ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 4 หนึ่งจอกลบล้างความแค้น (1)
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะออกมาหนหนึ่ง ริมฝีปากแทบจะแนบอยู่ที่หูของนาง แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “มิใช่ว่าจะเข้านอน?” ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ในปากยังคงมีกลิ่นเหล้าหลงเหลืออยู่ ผมยาวปอยหนึ่งไหลหลุดลงมาจากผ้ามัดผม ระลงมาบนไหล่ของเว่ยฉางอิ๋ง และผมนั้นยังคงเปียกชื้นอยู่บ้าง…ยามเขากลับมาคงจักรีบไปอาบน้ำมาแล้ว
แย่จริง ดูท่าจะจนปัญญาหลอกล่อเขาให้ไปอาบน้ำเสียแล้ว…
เว่ยฉางอิ๋งกรีดร้องอย่างว้าวุ่นอยู่ในใจ นางพยายามหาวิธี แล้วกล่าวออกไปด้วยสีหน้าอย่างคนถูกรังแกว่า “เจ้านี่! เข้านอนก็เข้านอน แล้วเจ้ามาทำมือไม้ไม่อยู่สุขเช่นนี้…ใช้ได้ที่ใดกัน!” ระหว่างที่นางพูดไปก็พลันออกแรงหยิกที่แขนเขาหนหนึ่ง ด้วยหวังว่าเขาจะเจ็บจนต้องคลายมือ
“คืนนี้หากมือไม้ไม่อยู่สุข แล้วจะใช้ได้ที่ใดกันเล่า?” ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็ทำประหนึ่งว่าไม่รู้สึกใดและปล่อยให้นางหยิกไป ท่าทีเย้าหยอกในคำพูดยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพลันก้มหน้าลงจูบแรงๆ ที่คอนางหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งร้องอ๊ะเสียงต่ำๆ ออกมาพลางเอื้อมมือไปปิดที่ลำคอเอาไว้
อาศัยจังหวะที่นางกำลังลนลานทำอะไรไม่ถูก เสิ่นจั้งเฟิงพลันม้วนชายเสื้อขึ้น ก้มตัวลงและอุ้มนางขึ้นมาในท่านอนอย่างรวดเร็ว!
จู่ๆ เว่ยฉางอิ๋งก็ตัวลอยขึ้นมาจากพื้น นางตกใจเสียจนรีบเข้าไปกอดคอเสิ่นจั้งเฟิงไว้ตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็โมโหโกรธา ยกมือกำหมัดพุ่งเข้าใส่หน้าของเสิ่นจั้งเฟิง แล้วกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เจ้า! เจ้าบังอาจนักนะ!”
สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงยังคงไม่เปลี่ยน รอจนหมัดเข้าใกล้จะถึงแก้มเขาจึงค่อยหันหน้าหลบไปได้ทัน แต่กลับอาศัยชั่วเวลาสั้นๆ นี้อุ้มนางไปถึงข้างตั่งนอน เว่ยฉางอิ๋งยังคงคิดจะสู้ต่อ แต่กลับถูกเขาวางไว้บนตั่งอย่างไม่เบาและไม่หนักมือเกินไป พลางยกมือขึ้นรับหมัดของนางหนแล้วหนเล่า แล้วพูดอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “ข้าเป็นสามีเจ้านะ!”
“ช่างเจ้าว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด!” เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจเป็นที่สุด ตวาดเสียงต่ำไปว่า “ข้าว่าเจ้าอยากจะหาเรื่องสู้!” นางลุกพรวดพราดขึ้นมาคลาน และมิได้สนใจว่ายามนี้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิง เสื้อผ้าจะหลุดลุ่ย ยังมิทันนั่งดีๆ นางก็กวาดขาออกไปทางเสิ่นจั้งเฟิงที่ยืนอยู่ข้างตั่งนอน
เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตา แล้วลงมือดังสายฟ้าแลบ จับขาของนางที่กวาดออกมาเอาไว้ เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งสวมรองเท้าผ้าไหม แต่ตอนที่นางดิ้นยามถูกเสิ่นจั้งเฟิงอุ้มขึ้นมารองเท้าก็หลุดออกไปหมด ถุงเท้าผ้าก็หลุดออกครึ่งหนึ่ง ยามนี้ใต้กระโปรงจึงมีผิวขาวดังหิมะเผยออกมาให้เห็น ยามอยู่ใต้แสงเทียนช่างบริสุทธิ์ไร้มลทิน วาบวามเย้ายวนนัก ยามถูกเสิ่นจั้งเฟิงจับเอาไว้ในมือ สัมผัสได้ถึงผิวที่เกลี้ยงเกลาเนียนนุ่ม เขาเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ
เมื่อจู่โจมหลายครั้งไม่เป็นผล ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งลนลานเหลือล้นอยู่นั้น นางทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว คิดอยากจะหดขากลับ แต่กลับรู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงจับขานางเอาไว้แน่นนัก อุ้งมือที่มีรอยนูนหยาบนั้นรุ่มร้อน ยามจับที่ข้อเท้านางช่างหนักแน่นดังขุนเขา ทำให้นางรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าไม่เข้าทีเสียแล้ว
“…” ทั้งสองคนหยุดนิ่งไปพักใหญ่ หลังจับจ้องกันไปมาอยู่นาน เว่ยฉางอิ๋งพลันลุกขึ้นมาแล้วพุ่งตัวเขาใส่อกของเสิ่นจั้งเฟิง!
ในเวลาเดียวกัน ผ้าห่มที่ทั้งสองใช้ห่มนอนก็ถูกนางลากออกมาจากในตั่ง แล้วเอาไปคลุมหัวเสิ่นจั้งเฟิง!
สายตาของเสิ่นจั้งเฟิงชะงักงัน และไม่อาจไม่ปล่อยข้อเท้าของนางไปชั่วคราว เพียงแต่แม้เขาจะเห็นว่าผ้าห่มคลุมเข้ามาที่หัว แต่เขากลับไม่ได้คิดจะหลบ แต่กลับย่อตัวลงต่ำ… เว่ยฉางอิ่งลอบแค่นเสียงอยู่ในใจ ในขณะที่กำลังคิดว่า ‘เจ้านึกว่านี่คืออาวุธลับรึ? ที่พอก้มหัวลงก็จะหลบพ้น… ดูสิว่าข้าจะเอาเท้ากดเจ้าเอาไว้แล้วตีจนกว่าจะตาย! ให้เจ้าได้รู้ความร้ายกาจของข้า’ อยู่นั่นเอง
ไม่คิดว่ายังไม่ทันจะคิดจบ นางกลับถูกผลักเอวอย่างแรงหนหนึ่ง จากนั้นทั้งตัวนางก็ถูกผลักให้ลงไปนอนหงายอยู่บนตั่ง… เสิ่นจั้งเฟิงคร่อมอยู่บนตัวนางด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วหัวเราะพลางว่า “ลูกไม้นี้ไม่เลวเลย ไปร่ำเรียนที่ใดมา? ยามเข้าหอผู้ใดทำกับสามีเช่นนี้กัน?”
เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะเข้าใจว่า หลังจากที่เขาย่อตัวลงนั้นก็อาศัยช่วงเวลาที่ผ้าห่มยังไม่คลุมตัวเขาพุ่งตัวเข้ามาที่ขอบเตียง แล้วในจังหวะที่ตนลุกขึ้นมาคุกเข่า เขาก็ยกแขนดันผ้าห่มขึ้น แล้วลอดใต้ผ้าห่ม พุ่งตัวมาที่เอวของตนและกดตนลงบนตั่ง…เช่นนี้แล้ว ผ้าห่มที่ตนดึงออกไปเมื่อครู่ก็มาห่มที่ตัวทั้งสองคนพอดิบพอดี!
…ปรากฏว่าเสิ่นจั้งเฟิงพูดต่อไปว่า “จะว่าไปแบบนี้ก็พอดีเลย กลับต้องรบกวนอิ๋งเออร์เจ้าให้ต้องมาห่มผ้าให้สามีเสียแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งลอบกระอั่กเลือดอยู่ในใจ แล้วทิ้งกลยุทธผ้าห่มไปเสีย หันมายกข้อมือขึ้น จะสับลงไปที่ข้างลำคำของเขา
เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า เขารีบคว้าข้อมือของนางแล้วดึงมาที่ริมฝีปากบรรจงจูบหนแล้วหนเล่า พลางหัวเราะแล้วว่า “เจ้ายังอยากจะช่วยถอดเสื้อให้สามีด้วยหรือ?”
“เจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งแทบกระอั่กเลือด พูดด้วยน้ำโหว่า “เหตุใดฝีมือเจ้าจึงดีถึงเพียงนี้?” นี่มันเกินคาดเกินไปแล้ว!!
เจ้าหมอนี่…มิใช่ว่าควรจักชำนาญการต่อสู้บนหลังม้าหรอกรึ? เหตุใดการต่อสู้ประชิดตัวก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้?!
หรือว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของตนนั้นความจริงแล้วต่ำต้อยเกินไป ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ของตน ท่านลุงเจียงจึงจงใจฝืนชมมาสิบกว่าปี?
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าคำตอบนี้นางเกินจะทนรับได้…
เมื่อเห็นว่านางคอพับด้วยท่าทีหดหู่ เสิ่นจั้งเฟิงก็หยุดหัวเราะพลางว่า “ถูกท่านพ่อท่านอาฝึกฝนมามาก ก็ย่อม…” เขายังพูดไม่ทันจบ เว่ยฉางอิ๋งอาศัยจังหวะที่เขาประมาท อีกมือหนึ่งของนางกำหมัดเข้ารวบรวมกำลังทั้งหมดและจู่โจมไปที่ใต้ชายโครงของเขาเต็มแรง!
หนนี้ไม่เบา คำพูดของเสิ่นจั้งเฟิงถูกทำให้ชะงักลงโดยฉับพลัน เขาแค่นเสียงออกมาอย่างกลัดกลุ้ม มือที่จับเว่ยฉางอิ๋งอยู่ก็คลายลงทันใด!
เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้โมโหโกรธายเป็นนักหนา พลิกตัวกลับมาทันใด แล้วผลักเสิ่นจั้งเฟิงจนกระเด็นออกไป ตนเองก็ตามไปกดบนตัวเขา ทั้งสองคนกลับมาอยู่ในตำแหน่งบนล่างอีกครั้ง… ยามนี้ผมหางม้าที่เว่ยฉางอิ๋งรีบรวบเอาไว้หลังจากอาบน้ำก็แทบจะหลุดออกจนหมด ภาพของนางยามผมเผ้าสยาย สองแก้มมีสีดังดอกท้อด้วยความเขินอายจนเป็นความโกรธ ลมหายใจกระหืดกระหอบหลังต่อสู้กันไปมา… ทั้งแสงเทียนนอกมุ้งสั่นไหวเบาๆ ยามนี้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของตนช่างงดงามเย้ายวนใจยิ่งนัก เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตามองนาง มุมปากพลันยกขึ้นมา เขากลับไม่ตอบโต้ เพียงแต่ยิ้มแล้วว่า “อิ๋งเออร์คิดจักทำเช่นใดกับสามี?”
เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางดันตัวขึ้นมาจากตัวเขา มือหนึ่งกดไปอกของเขาเพื่อไม่ให้เขาลุกขึ้น อีกมือหนึ่งกำหมัดแล้วยกขึ้นมาที่คิ้วของตน แล้วยักคิ้วพลางยิ้มเยาะว่า “ก็จะชกเจ้าอย่างไรเล่า!!!”
นางมิได้มีท่าทีจะออมมือแต่อย่างใด นางชกลงมาอย่างแรง…เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจหนหนึ่งแล้วปล่อยให้นางซัดกำปั้นมาบนแผงอกของตน… หลังจากเว่ยฉางอิ๋งชกลงมา กลับร้องเสียงต่ำออกมาว่าหนหนึ่งว่าเจ็บ พลันมีแววตาเคลือบแคลงสงสัย ยามนี้นางกำลังโกรธจัด ดีชั่วในห้องนี้ก็ไม่ได้มีบุคคลที่สาม เป็นเวลาที่ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น…
เช่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงได้ออกแรงเปิดเสื้อของเสิ่นจั้งเฟิงออกต่อหน้าเขาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งมองไม่พูดจา ปล่อยให้นางดึงเปิดเสื้อของตนลงมาจนแทบจะหมดตัว
กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่จับจ้องตรงจุดที่ก่อนหน้านี้นางชกตนผ่านเสื้ออยู่เป็นนาน และเห็นว่าบนแผงอกขาวของเขากลับมิได้มีร่องรอยบาดเจ็บใดแม้แต่น้อย และอดจะยื่นปลายนิ้วจิ้มลงไปหนแล้วหนเล่าไม่ได้ พลางว่า “นี่เจ้าฝึก…”
เมื่อสัมผัสว่าปลายนิ้วของนางไล้ไปบนแผงอกของตน เสิ่นจั้งเฟิงพึมพำออกมาว่า “ข้าไม่รู้สึกว่าข้าจะมีอารมณ์มา สนทนาปัญหาเรื่องวรยุทธ์ใดกับเจ้าในยามนี้…” ยังมิทันสิ้นคำ สองแขนของเขาก็โอบไหล่ของเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้และกดนางลงไปข้างๆ เต็มแรง!