่งจะดีขึ้น เกรงว่าจะออกมาได้ไม่นาน พวกเราควรให้เด็กทั้งสองคนนี้ได้พบกับพี่น้องของพวกเขาก่อน แล้วค่อยนั่งลง ค่อยคุยกันดีหรือไม่?
________________________________
[1] ผมทรงชิงจี้ มัดและม้วนปลายผมเป็นมวยยาว จัดวางเอียงๆ ไว้บนหัว และรัดตรงกลางมวยผมให้ออกมาคล้ายรูปโบว์