ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 41
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 41 ซูผิงจ่าน
ตอนที่ 41 ซูผิงจ่าน
โดย
Xiaobei
สนทนาเฮฮากันไปเช่นนี้จนถึงเวลาอาหารเที่ยง เมื่อแม่เฒ่าเติ้งส่งคนมาเชิญ ทุกคนจึงหยุดการสนทนาแล้วไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยกัน
เมื่อไปถึงเรือนหลักจึงเพิ่งรู้ว่า ก่อนจะดื่มน้ำชาหนึ่งถ้วยหมด ซูผิงจ่านก็กลับมาแล้ว
ประมุขตระกูลซูแห่งชิงโจวผู้นี้มีอายุไล่เลี่ยกับเว่ยฮ่วน ใบหน้าภูมิฐาน รูปร่างสูงใหญ่ท่าทีน่าเกรงขามยิ่ง
เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งมาถึงนั้น ซูผิงจ่านก็เปลี่ยนชุดขุนนางออกแล้ว และสวมชุดหลานซานตัวยาวคอกลมลายหรูอี้ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนบนพื้นเขียว มีกว้านหยกมันแพะทรงข้อไผ่รัดผมไว้ ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบสบายๆ และกำลังนั่งตัวตรงอยู่ในโถง สนทนาอยู่กับแม่เฒ่าเติ้งโดยมีโต๊ะวางน้ำชากั้นกลางอยู่ ดูท่าทางกำลังอารมณ์ดี มุมปากอมยิ้ม บรรยากาศในโถงดูสบายและผ่อนคลายยิ่งนัก
ทุกคนเข้ามาคารวะ ซูผิงจ่านอมยิ้มและบอกให้ลุกขึ้น เมื่อรับการคารวะจากหลายชายและหลานสะใภ้แล้วก็เอามือคีบเครา และสั่งให้คนไปหยิบเอาหมึกเลื่องชื่อที่เป็นของในรัชสมัยก่อนคู่หนึ่งมามอบให้เป็นของกำนัลวันพบหน้า หลังจากกล่าวชื่นชมพวกเขาไปสองสามคำ จึงเอ่ยคำอธิบายแทนพวกบุตรชายและหลานชายว่า “พวกท่านลุง ท่านน้าและลูกผู้พี่ของพวกเจ้ายามนี้ยังไปทำงาน เกรงว่าคงต้องเป็นหนหน้าจึงจักได้พบกัน”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “วันนี้เดิมทีเป็นพวกเรามากันอย่างกะทันหัน กลับเป็นการรบกวนท่านยายและท่านตามากกว่าขอรับ”
แม่เฒ่าเติ้งพลันไม่พอใจเขา “หลานชายพาภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่มาเยี่ยมท่านยาย ก็ล้วนด้วยใจกตัญญู จะว่ารบกวนได้อย่างไร?” แล้วบอกว่า “ดีชั่วอย่างไรทั้งสองฝั่งก็เพียงเดินมาไม่กี่ก้าว วันหน้าเมื่อพวกเจ้ามาบ่อยๆ ก็ต้องได้พบอยู่แล้ว”
เสิ่นจั้งเฟิงรีบขอขมานาง แม่เฒ่าเติ้งจึงกระเซ้าเขาว่า “หรือว่าวันหน้าเจ้าอยากจะอยู่แต่กับหลานสะใภ้ ไม่คิดถึงพวกเราอีกแล้ว”
“หลานจะกล้าได้อย่างไรขอรับ?” เสิ่นจั้งเฟิงมีความอึดอัดใจปรากฏบนสีหน้า แล้วแอบมองซูผิงจ่านหนหนึ่ง ซูผิงจ่านจึงยิ้ม “เฟิงเอ๋อร์มองข้าทำสิ่งใด? เจ้ายั่วโมโหท่านยายเจ้าเอง ลูกผู้ชายอกสามศอก กล้าทำกล้ารับ หรือยังหวังให้ตามาช่วยเจ้ารอมชอม?”
เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ขอรับ ท่านตาสอนสั่งถูกต้องแล้ว” แล้วหันไปขอให้แม่เฒ่าเติ้งปล่อยเขาไป… เอะอะกันไปสักพัก แม่เฒ่าเติ้งจึงได้ยิ้มและสั่งให้จัดอาหาร
เดิมทีเมื่อแม่เฒ่าเติ้งมาต้อนรับหลานชายและหลานสะใภ้ พวกสะใภ้ก็จะต้องร่วมงานด้วย แต่เพราะซูผิงจ่านกลับมาแล้ว เมื่อนางเฉียนและนางจางรู้เรื่อง ต่างคนจึงพากันหาข้ออ้างและขออภัยที่ไม่มาร่วมงานด้วย ขณะนั้นบ้านสามกำลังสนทนากันอย่างครื้นเครง เว่ยเจิ้งอินจึงกลับไม่ทันสังเกตถึงข่าวคราวนี้ เมื่อตามมาด้วยแล้วครานี้จึงไม่เหมาะจะกลับไป ทำได้เพียงคอยยืนดูแลอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าตนถูกเชิญเข้าไปนั่งที่ แต่อาหญิงแท้ๆ กลับต้องคอยยืนอยู่ จึงอดจะวางตัวไม่ถูกไม่ได้ ดีที่แม่เฒ่าเติ้งเป็นคนช่างใส่ใจ จึงบอกกับเว่ยเจิ้งอินว่า “หลานสะใภ้ก็เป็นหลานสาวจากฝั่งบ้านของเจ้า เจ้าก็ไปนั่งด้วยเถิด”
เว่ยเจิ้งอินบอกปัดไปสองหน เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังว่าเช่นนั้น จึงขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าและมานั่งที่ที่นั่งรอง
ด้วยเหตุที่มีซูผิงจ่านอยู่ด้วย บนโต๊ะจึงล้วนเป็นซูผิงจ่านพูดกับเสิ่นจั้งเฟิงสองสามประโยค… และเรื่องที่พูดคุยกันเป็นส่วนใหญ่ก็คือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการทำงานซึ่งไม่สลักสำคัญอันใด แม่เฒ่าเติ้งจึงยังสามารถสนทนาร่วมด้วยสองสามคำ ส่วนคนอื่นกลับไม่อาจร่วมสนทนาด้วยได้ ทั้งยังไม่กล้าเอ่ยปากใดๆ อาหารมื้อนี้จึงรับประทานกันด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัด
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ด้วยเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงขอลามาเพียงครึ่งวัน จึงอธิบายเรื่องนี้ต่อบ้านฝั่งมารดาว่าจะต้องเข้าวังไปทำงาน ซูผิงจ่านและแม่เฒ่าเติ้งจึงมิได้ไม่อนุญาต เว่ยเจิ้งอินรีบเสนอไปว่านางไม่ได้พบหลานสาวแท้ๆ มาหลายปี อยากจะให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่สนทนากันต่อ อีกสักพักจึงค่อยส่งนางกลับจวนตระกูลเสิ่น
แม่เฒ่าเติ้งยิ้มพลางว่า “แม้จะบอกว่าเป็นหลานสาวของเจ้า แต่ยามนี้กลับเป็นภรรยาของเฟิงเอ๋อร์ หาเจ้าอยากให้คนอยู่ต่อ ก็อย่าได้มาถามข้า ต้องถามเฟิงเอ๋อร์ว่าจะยอมหรือไม่ต่างหาก ข้าเองก็เห็นแล้วว่ายามนี้พวกเขาดีต่อกันเพียงใด หากเฟิงเอ๋อร์ไม่อนุญาต แล้วข้าช่วยเจ้ารั้งคนไว้ จะทำให้ภายหลังหลานชายไปครหาว่าข้าซึ่งเป็นยายนั้นลำเอียงเข้าข้างสะใภ้แต่ไม่รักใคร่เขา”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “เมื่อครู่นี้ได้ขนมแป้งกวนจากท่านน้าสะใภ้สามมาจานนึง เมื่อหลานได้ผลประโยชน์มาแล้ว จะไม่อนุญาตได้อย่างไรเล่าขอรับ?” แล้วบอกว่าไม่ต้องให้เว่ยเจิ้งอินลำบากไปส่งคน หลังจากตนกลับจากทำงานแล้วก็จะมารับกลับไปเอง
แม่เฒ่าเติ้งชื่นชอบที่ได้เห็นคู่สามีภรรยารุ่นหลานรักใคร่ปรองดองกัน พลันยิ้มแย้มออกมาแล้วบอกว่า “ดูซิเจ้าเด็กสองคนนี้น่ารักเพียงใด!” แล้วบอกว่าครานั้นเป็นเพราะเว่ยฮ่วนและเสิ่นเซวียนมีสายตาแหลมคม
ซูผิงจ่านคีบเครา ยิ้มแล้วว่า “สายตาของพวกเราก็ไม่เลว พวกลูกๆ ก็มิใช่ว่ามีแต่ดีๆ ทั้งนั้น?”
ทุกคนพากันหัวเราะ แล้วพากันบอกว่าสายตาของซูผิงจ่านและแม่เฒ่าเติ้งก็แหลมคมเช่นกัน เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งกลับสัมผัสได้ว่ายามซูผิงจ่านพูดเช่นนี้ สีหน้าของเว่ยเจิ้งอินกลับค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก… คล้ายฟังออกว่าคำพูดของซูผิงจ่านจะมีความหมายอื่นแฝงอยู่เช่นนั้น
หลังจากสนทนาครื้นเครงกันไปสองสามประโยค เสิ่นจั้งเฟิงจึงขอตัวและกลับไป เว่ยฉางอิ๋งก็ตามเว่ยเจิ้งอินกลับมาที่บ้านสามอีกครั้ง
เพราะเสิ่นจั้งเฟิงไปแล้ว เว่ยเจิ้งอินก็ไม่มีแก่ใจจะมารักษามารยาทอยู่ จึงให้บุตรสาว บุตรชายและบ่าวออกไป แล้วถามหลานสาวไปตรงๆ ว่า “กำหนดครบเดือนของพวกเจ้าก็ผ่านมาแล้ว ยังให้เฟิงเอ๋อร์ลางานมา นี่คงเป็นความต้องการของแม่สามีเจ้ากระมัง?”
“ท่านอากล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งไม่ปิดบังนาง กล่าวว่า “ปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำด้ามนั้นที่ท่านอามอบแก่ท่านแม่ก่อนหน้านี้ ท่านแม่ก็ให้ข้านำมาแล้ว” พลางหยิบปิ่นออกมาจากแขนเสื้อ
เว่ยเจิ้งอินปรายตามองหนหนึ่ง พลางทอดถอนใจว่า “เดิมทีข้ายังคิดไม่ตกว่าจะรับกลับมาดีหรือไม่ แต่วันนี้ได้ยินคำท่านตาของพวกเจ้าแล้วกลับไม่อาจไม่รับได้” พลางรับปิ่นมาวางไว้ข้างๆ ด้วยท่าทีลำบากใจ
เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาเจ้าคะ เรื่องนี่คือ?”
“แม้วันนี้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกันหลังเจ้าจำความได้ แต่เจ้าและข้าเป็นอาหลานกันแท้ๆ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข บางเรื่องพูดกับเจ้าก็ไม่เป็นไร” เว่ยเจิ้งอินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “นับแต่ลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าล้มป่วยและเสียไป ท่านตาของพวกเจ้านำอวี๋เหลียงและอวี๋อู่มาเปรียบเทียบกัน รู้สึกว่าอวี๋อู่เป็นคนเด็ดขาดกว่าสักหน่อย เมื่อท่านตามีท่าทีดังนี้ออกไป ทางท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าก็จงเกลียดจงชังบ้านเราทางนี้ไปหมด!”
เรื่องเหล่านี้เว่ยฉางอิ๋งล้วนรู้ดี เวลานี้จึงอดจะปลอบนางไปสองสามคำไม่ได้ว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็เลอะเลื่อนไปหน่อย ในเมื่อไม่มีลูกผู้พี่รองแล้ว ท่านป้าสะใภ้ใหญ่จะเศร้าเสียใจก็เป็นธรรมดาของคน ส่วนเรื่องที่ลูกผู้น้องอวี๋อู่จะได้รับความชื่นชอบจากท่านตามากกว่าลูกผู้น้องอวี๋เหลียง นั่นก็ย่อมเป็นเพราะลูกผู้น้องอวี๋อู่มานะมากกว่าพากเพียรมากกว่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กลับพาลมาโกรธบ้านท่านอา ช่างไม่มีเหตุผลจริงๆ”
เว่ยเจิ้งอินแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องที่นางเฉียนผู้นี้เลอะเลือนยิ่งนี้นะหรือ? เสิ่นจั้งจูที่พวกเจ้าเรียกขานว่าเป็นพี่สะใภ้รองนั้น ก็มิใช่เป็นลูกผู้พี่ฝั่งบิดาของเฟิงเอ๋อร์หรอกหรือ? เจ้าว่าเหตุใดหลังจากที่ลูกผู้พี่รองของเจ้าเสียไปแล้วนางจึงกลับไปอยู่ที่บ้านมารดา? ก็มิใช่เป็นเพราะนางเฉียนก่อเรื่อง! ในงานศพของลูกผู้พี่รองของพวกเจ้า ล้วนบอกแต่ว่าเพราะนางดูแลไม่ถี่ถ้วน จึงทำให้ลูกผู้พี่รองของเจ้าเสียไป นางยังพูดคำเช่นนี้ออกมาจากปากได้! เสิ่นจั้งจูไม่มีแม้บุตรธิดาสักคน แม้แต่จากอนุก็ยังไม่มี ยังสาวยังแส้ก็ไม่มีสามีแล้ว นับแต่นั้นจึงอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ต่อให้มีอาภรณ์งดงามอาหารชั้นเลิศแล้วจะมีความหมายใด? หลังจากอวี๋เซี่ยนล้มป่วย ผู้ที่ตั้งใจดูแลและเป็นทุกข์เป็นร้อนที่สุดก็คือนางแล้ว! ปรากฏว่าพอไม่มีสามี ก็ยังถูกแม่สามีต่อว่าเช่นนี้… ครานั้นเจ้ายังไม่ได้ออกเรือนจึงยังไม่รู้ เสิ่นจั้งจูโกรธเสียจนเอาหัวพุ่งชนโลงศพ เคราะห์ดีที่คนข้างๆ นางดึงเอาไว้จึงไม่ได้ตายตามลูกผู้พี่รองของพวกเจ้าไป!”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดว่าบ้านใหญ่ตระกูลซูสูญเสียบุตรชายจากภรรยาเอกที่มีความสามารถไป และบุตรชายที่เหลืออยู่ก็สู้บ้านสามไม่ได้ นางเฉียนจะรู้สึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้ แต่ยามนี้มาได้ยินว่านางถึงกับบีบคั้นสะใภ้เสียจนเกือบจะต้องชดใช้ด้วยความตาย คนเป็นสะใภ้เช่นเดียวกัน อดจะสะท้านใจไม่ได้ “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็…ก็ทำเกินไปแล้ว!”
“จะว่าไปแล้วมารดาของเสิ่นจั้งจูก็ยังเป็นลูกผู้พี่ฝั่งบิดาของนางเฉียนด้วย เพียงแต่เสียไปนานแล้ว ครั้งเซียงหนิงปั๋วแต่งภรรยานั้น เป็นช่วงที่อดีตฮองเฮาแซ่เฉียนกำลังเรืองอำนาจ และตระกูลเฉียนกำลังเฟื่องฟู ภายหลังแม้ฮองเฮาเฉียนจะถูกปลด องค์รัชทายาทก็พ้นจากตำแหน่งไปด้วย ตระกูลเฉียนจึงได้ค่อยๆ เงียบลง แต่ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาก็ยังคงไม่เลวเลย ก่อนฮูหยินของเซียงหนิงปั๋วจะเสียไปได้กำชับกำชาเซียงหนิงปั๋วให้ดูแลลูกๆ ของพวกเขาให้ดี เดิมทีที่เซียงหนิงปั๋วให้บุตรสาวคนโตมาแต่งงานเข้าตระกูลซู ก็ด้วยคิดว่าดีชั่วอย่างไรท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าก็เป็นน้าของเสิ่นจั้งจู คงจะไม่ร้ายกับเสิ่นจั้งจู ที่ใดเล่าจะคิดว่าน้าผู้นี้เมื่อมาเป็นแม่สามีกลับบีบบังคับเสิ่นจั้งจูจนถึงขั้นนี้?”
เว่ยเจิ้งอินยิ้มหยัน “ครานั้น หลังจากเซียงหนิงปั๋วได้ยินข่าวก็บันดาลโทสะขนานใหญ่ พาบ่าวบุกไปถึงประตูบ้าน ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น พังประตูบ้านใหญ่จนเสียหาย แม้แต่นางเฉียนก็ยังถูกเขาตบหน้าไปหลายฉาด! ขืนพาเสิ่นจั้งจูที่ยังนอนซมอยู่บนตั่งรับกลับไปบ้านยังไม่พอ ยังเอาสินติดตัวทั้งหมดยกกลับด้วย แล้วลั่นวาจาว่าเรื่องไร้สมองที่สุดในชีวิตของเขาก็คือให้ลูกสาวไปแต่งเข้าตระกูลซู! ดังนั้นเมื่อแม่สามีเจ้าอยากจะให้จั้งหนิงแต่งกับหลานชาย จึงมาหาข้าแต่ไม่ไปหานางเฉียน! ไม่เพียงแค่เพราะนางเฉียนไม่ดีต่อสะใภ้ แต่ยังเพราะว่าแรกเริ่มที่เสิ่นจั้งจูแต่งกับลูกผู้พี่รองของพวกเจ้า แม่สามีของพวกเจ้าก็นับว่าเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยทาบทามด้วย… ภายหลังจึงถูกพ่อสามีเจ้าต่อว่ายกใหญ่ บอกว่านางไม่ใส่ใจหลานสาว และไม่ทำความรู้จักนิสัยใจคอของพี่สะใภ้บ้านมารดาตนให้ดีเสียก่อนก็ให้หลานสาวแต่งออกไป ทำให้บุตรสาวตระกูลเสิ่นต้องถูกข่มเหงหนักหนาเพียงนี้!”
ที่แท้เป็นเรื่องเช่นนี้นี่เอง!
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าฮูหยินซูไม่ยอมเอ่ยถึงบ้านฝั่งมารดาในทางไม่ดี หนก่อนเพราะนางตวนมู่เอ่ยขึ้นมายังถูกนางตำหนิเอา แล้วพร่ำบอกว่าพวกสะใภ้ตระกูลซูนั้นรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่ง ความจริงแล้วเกรงว่าแม้แต่ตัวฮูหยินซูเองก็ยังชังพี่สะใภ้บ้านตนผู้นี้หนักหนา! เดิมที่เสิ่นเซวียนก็มีเสิ่นโจวเป็นน้องชายผู้เดียว ครั้งที่ไปเฟิ่งโจวก่อนหน้านี้สองหน ก่อนหน้านี้ผู้ที่เดินทางไปจัดการเรื่องแต่งงานของเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งที่เฟิ่งโจวสองครั้งก็ล้วนเป็นเสิ่นโจ้ว ยิ่งไปกว่านั้นคราวก่อนนางว่านก็บอกแล้วว่า ภรรยาของเสิ่นโจ้วเสียไปนานแล้ว บุตรชายจากภรรยาเอกและอนุทั้งสองคนล้วนขอให้ฮูหยินซูซึ่งเป็นพี่สะใภ้เป็นคนเลี้ยงดู เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของสองพี่น้องนั้นดียิ่ง… ฮูหยินซูเลี้ยงดูหลานชายทั้งสองเสมือนบุตรของนางแท้ๆ มาจนเติบใหญ่ ต่อให้ไม่มีความดีก็ยังมีความชอบ ปรากฏว่าหลังจากบุตรชายของนางเฉียนตายกลับพาลมาโกรธสะใภ้ และกลับทำให้ฮูหยินซูพลอยสู้หน้าเสิ่นโจ้วไม่ได้ จนถึงขั้นที่แม้แต่เสิ่นเซวียนก็ยังออกปากต่อว่าภรรยาตน…
เว่ยเจิ้งอินบอกว่าเสิ่นโจ้วพาคนไปบุกถึงบ้านใหญ่ตระกูลซู ทำลายข้าวของทั้งยังตบตีนางเฉียน จนยามนี้ตระกูลซูก็ยังไม่ได้แยกเรือนออกไป จึงเท่ากับว่าซูผิงจ่านและแม่เฒ่าเติ้งล้วนถูกหักหน้าไปด้วย ทว่าตระกูลซูก็ไม่อาจไปเอาความกับเสิ่นเซวียนด้วยเรื่องนี้ แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของเสิ่นเซวียนและน้องชายดีเช่นนี้ ทั้งยังสงสารหลานสาว จึงไม่อาจไม่ออกหน้าแทนน้องชายได้ ไม่แน่ว่าทั้งเสิ่นและซูสองตระกูลเกือบจะต้องเกิดรอยร้าวกันด้วยเหตุนี้
ระหว่างบ้านฝั่งสามีและบ้านฝั่งมารดา ฮูหยินซูซึ่งอยู่ระหว่างกลางจะลำบากใจเพียงใด?
ทางฝั่งบ้านสามี แม้ฮูหยินซูไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนใดจากการที่นางเลี้ยงดูบุตรให้เสิ้นโจ้ว แต่ความชอบที่นางช่วยคนอื่นเลี้ยงดูบุตรชาย ก็กลับลบล้างด้วยเรื่องที่ตนไปหาแม่สามีใจร้ายให้แก่บุตรสาวของเขา ทั้งยังติดหนี้น้ำใจเสิ่นโจ้วอีก ส่วนฝั่งบ้านมารดา ฮูหยินซูเป็นแม่สื่อให้หลานสาวแท้ๆ ของสามีไปเป็นภรรยาของหลานชายแท้ๆ ของตน จะต้องเป็นเพราะรู้สึกว่าต่างรู้จักหัวนอนปลายเท้ากันทั้งสองฝ่าย และคิดว่าเหมาะสมกัน ยิ่งไปกว่ายังเป็นการแต่งงานกระชับสัมพันธ์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น แต่กลับเป็นเพราะนางเฉียนที่ก่อเรื่องเสียจนบิดามารดาต้องถูกน้องสามีหักหน้า… เว่ยฉางอิ๋งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแม่สามีไม่ได้รับความยุติธรรมเอาเสียเลย
ดังนั้นเมื่อฮูหยินซูคิดจะยกบุตรสาวคนเล็กให้แต่งงานกับหลานชายในบ้านฝั่งมารดา อย่าว่าแต่ซูอวี๋เหลียงไม่เป็นที่รักใคร่เท่าซูอวี๋อู่ยามอยู่ต่อหน้าท่านตาเลย ต่อให้เป็นที่รักใคร่ ลำพังแต่เรื่องที่เสิ่นจั้งจูต้องประสบมา ฮูหยินซูก็จะไม่ยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับเขาแน่
เมื่อรู้สาเหตุที่ฮูหยินซูเลือกซูอวี๋อู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “เช่นนั้น เรื่องที่น้องสี่ไปลงมือกับนกแก้วของลูกผู้น้อง หรือเป็นเพราะท่านป้าสะใภ้ใหญ่?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคาดว่าแม้เสิ่นจั้งหนิงจะมีนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจไปสักหน่อย แต่ดูจากที่นางแอบฟังเสิ่นจั้งหนิงพูดคุยกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว อย่างไรเสียน้องสามีผู้นี้ก็ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ หาใช่คนโง่เง่า ทั้งที่รู้ว่านกแก้วของลูกผู้พี่ซูอวี๋อู่นั้นหายากยิ่ง ทั้งยังเลี้ยงดูมาสิบกว่าปี ย่อมมีความผูกพันกันลึกซึ้ง เหตุใจจึงเอามันไปที่ห้องครัวเพียงเพื่อลิ้นนกแก้วเพียงอันเดียว?
กอปรกับที่ฮูหยินซูบอกว่านางยังไม่ได้เก็บปิ่นหยกเขียวนกเป็ดน้ำดีๆ เลย เสิ่นจั้งหนิงก็มาก่อเรื่องเสียแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าแปดหรือเก้าในสิบส่วนจะต้องเป็นเพราะน้องสามีผู้นี้ไปได้ยินเสียงเล่าลือมาจากที่ใดสักแห่งว่ามารดาคิดจะยกตนให้แต่งงานกับลูกผู้พี่ แล้วตัวนางเองก็ไม่ยินยอมจะแต่งกับซูอวี๋อู่ จึงจงใจใช้ไม้นี้ ด้วยหมายจะล้มเลิกสัญญาแต่งงาน
แต่ตอนนี้ฟังได้ว่าในคำพูดของเว่ยเจิ้งอินมีความหมายแฝงอยู่ และคล้ายจะชี้ไปที่นางเฉียน?
_______________________