ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 52
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 52 เข้าวัง
ตอนที่ 52 เข้าวัง
โดย
Xiaobei
เมื่อกลับไปที่เรือนจินถง เว่ยฉางอิ๋งถามนางหวงว่า “ท่านอาเห็นที่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองพูดหรือไม่?”
“ฮูหยินน้อยรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้เมื่อฮูหยินเห็นฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองให้คนยกสมุดบัญชีเข้ามาก็บอกว่ารู้สึกเพลียในทันที แล้วให้ฮูหยินน้อยทั้งสามคนไปสนทนากันที่อื่น?” นางหวงถามพลางยิ้มน้อยๆ
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง แล้วจากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาว่า “ท่านแม่… ท่านรู้อยู่ก่อนแล้ว?”
“คนในวัยของฮูหยินนี้ ที่คุณหนูหลานใหญ่ก็ยังเริ่มเรียนรู้เรื่องการดูแลบ้านจากฮูหยินน้อยใหญ่แล้ว ความคิดอ่านของบรรดาสะใภ้ ฮูหยินหรือจะยังไม่กระจ่าง?” นางหวงยิ้มจางๆ บอกว่า “วานนี้ฮูหยินก็เป็นคนเอ่ยปากเอง แม้ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองมิได้จัดการบ้านเรือนอย่างเลอะเลือนอันใด แต่ที่สุดแล้วพวกนางก็แบ่งอำนาจที่เคยมีอยู่ในมือออกมา ปัญหาอยู่ที่เมื่อพวกนางแบ่งอำนาจออกมา แล้วฮูหยินน้อยจะสามารถรับเรื่องนี้มาไว้ในมือได้จริงๆ หรือไม่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ หากพวกนางบอกกับฮูหยินน้อยต่อหน้าฮูหยิน ในขณะที่มีฮูหยินอยู่ด้วย ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้องรองย่อมต้องเตือนฮูหยินน้อยดีๆ อย่างขาดเสียไม่ได้ เพื่อเป็นการแสดงออกว่าพวกนางรักใคร่เป็นมิตรต่อน้องสะใภ้ แต่หากมิได้พูดอยู่ต่อหน้าฮูหยิน หากฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไม่อธิบายเพียงลวกๆ ก็แปลกแล้วเจ้าค่ะ!”
แล้วบอกว่า “ฮูหยินทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการดูว่าเมื่อฮูหยินพูดเช่นนี้แล้ว ฮูหยินน้อยจะสามารถอาศัยคำพูดนี้ ไปเอาอำนาจมาจากมือของฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองมาได้กี่มากน้อยอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
ว่ากันตามจริงแล้ว ฮูหยินซูก็ยังคงกำลังทดสอบสะใภ้อยู่นั่นเอง
เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติอยู่พักใหญ่ กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองพูดเป็นน้ำไหลไฟดับอยู่ตั้งนาน ดูคล้ายรู้สิ่งใดไม่ปิดบัง และพูดออกมาไม่จบไม่สิ้น แต่เมื่อฟังอย่างละเอียดแล้วกลับไม่มีสักประโยคที่มีประโยชน์ พวกเราเพิ่งจะเข้าบ้านมา ล้วนยังไม่เคยคุ้นกับทุกเรื่อง ทั้งไม่รู้ว่าท่านแม่ให้เวลาข้ามากน้อยเท่าใด หากให้เวลาไม่มาก เช่นนั้นก็จำต้องใช้วิธีที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว แต่หากท่านแม่ไม่เร่งรัด กลับสามารถค่อยๆ วางแผนได้ ดีชั่วอย่างไรท่านแม่ก็ให้อำนาจข้าแล้ว เมื่อพวกพี่สะใภ้ไม่ยอมบอกข้า แล้วข้าจะไม่สามารถไปเรียกพวกพ่อบ้านแม่บ้านมาไถ่ถามเองหรือไร?”
นางหวงยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินจะให้เวลาฮูหยินน้อยมากน้อยเท่าใด เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้านมานั่นเป็นเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ คุณชายของพวกเราก็ยังหนุ่มแน่นนะเจ้าคะ! ฮูหยินน้อยไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าฮูหยินจะขอให้ท่านเบียดฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองให้พ้นทางหรอกเจ้าค่ะ! อย่างไรเสียวันหน้าตระกูลเสิ่นก็ต้องมอบให้แก่คุณชาย เรื่องหลังบ้านของตระกูลเสิ่นนี้ ก็จะต้องมอบหมายให้แก่ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ สำหรับเรื่องนี้ฮูหยินน้อยค่อยๆ ลงไม้ลงมือ อย่าให้พวกคนร้ายเจาะทะลวงเข้ามาได้ เรื่องนี้ต่างหากที่สำคัญเจ้าค่ะ เพียงแต่…”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางหวงพลันลังเล คล้ายมีความลำบากใจบางอย่าง
เว่ยฉางอิ๋งจึงบอกว่า “ท่านอานึกถึงเรื่องใดได้? โปรดพูดออกมาเถิด”
นางหวงมองนางหนหนึ่งกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม แล้วกดเสียงต่ำบอกว่า “ฮูหยินคงไม่เร่งรัดให้ฮูหยินน้อยเป็นผู้กุมอำนาจดูแลบ้านในเร็ววัน แต่ข้าน้อยกลับนึกขึ้นมาได้ว่า ฮูหยินน้อยมีร่างกายแข็งแรง ยามนี้ก็แต่งงานมาครบเดือนแล้ว เมื่อผ่านไปอีกสักพัก หากเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ครรภ์นี้ก็จะไม่อาจไม่ระมัดระวังได้เลย…”
นางยังไม่ทันพูดจบ เว่ยฉางอิ๋งก็หน้าแดงก่ำขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอาพูดสิ่งใดเล่า! สิ่งใดมีไม่มีกันเล่า… ห้ามเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้แล้ว รีบพูดเรื่องธุระสำคัญดีกว่า… เรื่องเหล่านี้วันหน้าพวกเราจักทำเช่นใด?”
นางหวงเย้านางคำหนึ่ง ครานี้จึงปรับสีหน้าและพูดเรื่องจริงจังว่า “เป็นดังคำของฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ยามนี้ทุกๆ เรื่องพวกเรายังไม่รู้ หากบุ่มบ่ามเข้าไปก้าวก่าย ไม่เพียงไม่อาจทำการให้สำเร็จได้ กลับกันยังจะถูกบ้านใหญ่และบ้านสองฉกฉวยโอกาสเอาได้โดยง่าย ดังนั้นตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว มิสู้ฟังให้มากถามให้มากดูเสียก่อน รอจนรู้เรื่องน้อยใหญ่ในจวนนี้สักหน่อยแล้ว ค่อยมาวางแผนกันเจ้าค่ะ” แล้วบอกอีกว่า “มิใช่ว่าฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเอาสมุดบัญชีออกมาให้แล้วหรือเจ้าคะ? ฮูหยินน้อยดูสมุดบัญชีโดยคร่าวๆ เสียก่อน เพื่อให้พอเข้าใจรายรับจ่ายในจวนนี้สักหน่อย แม้จะบอกว่าสมุดบัญชีเหล่านี้อาจไม่ครบถ้วน และไม่แน่ว่าส่วนตัวแล้วบ้านใหญ่และบ้านสองอาจยังมีสมุดบัญชีเล็กของตนอีก แต่ในเมื่อสมุดบัญชีเหล่านี้ถูกยกออกมาต่อหน้าฮูหยิน คาดว่าโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่น่ามีข้อผิดพลาดเจ้าค่ะ”
นางอธิบายว่า “ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินน้อยใหญ่หรือฮูหยินน้อยรอง เมื่อนับไปแล้วก็ล้วนเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ ครั้งพวกนางอยู่บ้านเดิมของตน แม้อาจมิได้เป็นที่รักใคร่เช่นฮูหยินน้อย ทว่าก็ยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ถูกประคองไว้ในอุ้งมือ สินติดตัวมีพร้อมพรั่งสมบูรณ์ ตระกูลข้างฝั่งนางก็ไม่ได้ต้องการให้พวกนางหาสิ่งใดมาเสริมเพิ่มให้ตระกูล กอปรกับยังมีฮูหยินคอยดูอยู่ข้างบน ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า ตามหลักการแล้วฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไม่น่าจะเล่นเล่ห์ใดกับบัญชีกลางหรอกเจ้าค่ะ สิ่งที่ต้องคอยระแวดระวังก็ยังเป็นคน….แต่ทว่า เรื่องของคนนี้ก็สามารถคาดคะเนได้จากการทำบัญชีนะเจ้าคะ ยามนี้พวกเราไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่ง จึงต้องเริ่มลงมือจากเรื่องต่างๆ รอบตัวเสียก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองพักหนึ่ง จึงพยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าล้วนว่าตามคำท่านอา”
หลายวันต่อมา สามพี่สะใภ้น้องสะใภ้ต่างคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน เว่ยฉางอิ๋งทำตามคำชี้แนะของนางหวงโดยการค่อยๆ ลงมือทีละน้อย และมิได้เร่งร้อนให้ได้ผลสัมฤทธิ์ในเร็ววัน ค่อยๆ เข้ามากุมอำนาจในเรือนหลังของจวนราชครูอย่างรอบคอบระมัดระวัง
ด้วยมีวาจาสิทธิ์จากฮูหยินซู นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่มีศักดิ์มีสิทธิ์ใดไปผลักไสนาง แม้จะคอยขัดแข้งขัดขา พูดจากระแหนกระแหนอยู่ตลอดเวลา เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่สนใจ และมิได้ร้อนรนใดๆ กับการยั่วยุของพวกนางเลยแม้แต่น้อย ยังคงค่อยดำเนินการไปทีละก้าว นางหลิวและนางตวนมู่จึงทำได้แต่เพียงมองตาปริบๆ ดูนางเริ่มขึ้นมามีอำนาจเหนือตน แม้ในใจจะเป็นทุกข์ แต่กลับทำสิ่งใดไม่ได้
ฮูหยินซูได้รับข่าว กลับแอบพยักหน้า และหารือกับนางเถาคนสนิทของนางว่า “เดิมทีกังวลอยู่ว่านางเว่ยผู้นี้จะไม่เหมาะกับเฟิงเอ๋อร์ ยามนี้ดูไปแล้วกลับเป็นเด็กฉลาดคนหนึ่งเช่นกัน”
นางเถายิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยสามเป็นท่านประมุขหมั้นหมายไว้ให้ และมีฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลซ่งสอนสั่งมาด้วยตนเองจนเติบใหญ่ ย่อมไม่เลวเจ้าค่ะ ทว่านางหวงที่เป็นบ่าวติดตามฮูหยินน้อยสามผู้นั้นก็เป็นคนที่เก่งกาจไม่เบา แม่เฒ่าซ่งกลับไปเฟิ่งโจวตั้งกี่ปีแล้ว นางก็ยังสามารถกำราบฮูหยินรองตระกูลเว่ยเสียอยู่หมัด…”
“บ่าวติดตามฉลาด ตนเองก็ต้องรู้จักใช้คนด้วย” ฮูหยินซูฟังออกว่านางเถาคิดว่านับแต่เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้านก็หาขอผิดพลาดใดๆ ไม่ได้ ล้วนเป็นเพราะนางหวงคอยชี้แนะ แต่ฮูหยินซูกลับไม่คิดเห็นดังนั้น กล่าวว่า “หาไม่แล้ว หากนายอ่อนแอบ่าวแข็งแกร่ง ก็มิใช่ว่านายบ่าวสลับตำแหน่งกันหรือ ผู้เป็นนายถูกควบคุมดังหุ่นเชิด หากผู้เป็นบ่าวมีความคิดดีๆ ออกมา แต่ผู้เป็นนายกลับเอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังไม่อาจตัดสินใจได้ สุดท้ายก็จะทำให้เสียโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย… ต่อให้บ่าวเก่งกาจเพียงใดอย่างไรก็ยังเป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง ไม่อาจมาแทนที่ผู้เป็นนายได้!”
นางเถารีบกล่าวว่า “ฮูหยินกล่าวถูกต้อง ทว่าข้าน้อยคิดว่าฮูหยินน้อยยังสาว ยามนี้ยังต้องคอยฟังคำชี้แนะจากนางหวงไปเสียทุกเรื่อง จึงทำการได้อย่างสุขมเยือกเย็นเพียงนี้เจ้าค่ะ หากตัวนางเองจะมีความคิดที่รอบคอบถี่ถ้วนดังนี้ ก็เกรงว่ายังต้องฝึกฝนอีกหลายปีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูยิ้มเรียบๆ บอกว่า “อี๋เอ๋อร์ทำการต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมเสมอมา เจ้าจะรักใคร่นางสักหน่อยก็มิเป็นไร”
สีหน้าของนางเถาพลันเปลี่ยนไป รีบกล่าวว่า “ฮูหยินหลักแหลม แม้ข้าน้อยจะคุ้นเคยกับฮูหยินน้อยใหญ่สักหน่อยเพราะฮูหยินน้อยใหญ่แต่งเข้าบ้านมาก่อน ทว่าไม่กล้าให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้ส่วนรวมเสียหายและยุยงให้ฮูหยินไม่พอใจฮูหยินน้อยเป็นอันขาดเจ้าค่ะ ความจริงแล้วเป็นเพราะข้าน้อยเคยได้ยินเรื่องความเก่งกาจของนางหวงผู้นั้นมาก่อน ทั้งที่เป็นเพียงบ่าวผู้หนึ่ง แต่กลับควบคุมฮูหยินรองตระกูลเว่ยไว้ได้อย่างผิดธรรมดา แม้แต่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยเว่ยฉางหว่าน วางแผนจัดการแทนมารดา ก็ยังถูกนางจัดการกลับมาหนแล้วหนเล่า! ดังนั้น จึงคิดไปถึงว่าฮูหยินน้อยสามมีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายแล้ว…”
“เอาล่ะๆ” นางเถาเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของฮูหยินซู มีความผูกพันกันฉันนายบ่าวมาสิบกว่าปี แม้ฮูหยินซูจะติติงไม่ให้นางก้าวก่ายเข้ามาในการต่อสู้ระหว่างเหล่าสะใภ้ แต่อย่างไรก็ยังคงไว้หน้านางเป็นอย่างมาก ครานี้จึงปรามนางอย่างนุ่มนวลว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้จะยุยง เพียงแต่เวลาที่สะใภ้ทั้งสามคนแต่งเข้ามานั้นต่างกัน นิสัยของนางหลิวแม้จะถูกใจเจ้า แต่หลายปีมานี้เจ้าก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องที่ไม่ควรไปพูดกับนาง… แต่นางเว่ยผู้นี้ยังเป็นภรรยาของเฟิงเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ดีกว่าข้าคาดหวังในตัวนางไม่เหมือนสะใภ้คนอื่น”
นางเถาสะท้านในใจขึ้นมาน้อยๆ… ‘แต่หลายปีมานี้เจ้าก็ไม่เคยเผยเรื่องที่ไม่ควรพูดกับนาง’ คำกล่าวนี้มิใช่เป็นการบอกนางว่า คำพูดที่นางเอ่ยกับนางหลิวเป็นการส่วนตัวในหลายปีมานี้ มีแปดเก้าในสิบส่วนที่ฮูหยินซูล่วงรู้?
ยามเอ่ยปากอีกครั้ง นางจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกเป็นอย่างยิ่ง “ฮูหยินหมายถึงว่า คุณชายสามเป็นผู้ที่เป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูล ภรรยาของเขาต้องมาเป็นนายผู้หญิง จึงไม่อาจไปเทียบกับฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองได้”
“ดูจากในยามนี้ นางเว่ยก็ยังนับว่าทำให้ข้าพอใจ” ฮูหยินซูครุ่นคิดพักใหญ่ กล่าวว่า “จนยามนี้ ปัญหาเรื่องภายนอกบ้านนั้นถือว่านางผ่านแล้ว ข้าเองก็สามารถบอกกับนางหลิวและนางตวมนู่เป็นนัยๆ ว่าให้ค่อยๆ มอบอำนาจการดูแลบ้านมาไว้ในมือนางได้อย่างวางใจเสียที เหตุที่ก่อนนี้ไม่ได้เอ่ยถึงมาก่อน ก็เพราะยังไม่วางใจปัญหาข้อนี้… อย่างไรเสีย คำคนก็น่ากลัวนัก!”
นางเถาเองก็ถอนหายใจ “ก็มิใช่รึเจ้าคะ? โดยเฉพาะครานี้… ยังต้องเข้าวังด้วย!”
….วันประสูติขององค์หญิงหลินชวนคือวันที่สิบแปดเดือนห้า แม้จะบอกว่าปีก่อนฮ่องเต้จัดพิธีปักปิ่นให้แก่องค์หญิงอย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเป็นกิ่งทองใบหยก[1]ซึ่งเป็นที่รักที่สุดของฮ่องเต้ในหลายปีมานี้ ดังนั้นแล้ววันประสูติขององค์หญิงหลินชวนจึงยังคงเป็นเรื่องที่ทั้งนอกวังและในวังต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ในวันที่สิบแปดเดือนหน้านี้ ไม่ว่าที่ใดในวังล้วนจุดโคมประดับแถบผ้าสี มีการตกแต่งใหม่ทั้งหมด ตำหนักฉางเล่อที่เป็นที่ประทับของฮองเฮา ก็ได้ย้ายดอกทับทิมที่องค์หญิงโปรดปรานมากที่สุดกว่าหมื่นกระถางเข้ามาประดับตกแต่งไว้ภายในและเร่งทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันประสูติขององค์หญิง สตรีชั้นสูงทั่วเมืองหลวง นอกจากผู้ที่เคยขอลากิจลาป่วยมาล่วงหน้า ล้วนแต่งกายหรูหราเป็นทางการ พาสะใภ้และบุตรสาวเข้าไปร่วมถวายพระพรในวังหลวง
ขณะนั่งอยู่บนรถม้า และมองลอดจากช่องว่างเส้นเล็กๆ ระหว่างผ้าม่านรถ มองเห็นรถม้าที่ประดับประดางดงามหลั่งไหลกันมาไม่หยุด และตรงเข้าสู่ประตูวัง ฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่วแทบจะบดบัดท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ไปจนหมด กลิ่นหอมของเครื่องสำอางและเสียงเครื่องประดับกระทบกันมีอยู่ตลอดทางไม่เคยหยุด… ยังมิทันได้เข้าเฝ้าองค์หญิงหลินชวน เพียงดูจากภาพนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความสูงส่งของผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นกิ่งทองใบหยกผู้นี้แล้ว
เว่ยฉางอิ๋งให้คนเอาม่านของรถลง เพื่อมิให้มีฝุ่นเข้ามาระหว่างที่รถกำลังแล่น คิดในใจว่า “มิน่าเล่าใครๆ จึงว่ากันว่า ‘แต่งเมียได้องค์หญิง บ้านมีขุนนางเพิ่ม’ ฝ่าบาทพระองค์นี้เวลานี้เพิ่งพระชันษาสิบหกปี ทว่าเพื่อวันประสูติของนาง นับตั้งแต่องค์ฮองเฮาเรื่อยลงไปจนถึงสตรีชั้นสูงตระกูลต่างๆ ไม่มีสักคนที่กล้าเพิกเฉย องค์ฮองเต้ทรงรักใคร่นางเพียงนี้ แล้วพระสวามีของนางจะไม่พลอยได้รับเกียรติไปด้วยหรอกหรือ? เพียงแต่องค์หญิงในรัชสมัยนี้มีชื่อเสียงเรื่องวางอำนาจบาตรใหญ่ตลอดมา ไม่รู้ว่าฝ่าบาทพระองค์นี้มีนิสัยเป็นเช่นไร หากเป็นผู้ที่อยู่ด้วยลำบาก แม้พระสวามีจะก้าวขึ้นมามีฐานะสูงส่งในทันทีทันใด ทว่าคิดไปแล้วก็คงจะมีชีวิตที่น่าสงสาร”
ท่ามกลางเสียงเพลาล้อรถและเสียงร้องของม้า รถม้าของเว่ยฉางอิ๋งตามหลังรถของแม่สามีและพี่สะใภ้มา เมื่อเข้าไปในประตูวังแล้ว เห็นชัดว่ากำแพงพระราชวังหนามาก เว่ยฉางอิ๋งซึ่งอยู่ในรถรู้สึกว่าเสียงข้างนอกเงียบลงไปมาก ผ่านไปนานจึงมีแสงสว่างกลับมาดังเดิม ทว่าก็มิได้สว่างมากนัก นางส่งสัญญาณให้ฉินเกอเปิดม่านรถออกสักหน่อยเพื่อมองออกไปภายนอก แต่กลับเห็นว่าทั้งสองข้างล้วนเป็นกำแพงวังสูงๆ ทั้งนั้น เดิมทีรถวิ่งไปในทางแคบๆ มีกำแพงวังบังแสงแดดเอาไว้ มิน่าเล่าจึงได้มืดทึบลง
เมื่อมาถึงสถานที่ซึ่งกำหนดเอาไว้ให้บรรดาสตรีชั้นสูงลงรถ หลังจากเว่ยฉางอิ๋งถูกประคองลงมาแล้วก็รีบไปหาฮูหยินซูและพี่สะใภ้ทั้งสองคน และถูกย้ำเตือนเรื่องข้อห้ามต่างๆ ในการเข้าเฝ้าฯ อีกสองสามคำ… ความจริงแล้วฮูหยินซูอบรมเรื่องเหล่านี้มาจากที่บ้านตั้งนานแล้ว ที่ครานี้ย้ำอีกครั้งก็ด้วยเกรงว่านางจะหลงลืม เพราะว่าในบรรดาสตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่ฮูหยินซูพาเข้าวังมาด้วยหนนี้ มีเพียงเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งเข้าวังมาเป็นคราแรก
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยทวนคำรอบหนึ่ง เมื่อฮูหยินซูเห็นว่านางตอบไม่ผิดจึงลอบโล่งใจ แล้วว่า “เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเกินไป ทุกพระองค์ในพระราชวังล้วนมีพระเมตตายิ่ง” พลางกดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ยให้นางสบายใจว่า “ความจริงแล้วต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ตระกูลเสิ่นของเราก็พอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเฟิงเอ๋อร์ที่เป็นที่พอพระทัยขององค์ฮ่องเต้เสมอมา บรรดาราชนิกุลสูงศักดิ์จะไม่จงใจทำให้เจ้าลำบากใจ พอถึงเวลาหากถูกสอบถาม เจ้าโค้งตัวคำนับสักหน่อยเป็นพอแล้ว” “ขอบพระคุณท่านแม่ที่สอนสั่งเจ้าค่ะ!” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวขอบคุณแม่สามีไปด้วยความซาบซึ้งใจ นางกำลังจะพูด ข้างๆ ก็มีสตรีชั้นสูงผู้หนึ่งซึ่งมีสะใภ้และบุตรสาวห้อมล้อมอยู่เพิ่งลงรถมาเช่นกันเดินเข้ามาทักทายฮูหยินซู “พี่ซิ่วม่าน บังเอิญจริงๆ ที่มาพบกันที่นี่เจ้าค่ะ”
ได้ยินสตรีชั้นสูงผู้นี้เรียกขานฮูหยินซูด้วยชื่อของนาง เว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าจะต้องเป็นสหายที่มีความสนิทชิดเชื้อกับฮูหยินซูเป็นแน่ จึงรีบรวบรวมสติแล้วประคองฮูหยินซูเดินเข้าไปทักทายพร้อมๆ กับนางหลิว ส่วนนางตวนมู่นั้นเดินนำเสิ่นจั้งหนิงตามมาข้างหลัง… พลันได้ยินฮูหยินซูกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มว่า “ก็มิใช่รึ? น้องอวิ้นชิวไยวันนี้จึงมาเพียงลำพัง? น้องหานลู่เล่า?”
ระหว่างสนทนา ทั้งสองฝ่ายต่างเดินใกล้ชิดกันมาก เว่ยฉางอิ๋งกวาดตามองไป พลันอดตกตะลึงไม่ได้ กลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้านี้ นางดูแล้วรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นตา…โดยเฉพาะเด็กสาวชุดเหลืองไข่ห่านผู้หนึ่ง ดูท่าทีเงียบๆ กริยาสำรวม คนผู้นี้… มิใช่เว่ยลิ่งเยวี่ยหรอกหรือ?
เมื่อนางมองเห็นคนของจือเปิ่นถัง คนของจือเปิ่นถังก็สังเกตเห็นนางเช่นกัน สตรีชั้นสูงที่มีนามว่าอวิ้นชิวผู้นั้นแย้มยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกมาก่อนว่า “สองวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่มีอาการไอขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นป่วยไปด้วย จึงขอพระราชทานอภัยไว้ล่วงหน้า วันนี้จึงเป็นข้าพาพวกลูกๆ มาถวายพระพรแด่องค์หญิงเจ้าค่ะ”
จากนั้นสายตาของนางก็กวาดมาที่ตัวเว่ยฉางอิ๋ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้ายังมิทันได้แสดงความยินดีกับเรื่องมงคลในบ้านท่านพี่เลย…นี่คือสะใภ้สามของท่านพี่สินะเจ้าคะ ไม่เห็นหลายเดือน กลับดูแปลกตาไปนะ”
ฮูหยินซูมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าพลางตบที่มือเว่ยฉางอิ๋งเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมไปเสียสนิท ปีก่อนที่พวกเจ้ากลับเฟิ่งโจวไป คาดว่าคงได้พบเด็กคนนี้แล้ว จะว่าไปพวกเจ้าก็เป็นญาติกันนี่!” จึงแนะนำแก่เว่ยฉางอิ๋งไปว่า “นี่คือฮูหยินรองแห่งจือเปิ่นถัง เป็นพี่น้องร่วมตระกูลของท่านน้าสะใภ้ของพวกเจ้า” แล้วบอกอีกว่าผู้ที่ติดตามจางอวิ้นชิวมาก็ล้วนเป็นญาติเก่าแก่กัน และให้ทั้งสองฝ่ายได้ทักทายกัน
ปีก่อนซ่งเหมียนเหอนำเหล่าสตรีในจือเปิ่นถังไปพบแม่เฒ่าซ่งผู้เป็นย่าของเว่ยฉางอิ๋งที่รุ่ยอวี่ถัง ตั้งแต่ต้นจนจบแม่เฒ่าทั้งสองไม่แม้จะพูดจาตามมารยาทกันสักคำ สุดท้ายเป็นซ่งเหมียนเหอที่พ่ายแพ้ย่อยยับจนเป็นลมล้มพับไปต่อหน้า และถูกหามออกไปจากรุ่ยอวี่ถัง… เกรงว่าจือเปิ่นถังจะจดจำเรื่องนี้ได้ลึกซึ้งเสียยิ่งกว่ารุ่ยอวี่ถังเสียอีก
แม้ยามนี้จะอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่เหล่าสตรีตระกูลเว่ยยังคงยากจะลืมเลือนเรื่องแต่ครั้งก่อน เมื่อได้ยินว่าให้มาทักทายกัน สีหน้าของพวกนางจึงออกจะเย็นชาและมีอาการลังเลสักพัก เมื่อจางอวิ้นชิวกระแอมไอเป็นทีเร่งรัด จึงเข้าไปกล่าวคำทักทายอย่างฝืนใจ
พวกนางมีสีหน้าไม่ดี เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงภาพที่วันนั้นซ่งเหมียนเหอถูกหามออกไปจากประตู มุมปากของนางกลับอดจะโค้งขึ้นน้อยๆ ไม่ได้ แต่ก็กล่าวคำทักทายไปอย่างอบอุ่นว่า “พี่สะใภ้และน้องๆ ทุกท่าน คิดไม่ถึงว่าพอลากันที่เฟิ่งโจวแล้ว ก็ได้พบกันอีกรวดเร็วปานนี้!”
______________________________
[1] กิ่งทองใบหยก ในภาษาจีนมักนำมาเปรียบกับสตรีสูงศักดิ์ ที่มีทั้งเกียรติและอำนาจสูงส่ง โดยมากมักใช้กับราชนิกุล