ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 48
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 48 คุยเรื่อยเปื่อย
ตอนที่ 48 คุยเรื่อยเปื่อย
โดย
Xiaobei
ซ่งไจ้สุ่ยเอาพัดวงกลมตบนางเบาๆ “ไปสิ ไปเลย! พี่สะใภ้ข้าเอง ข้ายังจะจัดการไม่ได้รึ? จึงยังต้องมาอาศัยเจ้าด้วย… จริงๆ เชียว! เจ้าไปชกนาง เช่นนี้มิเท่ากับเป็นการตบหน้าข้ารึ? ข้างนอกก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ข้าเสียจนน่าสงสารเป็นทุกเดินอยู่แล้ว ข้าได้ยินคุณหนูตระกูลเติ้ง นามว่าวานวานแอบบอกข้าว่า ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนพากันพูดถึงข้ากันทั้งนั้น เก้าในสิบล้วนนึกคิดกันไปว่าข้าต้องน้ำตานองหน้า! เมื่อนึกขึ้นมาข้าก็กลุ้มใจนัก แล้วเจ้ายังจะมาก่อเรื่องเพิ่มอีกรึ?”
แล้วว่า “นางบีบไม่ให้ข้ารับเรื่องดูแลบ้านมาได้ แต่พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่อาจวางใจนางได้เช่นกัน ตลอดสองวันมานี้ นางชี้มือชี้ไม้สั่งโน่นนี่ไปทั่วแต่กลับมีไม่กี่คนที่ยอมสนใจนาง กลายเป็นอนุคนหนึ่งของพี่รองซึ่งเป็นหนึ่งในหญิงที่พี่สะใภ้ใหญ่ไปซื้อหามาจากบ้านสกุลดีๆ ข้างนอก นางบังเอิญตกน้ำในสวนดอกไม้ วานนี้นางจึงไปร้องไห้ฟ้องพี่รองว่าเพราะตวนมู่อู๋เซ่ออยากกินกระจับ จึงบังคับนางไปเก็บ… เดิมทีฤดูนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่กระจับจะออกด้วย ตวนมู่อู๋เซ่อก็ยังขืนให้นางไปเก็บ นางจึงทำได้เพียงถือกระจาดลงไปในน้ำ ปรากฏว่าจู่ๆ ก็เกิดหกล้มขึ้นมา เคราะห์ดีที่อนุผู้นี้ว่ายน้ำเป็นจึงขึ้นมาบนฝั่งได้เอง วานนี้จึงโวยวายเสียงลั่นว่าตวนมู่อู๋เซ่อคิดจะทำให้นางตาย…”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเล่าเกี่ยวกับตวนมู่อู๋เซ่อ ก็รู้สึกว่าเป็นนางทำ”
“เรื่องสับสนวุ่นวาย ผู้ใดจะมีน้ำอดน้ำทนไปจัดการ?” ซ่งไจ้สุ่ยพ่นลมหายใจไปทางพัดวงกลม ขนตายาวๆ หลับลงมา แล้วเอ่ยออกมาอย่างเลื่อนลอยว่า “ก่อนนี้ตวนมู่อู๋เซ่อบอกว่าข้าไม่เหมาะจะมาดูแลบ้าน ข้าเองก็โต้นางไปคำหนึ่ง บอกกับพี่รองไปว่า ให้พี่สะใภ้รองดูแลเรือนของตนก็ยังจัดการเรื่องหลังบ้านไม่ดีเลย อย่าให้นางต้องมาเป็นห่วงกับเรื่องนี้ดีกว่า หากเกิดเรื่องถึงชีวิตขึ้นมาจริงๆ แม้จะเป็นแค่อนุ แต่นางก็เป็นความปรารถนาดีที่ท่านพ่อมีต่อพี่รอง อย่างไรก็ให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนจัดการเองดีกว่า พี่รองจึงห้ามให้ตวนมู่อู๋เซ่อออกไปจากเรือน และห้ามนางก้าวก่ายเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ดีชั่วอย่างไร เรื่องต่างๆ ในจวนเวลานี้ก็มิได้ไปคิดบัญชีกับนางแล้ว… วันนี้ที่นางออกมาต้อนรับเจ้า ก็ด้วยคิดว่าหากนางสามารถมาคุยเป็นเพื่อนกับเจ้าได้ รอจนหลังเที่ยงเมื่อพี่รองกลับมาแล้ว เมื่อได้สนทนาอยู่ต่อหน้าเจ้า พี่รองจะได้ไม่ตำหนินาง และสามารถหาข้ออ้างมาหักล้างคำพูดที่พี่รองเคยพูดกับนางไปได้…”
“มิน่าเล่าท่านพี่ ท่านจึงไม่ให้นางตามมา” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ก็เป็นจริงดังคำท่านพี่ว่า เหตุใดตระกูลตวนมู่จึงหาคนดีไม่ได้สักคนนะ?”
ได้ยินนางว่ามาเช่นนี้ ซ่งไจ้สุ่ยก็พลันกระตือรือร้นขึ้นมา ขยับตัวขึ้นมานั่งดีๆ พลางเอ่ยอย่างได้ใจว่า “เจ้าเสียท่าภายใต้น้ำมือของตวนมู่เยี่ยนอวี๋แล้วกระมัง? รีบบอกลูกผู้พี่มา ข้าจะช่วยเจ้าคิดแผนการ! ตวนมู่อู๋เซ่อนั้นโง่เง่าเสียจนข้ารู้สึกละอายใจที่จะไปสิ่งใดกับนางแล้ว ให้ข้าฟังซิว่าพี่สะใภ้รองของเจ้าเมื่อเทียบกับลูกผู้น้องของนางผู้นี้แล้วเป็นเช่นใดบ้าง?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดพลางมองซ่งไจ้สุ่ยที่กำลังกระตือรือร้นและพร้อมจะเข้ารบเต็มที่ นางถอนหายใจยาวๆ บอกว่า “ข้าคิดว่ายามนี้แม้ท่านพี่จะไม่ถึงกับน่าสงสารดังในเสียงร่ำลือ แต่อย่างไรก็คงไม่ใคร่มีความสุขนัก เหตุใดข้ามองท่านยามนี้ แล้ว ท่านอยู่อย่างสดใสชุ่มชื่นเสียยิ่งว่าครั้งข้ายังไม่ออกเรือนยังไม่ว่า ท่านยังเอาแต่ตั้งตารอโอกาสให้ท่านได้ลงไม้ลงมือเสียที จนเกือบจะเหมือนท่านอาเฮ่อผู้นั้นของเขา เสียแล้ว?”
ซ่งไจ้สุ่ยอุทานออกมาว่า “ก็ช่วยไม่ได้นี่ เจ้าดูสิ ยามนี้ข้ามีชีวิตที่สดใสราบรื่นอยู่ภายในจวน แต่กลับออกไปข้างนอกไม่สะดวก! คราก่อนที่เจ้าแต่งเข้าบ้าน ข้าพยายามใช้ทุกวิถีทางจึงสามารถสวมหมวกปิดหน้าออกไปดูเจ้าแวบหนึ่ง…”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ แล้วสอบถามไปอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ หมวกคลุมหน้าของท่านจนยามนี้ยังมิได้เอาออกเลย บาดแผลของท่าน…?”
“ดูข้าสิ!” ซ่งไจ้สุ่ยตบมือหนหนึ่งแล้วบอกว่า “เมื่อข้าออกจากเรือนข้าก็จะใส่หมวกคลุมหน้า กลับเข้ามายังไม่เข้าไปในห้องก็กลับลืมถอดออกเสียนี่” นางจึงปลดหมวกลงด้วยท่าทีเปิดเผย… เว่ยฉางอิ๋งมองไปด้วยใจหวาดหวั่น แต่กลับเห็นว่าบนขมับซ้ายของซ่งไจ้สุ่ยมีรอยแผลสีชมพูยาวราวสองชุ่นอยู่รอยหนึ่ง เป็นรอยขยุกขยิกเหมือนงูยาวตรงเข้าไปในตีนผม
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ เปลี่ยนไป กล่าวว่า “เหตุใดจึงทำจนเป็นรอยน่ากลัวเช่นนี้? รอยแผลนี้หากขยับมาอีกสักสองสามส่วนก็จะกรีดถึงดวงตาแล้วนะ!”
ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มแล้วว่า “ก็มิใช่ว่ายังไม่ถูกตาหรอกหรือ?”
เมื่อเห็นนางมิได้เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เว่ยฉางอิ๋งจึงถอนหายใจ แล้วยื่นนิ้วไปกดใกล้ๆ รอยแผล กล่าวว่า “เวลานี้… บาดแผลนี้?”
“ไม่เจ็บตั้งนานแล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยก้มหัวลงให้นางดูได้อย่างละเอียด ทั้งยังเอ่ยเสียงต่ำๆ อย่างได้ใจว่า “หรือต่อให้เจ็บ ก็คุ้มค่า มิใช่หรือ?”
“ข้ากลับไม่รู้สึกว่าคุ้มค่า” เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก เดิมทีนางก็มิได้มีความเห็นเช่นไรกับองค์รัชทายาทในรัชสมัยนี้องค์ปัจจุบัน แต่ด้วยซ่งไจ้สุ่ยเป็นเหตุ แม้มิเคยพบฝ่าพระบาทองค์นี้ แต่กลับรู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียแล้ว จึงรู้สึกว่าซ่งไจ้สุ่ยต้องการปฏิเสธการแต่งงานกับองค์รัชทายาทจนถึงกับทำลายรูปโฉมของตน นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่มากเกินไปแล้ว
ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งแตะๆ ไปบนบาดแผล แล้วเสนอแนะว่า “รูปร่างของบาดแผลนี้ กลับสามารถสักเป็นลายพวกรูปดอกกุหลาบหรือดอกรุ่งอรุณ ดังนี้แล้วก็จะปกปิดได้ดี”
“ต้องลำบากเช่นนั้นทำสิ่งใด?” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเย็นๆ แล้วว่า “ต้องอดทนความเจ็บปวดของเข็มที่ทิ่มแทงลงไปเพียงเพื่อจะได้รับคำชมจากผู้อื่นสักคำ? ต้องทำไปไย? ดีชั่วอย่างไร วันหน้าข้าก็ไม่อาจแต่งกับคนที่คู่ควร ผู้ที่จะมาแต่งงานกับข้า โดยมากแล้วก็เพราะเห็นแก่ฐานะและทรัพย์สมบัติของข้า ในเมื่อเป็นดังนี้ ข้าจะมีหน้าตาดีสักหน่อยแย่สักนิดแล้วจะเป็นอย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วพลันรู้สึกปวดใจ กล่าวว่า “ไยต้องเป็นเช่นนี้เล่า ท่านพี่ เดิมทีท่านก็มีหน้าตางดงาม บาดเจ็บเพียงแค่แห่งเดียวก็มิได้น่าเกลียด ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงก็มีท่านเป็นบุตรสาวแท้ๆ เพียงผู้เดียว จักต้องวางแผนไว้ให้ท่านอย่างละเอียดรอบคอบแน่ๆ”
“เจ้าไม่รู้ เวลานี้ฮ่องเต้คิดว่าข้าเป็นตัวอัปมงคล เจ้าว่าคุณชายบ้านใดจะยอมแต่งกับตัวอัปมงคล?” ซ่งไจ้สุ่ยโบกพัดวงกลมให้ทั้งสองคนพลางกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “ดังนั้นที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ว่าอยากจะกลับไปเจียงหนานก็มิได้พูดไปด้วยอารมณ์เสียทั้งหมด อย่างไรเสียฐานะกลืนไม่เข้ากลืนไม่ออกของข้าในยามนี้หากอยู่ในเมืองหลวงก็มีข้อจำกัดมากมาย ไม่อิสระเท่ากับกลับไปเจียงหนาน ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็อยู่ที่เจียงหนานมานานปี คุ้นเคยกับดินฟ้าอากาศและนิสัยใจคอของผู้คนที่นั่นมากกว่า”
ว่าไปพลางเอาพัดไปตบที่ไหล่เว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “หากมิใช่เพราะรอเจ้า ความจริงแล้วสองสามวันนี้ข้าก็คิดจะไปแล้ว ฤดูหนาวในเมืองหลวงนี่!” นางส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “หนาวจะตายไป!”
เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจไม่ยอมเชื่อ บอกว่า “มิใช่ว่ามีไส้เดือนยักษ์[1]?”
“ต้องอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่อึดอัดหรือไร?” ซ่งไจ้สุ่ยบอกว่า “หากออกไปข้างนอกแล้วไม่สวมเสื้อจนตัวกลมเหมือนเสวี่ยฉิวดูสิ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เชียวนะ”
เมื่อเอ่ยถึงเสวี่ยฉิว เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ บอกว่า “ก็ไม่รู้ว่าท่านเลี้ยงปลาแปดอ่างและนกแก้วสิบตัว แล้วยังเลี้ยงแมวสิงโตทำสิ่งใดกัน? เลี้ยงก็เลี้ยงแล้ว เหตุใดไม่ดูแลมันให้ดี? แม้วันนี้จะเป็นคนของท่านที่นี่ไม่ระวัง แต่ข้าเห็นแมวสิงโตตัวนั้นคาบปลาคาบนกแก้วเสียคล่องแคล่วยิ่ง”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างคับแค้นว่า “ความจริงแล้วนกแก้วมีอยู่สิบสองตัว ตายไปสองตัว ถูกมันกินไปหลายครั้ง ถึงเหลืออยู่สิบตัว…ต่อไปก็จะมีแค่เก้าตัวแล้ว”
แล้วว่า “ข้าเองก็ถูกมันหลอกเอาเช่นกัน ก่อนนี้เห็นท่าทางของมันอ้วนกลมเหมือนก้อนหิมะ รู้สึกว่ามันน่ารักดี จึงเลี้ยงมันเอาไว้ ตอนแรกก็กลัวว่ามันจะแอบกินอยู่เช่นกัน ข้ายังลองพามันไปดูอ่างปลาและคานนกแก้วด้วย เห็นมันเชื่องๆ เข้ามานอนซบอยู่บนแขนข้าไม่ขยับ ข้าก็หลงนึกว่ามันรู้จักกฎเกณฑ์เสียอีก! ข้าเองก็ไม่เคยให้มันอดนี่ เหตุใดจึงชอบขโมยกิน?”
“แมวสิงโตก็มิใช่คน จะรู้จักกฎเกณฑ์ใดเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น บอกว่า “แต่ว่าเจ้าแมวตัวนี้ก็ฉลาดดีจริงๆ รู้จักทำทีเชื่องรู้ความยามอยู่ต่อหน้าท่านเพื่อให้ท่านเชื่อ รอจนท่านเลี้ยงมันจนคุ้นเคยและตัดใจไล่มันไปไม่ได้จึงค่อยลงมือ”
“ก็มิใช่รึ?” ซ่งไจ้สุ่ยพูดอย่างเคืองโกรธว่า “ดังนั้นหากเจ้าต้องใจสิ่งใดก็เอาไปเลย จักได้ไม่ทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วถูกมันทำให้เสียหายหมด!”
เว่ยฉางอิ๋งแสร้งทำเป็นโกรธ บอกว่า “ตกลง! ข้ายังหลงนึกท่านรักใคร่ข้ามากถึงเพียงนี้ จึงยกปลาและนกแก้วให้ข้าหมดจริงๆ ! ที่แท้ก็เพราะท่านดูแลเสวี่ยฉิวไม่ไหว จึงคิดหาที่หลบภัยให้พวกมัน?”
ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตนเอ่ยความจริงออกไปอย่างไม่ทันคิดเสียแล้ว จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อนว่า “ลูกผู้น้องผู้แสนดี พูดเล่นกับเจ้าเท่านั้นเอง! ข้าย่อมต้องรักเจ้าสิ!”
คุยกระเซ้าเย้าแหยกันพักหนึ่ง ซ่งไจ้สุ่ยจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ดีชั่วอย่างไรข้าก็อยู่ในบ้านตนเอง ท่านพ่อและพี่ชายล้วนรักใคร่ข้า ส่วนพี่สะใภ้สองคนนั้น พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนที่เข้าใจผู้คน พี่สะใภ้รองแม้จะเลอะเลือนแต่ก็รับมือได้ง่ายๆ กลับเป็นเจ้าที่แต่งงานมาเดือนหนึ่งแล้ว พ่อแม่สามีและพวกพี่สะใภ้เป็นเช่นใด? หากมีเรื่องลำบากใดก็บอกให้ข้าฟัง ข้าจะได้ช่วยออกความคิดให้เจ้า”
“พูดราวกับว่าข้าไรสามารถเช่นนั้น!” เว่ยฉางอิ๋งเลียนแบบนางด้วยการเอ็ดนางคำไปหนึ่ง แล้วบอกว่า “พ่อสามีนั้นเคยพบตอนไปยกน้ำชาหนหนึ่ง ภายหลังก็ไม่ได้เห็นหน้าแล้ว ส่วนแม่สามีนั้นแม้นางจะยึดถือในกฎระเบียบนัก แต่ก็ดีกับข้ามาก วานนี้ข้าเพิ่งจะกลับมาจากบ้านซู และบอกว่าอยากจะมาหาท่าน นางก็อนุญาตทันที ส่วนพี่สะใภ้นั้น… เช้าวันนี้ แม่สามีบอกว่าให้ข้ารีบไปพบปะญาติมิตรให้เสร็จในวันสองวันนี้ ต่อไปก็จะต้องมาทำหน้าที่ดูแลบ้านเรือนแล้ว พี่สะใภ้ทั้งสองคนย่อมไม่พอใจ โดยเฉพาะพี่สะใภ้ใหญ่ เพราะนางเป็นสะใภ้ใหญ่อย่างไรเล่า!”
ซ่งไจ้สุ่ยแค่นเสียงเอ่ยว่า “สะใภ้ใหญ่! แล้วจะอย่างไรเล่า? พระชายาองค์รัชทายาทสองคนก่อนในรัชสมัยนี้ก็มิได้สูงส่งกว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเสิ่นหรอกรึ? แล้วจุดจบเล่า? ผู้หนึ่งต้องปลิดชีพตนตายตกตามสามี ผู้หนึ่งต้องเป็นหญิงม่าย! ทั้งสองคนจะไปร้องเรียนเอากับผู้ใดได้? ข้าจะบอกเจ้านะ ในเมื่อเป็นแม่สามีเจ้าออกปากเอง สามีเจ้าผู้นั้นก็ได้รับความสำคัญจากตระกูล เจ้าก็อย่าได้ไปนอบน้อมต่อนางจริงๆ เล่า ต้องควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ ให้จริงจังจึงจะดี เพื่อไม่ให้แม่สามีเจ้าผิดหวัง หาไม่แล้วพอถึงเวลาขึ้นมานางก็จะไปช่วยหาผู้ช่วยมือดีมาไว้ในเรือนหลังให้เจ้าสักสองคน ยามนั้นจะมาร้องไห้ก็สายเสียแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งตีนางเบาๆ หนหนึ่ง หัวเราะลั่น พลางว่า “พูดสิ่งใดกันท่านพี่? ข้าเป็นคนเลอะเลือนเช่นนั้นรึ?”
“พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของเจ้าใช้กลอุบายใดบ้าง พูดออกมาให้ข้าได้วิเคราะห์กับเจ้าสักหน่อย” ซ่งไจ้สุ่ยนำเสนอตัวเองอย่างเต็มกำลัง “ข้าเรียนเรื่องเหล่านี้จากท่านย่าของเจ้ามาแต่เล็ก รับรองว่าสามารถช่วยเจ้าขจัดภัยร้ายที่จะมาในภายหลังได้แน่นอน!”
“ลูกผู้พี่ ท่าน…” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูด “นี่ท่านว่างจนรู้สึกเหงาแล้วจริงๆ!” นางเอ่ยพลางส่ายหัว “ยามนี้ข้าเพิ่งเข้าบ้านมา นอกจากพูดจากระแหนะกระแหนสองสามคำ พวกนางจะทำอย่างไรได้? เพราะความสำคัญของสามีข้าทำให้แม่สามีให้ความสำคัญกับข้าด้วย ในบ้านยามนี้ก็ยังมีน้องสาวสามีหนึ่งคน แม้จะร่าเริงเอาแต่ใจเกินไปหน่อย แต่จิตใจก็ไม่ได้ร้าย ย้าวเหยี่ยเอง…ยามนี้ข้ายังไม่มีเรื่องใดให้เป็นกังวลจริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็กลับนิ่งคิดและกล่าวว่า “อ่ะ แต่กลับมีเรื่องหนึ่ง ที่ข้าไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยพลันกระตือรือร้นขึ้นมา “รีบพูด! เป็นสิ่งใด?”
นางดูมีทางท่าคล้ายกำลังเอามือลูบหมัดพร้อมเข้าโรมรัน “ข้าอยากได้ยินว่าเป็นผู้ใดกล้ามารังแกลูกผู้น้องของข้า!”
“อันใดเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งกรอกตาขาวใส่นางหนหนึ่ง แล้วว่า “เป็นข่าวคราวที่ย้าวเหยี่ยนำกลับมาบอก หลังจากที่เขาเข้าวังไปขอบพระทัยฮ่องเต้วันนั้น บอกว่ายามเข้าขอบพระทัยฮ่องเต้และได้พบกับพระสนมเอกเติ้ง เพราะสนมเองเติ้งบอกว่าอยากจะพบข้าสักหน่อย อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน จึงให้ข้าเข้าวังไปด้วย! ท่านว่านี่หมายความว่าอย่างไร?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างตกใจว่า “พระสนมเอกเติ้ง? พระมารดาแท้ๆ ขององค์หญิงซึ่งเป็นสนมชั้นผินเม่าสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว องค์หญิงพระองค์นี้จึงได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮามาโดยตลอด เดิมทีแล้วในวันพระสูติของนาง เจ้าก็ควรเข้าวังไปถวายพระพรอยู่แล้ว แต่พระสนมเอกกำชับมาเป็นการพิเศษเช่นนี้ก็แปลกอยู่”
“ก็มิใช่รึ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างสงสัย “หากนางต้องการเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้…” เรื่องที่ตระกูลเว่ย ซ่ง และเติ้งร่วมมือกันทำลายการแต่งงานเข้าตำหนักตะวันออกก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมาพูดให้ชัดเจน ทำได้เพียงให้เรื่องผ่านไปอย่างคลุมๆ เครือๆ “เช่นนั้นพระสนมเอกก็ควรจะเรียกตัวท่าน ไม่ควรเรียกตัวข้านี่!”
“เจ้านี่ซื่อจริงๆ” ซ่งไจ้สุ่ยตีนางไปหนหนึ่ง เอ่ยอย่างขำๆ ว่า “พระสนมเอกเรียกตัวข้า? ที่ราชสำนักเรียกคทาหรูอี้หยกประดับทองกลับไปก่อนหน้านี้ ก็มิใช่เพราะคำพูดของพระสนมเอกรึ?”
เว่ยฉางอิ๋งร้องอ่ะออกมาคำหนึ่ง แล้วว่า “เกือบลืมไปเสียแล้ว” ในทางลับนั้นเป็นพระสนมเติ้งและซ่งไจ้สุ่ยต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงนับว่าเคยร่วมมือกันมาหนหนึ่ง ในทางแจ้งนั้นกลับเป็นการต่อสู้ระหว่างเพราะสนมเอกและฮองเฮา จึงวางแผนทำลายการแต่งเข้าวังของซ่งไจ้สุ่ย… ดังนั้นในทางแจ้งจึงเป็นตระกูลซ่งมีความแค้นกับพระสนมเอก! ครานี้หากพระสนมเอกเติ้งต้องการจับตาดูซ่งไจ้สุ่ย ผู้ใดก็ต้องคิดว่าจะต้องเป็นพระสนมเองต้องการกำจัดซ่งไจ้สุ่ยให้สิ้นซากน่ะสิ!
จึงถามว่า “เช่นนั้น ท่านพี่ลองบอกมา ว่าเรื่องนี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
ซ่งไจ้สุ่ยครุ่นคิดรอบหนึ่ง บอกว่า “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเติ้งจงฉีและเติ้งวานวานสองพี่น้อง?”
____________________________
[1] ไส้เดือนยักษ์ ใช้นำมาทำยาจีน มีฤทธิ์ร้อน ช่วยเสริมสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายได้