ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 55
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 55 องค์หญิงชิงซิน
ตอนที่ 55 องค์หญิงชิงซิน
โดย
Xiaobei
กลับเห็นว่าในที่นั่งถัดจากองค์หญิงหลินซวน เป็นเด็กหญิงอายุราวสิบขวบคนหนึ่งในชุดฝ่ายในสีเขียวอ่อน หน้าตายังไม่โตเต็มที่ ทว่าเค้าโครงหน้าที่คล้ายคลึงกับฮองเฮากู้เป็นอย่างมาก จึงทำให้สามารถรู้ได้ว่าเมื่อนางเติบโตขึ้นจะต้องงดงามไร้ที่ติเป็นแน่… ท่านนี้คงจะเป็นองค์หญิงชิงซินพระธิดาแท้ๆ ของฮองเฮากู้ ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านในตำหนักตะวันออก
ซึ่งก็คือราชธิดาคนเล็กของฮ่องเต้ ซึ่งเป็นที่รักใคร่ยิ่งของฮ่องเต้เช่นเดียวกับองค์หญิงหลินชวน
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่กล้าล่วงเกินกิ่งทองใบหยกผู้นี้ จึงรีบส่งยิ้มไปให้นาง
เพียงแต่… หลังจากสายตาขององค์หญิงชิงซินถูกพบเห็นเข้า นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหันเหสายตาไปทางอื่น
คล้ายว่าข้าจะไม่เคยไปล่วงเกินองค์หญิงพระองค์นี้กระมัง? เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ถึงคิดที่กำลังขมวดของนาง พลันสะดุ้งอยู่ในใจ จากนั้นจึงคิดว่า ‘ก่อนหน้านี้ท่านพี่ไจ้สุ่ยเคยบอกว่าหลิวรั่วเหยียบีบบังคับจงลี่น้องสาวของสนมจงจนตายนั้น ก็ด้วยใช้โอกาสที่องค์หญิงชิงซินส่งเทียบเชิญให้จงลี่มาในวันประสูติของพระองค์ หลิวรั่วเหยียจึงได้พบกับจงลี่… คงมิใช่ว่าหลิวรั่วเหยียเคยเอาข้าไปพูดในทางที่ไม่ดีต่อหน้านางหรอกกระมัง?’
เมื่อคิดได้ดังนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเพิ่มความระวังตัวขึ้นมาไม่ได้… นางไม่มีแก่ใจไปสนใจผู้คนข้างล่างอีก แล้วคิดใคร่ครวญว่าหากองค์หญิงชิงซินทำให้ตนเองต้องลำบากแล้วจะรับมือเช่นใด…
เมื่อใกล้เวลาเที่ยง ท้องพระโรงฉางเล่อก็แน่นขนัดไปหมด สตรีชั้นสูงที่มีคุณสมบัติมาเข้าเฝ้าฯ ฮองเฮาและองค์หญิงล้วนอยู่ที่แล้ว ฮองเฮามองไปรอบๆ จึงกล่าวว่า “สองสามวันมานี้ท่านหญิงเจินอี้สุขภาพไม่ใคร่ดีนัก วันนี้จึงไม่อาจออกมาได้ อันจี๋ก็คอยอยู่เฝ้าพระมารดาของนางอยู่… นอกนั้นทุกคนก็มากันครบแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ก็เริ่มงานเลี้ยงกันเถิด”
จากนั้นก็มีคนในวังขึ้นมาเชิญให้ฮองเฮาย้ายมานั่งในที่นั่งหลักในที่จัดงานเลี้ยง สตรีชั้นสูงทั้งหลายที่อยู่ทั้งข้างในและข้างนอกล้วนถูกเชิญไปนั่งพร้อมกันด้วย
ฮองเฮากู้ลุกขึ้น พระสนมเติ้งก็ลุกขึ้นตามไปด้วย เว่ยฉางอิ๋งคิดจะเอื้อมมือไปประคองนาง แต่กลับเห็นว่านางกำนัลที่อยู่ข้างกายพระสนมเอกเข้ามาประคองมือพระสนมเอกก่อนก้าวหนึ่ง พลางหันมายิ้มให้นางและกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ลำบากฮูหยินน้อยเว่ยแล้ว เพียงแต่อย่างไรก็ให้ข้าน้อยประคองพระสนมเอกเถิดเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเก็บมือกลับไปอย่างเขินเก้อ ในใจยิ่งรู้สึกสงสัยเข้าไปอีก ดูไปแล้วพระสนมเติ้งก็ไม่เหมือนกับคนที่จะชอบตนเอง… ดังนั้นแล้ว พระสนมเอกเอาตนเองมาอยู่ข้างการเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเว่ยก็ดี ตระกูลเสิ่นก็ดี ล้วนไม่เคยมีความแค้นเคืองใดกับพระสนมเอกกระมัง? หากนับไปแล้ว เรื่องที่พระสนมเอกยื่นมือเข้ามาช่วยล้มเลิกการสมรสของซ่งไจ้สุ่ยและองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ ตระกูลเว่ยเองก็ออกแรงช่วยด้วย… อีกทั้งแม่เฒ่าเติ้งแห่งตระกูลซูซึ่งเป็นท่านอาหญิงในตระกูลของพระสนมเอกเติ้ง เว่ยฉางอิ๋งก็เรียนขานนางว่าท่านยายด้วย…
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร พระสนมเอกเติ้งล้วนไม่ควรจงใจหาเรื่องหาราวตนจึงจะถูก…
นางเดินตามกลุ่มคนไปด้วยความสงสัยจนถึงท้องพระโรงหลัก ซึ่งตอนนี้ท้องพระโรงหลักที่กว้างขวางมีที่นั่งจัดวางไว้จนเต็ม ที่นั่งหลักสามตำแหน่งเป็นของฮองเฮา พระสนมเอกและองค์หญิงหลินชวน ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่งอื่นๆ โดยรอบระยะหนึ่ง
พระสนมเอกเติ้งสั่งความผู้ติดตามว่า “จัดที่นั่งเพิ่มให้แก่เด็กผู้นี้ไว้ข้างหลังข้า” จึงมีนางกำนัลเสริมที่นั่งเข้าไปให้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองจากเรื่องนี้ พระสนมเอกเติ้งก็ดูไม่เหมือนจะสร้างความลำบากให้เว่ยฉางอิ๋งแล้ว เว่ยฉางอิ๋งคิดไปคิดมาก็ยังไม่เข้าใจถึงท่าทีที่แท้จริงของพระสนมเอก จึงเอาเป็นว่ายังไม่ต้องไปวุ่นวายใจ แล้วคำนับเป็นการขอบคุณ คิดว่าดีชั่วอย่างไรมาไม้ไหนข้าก็ต้านได้ทั้งสิ้น!
ถึงยามนี้ ฮองเฮากู้จึงเอ่ยคำตามพิธีการ โดยสั่งให้ทุกคนเข้านั่งตามลำดับขั้น… หลังจากวุ่นวายกันสักพักก็เข้านั่งที่เรียบร้อย ทุกคนจึงถวายพระพรแต่องค์หญิงหลินชวน คำชมเชยเรื่องความงามจึงดังขึ้นในยามนี้ ยิ่งมีหลายคนที่นำอัญมณีและสิ่งของมีค่าหายากนำมาถวายกับองค์หญิงนอกพิธี เพื่อเอาพระทัยองค์หญิง
แม้แต่ฮูหยินซูก็ยังนำไข่มุกราตรีที่มีขนาดเท่ากำมือทารกเม็ดหนึ่งออกมา หลังจากกล่าวคำอวยพรองค์หญิงหลินชวนแล้วก็มอบให้แก่นางกำนัลที่คอยรับอยู่
ส่วนองค์หญิงหลินชวนก็อมยิ้มและลงมาจากบัลลังก์เพื่อตอบรับคำอวยพร จึงขาดไม่ได้ที่จะทักทายปราศรัยโต้ตอบกันไปมา ทั้งยังเอ่ยคำชมกับบรรดาสตรีชั้นสูงและลูกหลานของพวกนางที่ต่างก็มีท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง เมื่อมาถึงฮูหยินซู องค์หญิงหลินชวนจึงเอ่ยถึงเสิ่นจั้งหนิงว่า “หนิงเอ๋อร์ร่าเริงน่ารัก ข้าชอบนางยิ่งนัก นี้ล้วนเป็นเพราะฮูหยินซูอบรมมาเป็นอย่างดี”
หลังจากที่สะใภ้ถูกดึงเข้าไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างฮองเฮาและสนมเอก นี่นับเป็นครั้งที่สองที่ฮูหยินซูต้องยิ้มเจื่อนๆ นางรู้สึกจากใจจริงว่ามิได้คิดว่าเสิ่นจั้งหนิงร่าเริงน่ารักเลยแม้แต่น้อย! หากองค์หญิงมิได้เอ่ยคำพูดนี้ต่อหน้าผู้คน นางก็จะต้องคิดว่านี่เป็นคำเย้ยหยันแล้ว! บุตรสาวที่คอยทำให้เป็นกังวลผู้นี้… หากมิได้เป็นบุตรของนาง… ช่างเถิด อย่าไปคิดให้มากเลย… คิดมากแล้วก็อดจะปวดหัวไม่ได้!
กลับเป็นเสิ่นจั้งหนิงเสียอีกที่เมื่อได้ยินคำชมขององค์หญิงหลินชวนแล้วก็ยิ้มระรื่นอย่างได้อกได้ใจ และเต็มใจรับคำชมนี้ยิ่ง
เมื่อได้รับคำถวายพระพรจากทุกคนเรียบร้อยแล้ว สุรารสเลิศอาหารชั้นดีก็ค่อยๆ ถูกส่งเข้ามา ฮองเฮากู้จึงสั่งให้คนนำนักดนตรีและนางระบำเข้ามาในโถงเพื่อสร้างความบันเทิงให้ทุกคน
เสียงดนตรีดังขึ้น ความครึกครื้นในโถงก็ยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงด้วย
เว่ยฉางอิ๋งจิบน้ำที่อยู่ในจอกไปอึกหนึ่ง รู้สึกแต่เพียงว่ารสชาติบางเบาสดชื่นและนุ่มนวลนัก มองดูสีของมัน ในความใสนั้นยังมีชั้นสีเขียวลอยอยู่ด้วย นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ ยิ้มและแนะนำว่า “นี่เป็นสุราลิ้นจี่เขียวที่หมักเองในวังเจ้าค่ะ หากฮูหยินน้อยไม่คุ้นเคยกับการดื่มสุรา ข้าน้อยจะไปเปลี่ยนเป็นน้ำเฉินเซียงหรือน้ำบ๊วยดำมาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ขอบใจเจ้ามาก สุรานี้ไม่นับว่าแรงนัก ข้ายังดื่มได้สักหน่อย” เว่ยฉางอิ๋งวางจอกสุราลง แล้วเอ่ยไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
นางกำนัลผู้นั้นรีบตอบกลับมาว่า “เรื่องการดูแลทุกท่านในวันนี้เป็นงานที่ข้าน้อยต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่อาจรับคำขอบคุณของฮูหยินน้อยได้เจ้าค่ะ ไม่ปิดบังฮูหยินน้อย ฤทธิ์ของสุราลิ้นจี่เขียวหลังดื่มไปแล้วกลับมีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งฟังคำเตือนที่นางเอ่ยออกมาอย่างกระตือรือร้นก็อดรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาไม่ได้ จึงพยักหน้าแล้วบอกว่า “ลำบากเจ้าบอกกล่าวแล้ว หาไม่ข้าก็ยังนึกว่าสุรานี้ดื่มแล้วไม่เมาเสียอีก” จึงเอาศอกถองฉินเกอที่อยู่ข้างกายเบาๆ ฉินเกาเข้าใจ จึงหยิบถุงเงินที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาจากแขนเสื้อมอบให้กับนางกำนัลผู้นั้น พลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยบ้านข้าเพิ่งจะเข้าวังมาเป็นคราแรก มีหลายเรื่องที่ยังไม่เข้าใจ หวังว่าพี่สาวจะช่วยเอาใจใส่ดูแลให้มากด้วยเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นก็มิได้ปฏิเสธ เมื่อรับถุงเงินไปแล้วก็ยิ้มพลางว่า “ข้าน้อยหลิวตี๋ ได้รับคำสั่งจากองค์ฮองเฮาให้คอยต้อนรับทุกท่าน ย่อมต้องทำเต็มความสามารถเจ้าค่ะ” แล้วจากนั้นก็แนะนำอาหารและของว่างบนโต๊ะแก่เว่ยฉางอิ๋งต่อ… ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังฟังอยู่นั้น นางกำนัลนางหนึ่งที่คอยรับใช้สนมเอกเติ้งอยู่ข้างหน้าก็เดินมาหาแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “สนมเอกให้ขยับที่นั่งของฮูหยินน้อยสักหน่อย เมื่อขยับเข้ามาใกล้ก็จะได้สนทนากันสะดวกเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าชักช้า รีบเอาผ้ามาเช็ดริมฝาก ลุกขึ้นจัดแจงกระโปรงแล้วบอกว่า “ได้”
นางขยับมานั่งที่ข้างหลังสนมเอก สนมเอกเติ้งไม่ออกปากใดๆ แต่กลับถือจอกทองสามขาเอาไว้ในมือ นั่งพิงอยู่บนที่นั่งอย่างสบายอกสบายใจ สายตาล้วนจับจ้องไปยังนางระบำที่กำลังเต้นระบำไปตามจังหวะดนตรีข้างล่างนั่น… ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์มาแล้วว่านางไม่ได้สนใจตน ครานี้เว่ยฉางอิ๋งจึงเตรียมตัวนั่งคอยอย่างระมัดระวังตัวเอาไว้แล้ว…
ไม่คิดว่าดวงตาของสนมเอกเติ้งยังคงมองดูระบำ แต่เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะมาถึง นางก็เอ่ยปากถามแล้วว่า “เจ้าเติบโตมาในเฟิ่งโจว คงจะคุ้นเคยกับสภาพดินฟ้าอากาศและนิสัยคอของคนในเฟิ่งโจว?”
“ทูลพระสนมเอก แต่เล็กมาหม่อมฉันเติบโตมาในจวน พอจักรู้อยู่บ้างเพคะ” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง พลางตอบไปโดยไม่ทันคิด
แล้วได้ยินสนมเอกเติ้งตอบว่าอืมมาคำหนึ่ง “เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังสักหน่อย”
…สนมเอกสอบถามเรื่องดินฟ้าอากาศและนิสัยใจคอของคนในเฟิ่งโจวทำสิ่งใดกัน? หรือว่าหมายตาบุตรหลานของรุ่ยอวี่ถังและคิดจะให้หลานสาวแต่งไปอยู่เฟิ่งโจวจริงๆ? เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดอยู่ดังนั้น จึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่สภาพอากาศ ภูมิประเทศ และสถานที่มีชื่อทำนองนั้นให้ฟัง
จู่ๆ สนมเอกเติ้งก็มองลงไปที่ห้องโถง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่รู้ว่านางกำลังฟังอยู่หรือกำลังใจลอยกันแน่ พูดๆ ไปจึงค่อยๆ พูดช้าลง แล้วสนมเอกเติ้งก็พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “อากาศในเฟิ่งโจวร้อนกว่าที่เมืองหลวง?”
เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง จากนั้นจึงบอกว่า “เพคะ เพราะว่า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็กลับได้ยินสนมเอกเติ้งคล้ายพึมพำเสียงเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจวี้ยนเอ๋อร์ขี้ร้อน อยู่ที่เมืองหลวงก็ยังทนไม่ไหวแล้ว อิ่งโจวอยู่ใต้ลงไปยิ่งกว่าเฟิ่งโจวเสียอีก ยิ่งจะต้องร้อนกว่า ไม่น่าจะเป็นที่ที่ดีอย่างไร!”
เจวี้ยนเอ๋อร์? เว่ยฉางอิ๋งเคยได้ยินซ่งไจ้สุ่ยบอกแต่เพียงว่าน้องสาวร่วมท้องของเติ้งจงฉีมีนามว่าวานวาน และก็ไม่รู้ว่าวานวานนี้เป็นนามรองหรือนามจริง หรือนามจริงของนางจะมีคำว่าเจวี้ยน? แต่ก็คิดอีกว่าสถานที่ที่สนมเอกเติ้งเอ่ยถึงคืออิ่งโจวหาใช่เฟิ่งโจวไม่… อิ่งโจว? คล้ายว่าอิ่งโจวไม่มีตระกูลใหญ่ใดๆ นี่!
ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ก็เห็นสนมเอกเติ้งมือสั่นขึ้นมาน้อยๆ จนเกือบทำสุราหกรดตนเอง แล้วกลับถอนหายใจเบาๆ ที่สุดก็หันหน้ามามองเว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่งแล้วว่า “ทำเจ้าตกใจแล้ว? ระยะนี้ร่างกายข้าไม่ใคร่ดี มักนึกว่าเจวี้ยนเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่”
เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง พลันเข้าใจขึ้นมาทันใดว่าเจวี้ยนเอ๋อร์คงจะเป็นพระนามขององค์ชายหก ปรากฏว่าสนมเอกเติ้งก็พูดต่อไปว่า “ปีนั้นองค์ฮ่องเต้เคยตรัสว่าจะให้เจวี้ยนเอ๋อร์ไปเป็นอิ่งอ๋องที่อิ่งโจว เพียงแต่เขายังไม่ทันได้รับตำแหน่งก็มาจากไปเสียแล้ว… หลังจากข้าได้รับคำจากองค์ฮ่องเต้ เคยใช้เวลามากมายไปสอบถามเรื่องราวของอิ่งโจว จนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว เมื่อเห็นคนที่มาจากอิ่งโจวหรือบริเวณใกล้เคียงเข้าเมืองมา ก็อดจะถามถึงสักคำสองคำไม่ได้”
อิ่งโจวอยู่ติดกับเฟิ่งโจว และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเฟิ่งโจว… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดอยู่ในใจ ‘ก่อนนี้ได้ยินว่าการสิ้นพระชนขององค์ชายหกตั้งแต่ทรงพระเยาว์นั้น มีความเกี่ยวข้องกับอดีตฮ่องเฮาเฉียนเป็นอย่างมาก นั่นเพราะองค์ชายหกเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้มาก จนสั่นคลอนตำแหน่งองค์รัชทายาทขององค์ชายสี่ในเวลานั้น ดังนั้นอดีตฮ่องเฮาเฉียนจึงได้… แต่ยามนี้เรื่องที่พระสนมเอกพูด แม้ฮ่องเต้จะรักใคร่องค์ชายหกมาก แต่กลับมิได้คิดจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งองค์รัขทายาทแต่อย่างใด กระทั่งบรรดาศักดิ์ท่านอ๋องและดินแดนศักดินาขององค์ชายหกก็ยังกำหนดเอาไว้แล้ว?’
ตามกฎเกณฑ์ของต้าเว่ย องค์ชายทุกพระองค์นอกเหนือจากองค์รัชทายาทแล้ว หากไม่มีเรื่องเกินคาดใดๆ โดยมากแล้วเมื่ออายุสิบหกก็จะให้สวมหมวกก่อนกำหนดและแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋อง เมื่อเป็นท่านอ๋องแล้ว นอกเสียจากว่ามีข้อยกเว้นใด ๆ หาไม่แล้วก็จะต้องไปปกครองที่ดินแดนศักดินาทุกพระองค์ หากไม่มีคำสั่งจากฮ่องเต้ก็จะไม่อนุญาตให้กลับมาในเมืองหลวงอีก
โดยปกติแล้วองค์ชายที่จะได้รับการสถาปนาเป็นท่านอ๋องล้วนต้องมีพระชันษาสิบห้าปีขึ้นไป ตอนที่องค์ชายหกสิ้นพระชนม์ไปแต่เล็กนั้นยังไม่ถึงวัยเกล้าผม ซึ่งก็หมายความว่าอายุยังไม่ถึงสิบสี่ปี ตามหลักแล้วพระองค์เพิ่งจะเริ่มเตรียมตัวรับการสถาปนาเท่านั้น… อิ่งโจว ที่แห่งนี้ห่างไกลจากเมืองหลวงนัก อยู่ต่ำลงไปทางใต้เป็นอย่างมาก แม้จะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็มิได้เป็นที่ที่พิเศษอันใด เมื่อมองดูดังนี้แล้ว ฮ่องเต้ออกจะทรงโปรดปราณองค์ชายหก จึงเลือกอิ่งโจวซึ่งเป็นที่ที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้ให้พระองค์แต่ก็ไม่ถึงโปรดปรานเป็นพิเศษ หาไม่ก็จะต้องให้เมืองอื่นที่มีความสำคัญมากกว่าให้พระองค์ โดยเฉพาะที่พระสนมเอกบอกว่าองค์ชายหกขี้ร้อน… อิ่งโจวนั้นถือว่าเป็นเมืองร้อนชื้นทีดียว…
เว่ยฉางอิ๋นพลันเกิดความคิดขึ้นใจ แล้วตอบกลับไปอย่างระมัดระวังว่า “มิกล้าปิดบังพระสนมเอก หม่อมฉันเพิ่งจะมาเมืองหลวง ไม่ทราบพระนามขององค์ชายหก จึง…”
“อุ๊” สนมเอกเติ้งวางจอกสุราในมือลงบนโต๊ะ แต่กลับยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “เป็นเด็กที่ซื่อตรงจริงๆ” และไม่รู้ว่าเป็นเพราะนึกถึงองค์ชายหกขึ้นมาหรือไม่ หรือด้วยสาเหตุอื่น สนมเอกจึงมีสีหน้าอ่อนโยนรื่นเริงขึ้นมา “เจ้าอยู่เฟิ่งโจวมาโดยตลอด ยามนี้แต่งออกมาอยู่ไกลบ้าน พอจะเคยชินแล้วหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวตอบไปด้วยท่าทีอ่อนน้อมว่า “เรียนพระสนมเอก แม้จากเฟิ่งโจวมาเมืองหลวงจะห่างไกลนัก ทว่าทุกคนในบ้านสามีล้วนรักใคร่ปรองดอง และดีกับหม่อมฉันมาก หม่อมฉันรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนดีไปหมดเจ้าค่ะ”
“ทุกสิ่งล้วนดีไปหมดรึ?” สนมเอกเติ้งยิ้มออกมา กล่าวว่า “นับว่าเจ้าเป็นคนมีโชคดี ราชองครักษ์ชินเสิ่นเป็นคนที่ไม่เลวเลย”
เว่ยฉางอิ๋งรีบขอบพระทัยสนมเอกเติ้งแทนเสิ่นจั้งเฟิง
สนมเอกเอ่ยถามนางเกี่ยวกับเรื่องชีวิตประจำวันอีกสองสามประโยค แล้วก็ค่อยๆ ไม่มีความสนใจอยู่บนใบหน้าของนางแล้ว นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติสนมเอกอยู่สังเกตเห็นสีหน้านางดังนั้น จึงเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยเสียงไม่ดังไม่เบาว่า “พระสนมเอกเพคะ ต่อไปเป็น ‘เพลงเก็บบัว’ เป็นระบำที่พระสนมเอกเคยตรัสชมเมื่อคราก่อนเพคะ”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำ จึงเอ่ยคำขอตัวขึ้นเอง “หม่อนฉันมิกล้ารบกวนความสำราญพระสนมเอกชมระบำเพคะ!”
สนมเอกเติ้งเองก็พยักหน้า กล่าวว่า “ข้าจะชมระบำก่อน แล้วจะไปสนทนากับเจ้าภายหลัง”
คำกล่าวนี้ย่อมไม่อาจถือเป็นจริงเป็นจังได้ เว่ยฉางอิ๋งย่อตัวคำนับตอบรับไปคำหนึ่ง… แล้วมีนางกำนัลเข้ามาจัดที่นั่งให้นางใหม่ไกลออกไป เพื่อมิให้บังสายตาของสนมเอก
แม้จะถึงย้ายออกไปไกลกว่าเมื่อครู่นี้ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้สึกไม่พอใจอันใด กลับกันนางกลับลอบโล่งอกเสียอีก เพราะวันนี้ต้องเข้าวัง ตั้งแต่ตื่นมาก็ไม่กล้าดื่มน้ำสักอึก ด้วยกลัวว่ายามอยู่ในวังแล้วภายในเรียกร้องขึ้นมาจะไม่สะดวก หลังจากเริ่มงานเลี้ยง เมื่อมองเห็นอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะนางก็รู้สึกหิวตั้งนานแล้ว แต่กลับได้ดื่มแค่สุราลิ้นจี่เขียวอึกหนึ่งเท่านั้น ยังมิทันคีบอาหารได้สองคำเลยก็ถูกพระสนมเอกเรียกไปพบแล้ว… ครานี้ออกมาพ้นหน้าพระสนมเอกแล้ว พอดีจะได้ทานอะไรสักหน่อย
เพียงแต่นางเพิ่งจะกัดกุหลาบกรอบไปคำหนึ่ง หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าไม่ไกลออกไปมีคนกำลังเดินเข้ามา… เว่ยฉางอิ๋งแอบร้องโอดครวญอยู่ในใจคำหนึ่ง ไม่อาจไม่รีบกลืนกุหลาบกรอบลงไป เช็ดมุมปากอย่างเร็ว และจับชายกระโปรงยกขึ้นคำนับ “หม่อมฉันถวายบังคมองค์หญิงชิงซินเพคะ เหตุใดฝ่าบาทจึงเสด็จมาเพคะ?”
จึงเห็นองค์หญิงชิงซินพานางกำนัลในชุดหลากสีสองนางมาตรงหน้านาง แล้วกวาดตาไปมองว่าบนโต๊ะนางยังมิได้ทันแตะต้องอาหารใดๆ จึงพลันชักสีหน้า แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามีคำพูดจะถามเจ้า!”
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า ปรากฏว่ามาหาเรื่องจริงๆ!
ใบหน้านางยังคงมีสีหน้านอบน้อม กล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทตรัสถาม หม่อมฉันหรือจะกล้าไม่ตอบ? ฝ่าบาทโปรดถามเถิดเพคะ!”
องค์หญิงชิงซินมองไปรอบๆ พบว่าแม้คนของฮองเฮากู้ สนมเอกเติ้งล้วนกำลังดูระบำอยู่ และบางคนก็กำลังสนทนายิ้มแย้มอยู่กับองค์หญิงหลินชวน… แต่ข้างล่างก็ยังมีสตรีชั้นสูงสองสามท่านสังเกตมาถึงตรงนี้ได้ จึงกล่าวว่า “เจ้าขยับออกไปสักหน่อย” ไม่รอให้เว่ยฉางอิ๋งตอบรับ องค์หญิงชิงซินก็นั่งลงบนที่นั่งของนางแล้ว พลางตบลงบนที่นั่งถัดไป บอกว่า “มา!”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “หม่อมฉันจักกล้าร่วมโต๊ะกับฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ? หม่อมฉันยืนก็พอเพคะ”
“ข้าให้เจ้านั่งลง เจ้ากล้าไม่ฟังรึ?” สมเป็นพระราชธิดาองค์เล็กของฮ่องเต้และฮองเฮาจริงๆ แม้องค์หญิงชิงซินจะมีพระชันษาไม่มาก แต่กลับมีราศีของราชนิกุลอย่างเหลือล้น นางเชิดคางขึ้น พลางเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหวว่า “สั่งให้เจ้ามานั่ง เจ้าก็ต้องมา!”
เว่ยฉางอิ๋งจนปัญญา จึงทำได้เพียงนั่งลงตรงตำแหน่งที่นางเอามือตบลงไป คิดว่าองค์หญิงชิงซินคิดทำการใดกันแน่ แล้วเห็นว่านางปรายตาไปมองพระสนมเอกเติ้งที่อยู่ข้างหน้าคราหนึ่งพลางลอบแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็หันหน้ามา กดเสียงลงต่ำเอ่ยถามว่า “หม่อมแม่เติ้งกล่าวสิ่งใดกับเจ้าบ้าง? หรือวางแผนทำร้ายเสร็จแม่หรือเสด็จพี่องค์รัชทายาทของข้า?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งมององค์หญิงชิงซินอย่างหมดคำพูด เห็นนางมีสีหน้าจริงจังนัก จึงคิดสักพักแล้วบอกว่า “ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไปแล้วเพคะ พระสนมเอกเรียกหม่อมฉันไปก็เพียงเพื่อสอบถามเรื่องสภาพอากาศของเฟิ่งโจว และถามหม่อมฉันว่าแต่งงานมาไกลบ้านคุ้นเคยหรือไม่ กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องอื่นเพคะ”
“จริงหรือ?” องค์หญิงชิงซินมองนางด้วยความเคลือบแคลงยิ่งพลางกล่าวไป “คราก่อนราชองครักษ์ซินเสิ่นเข้าวังมาขอบพระทัยองค์ฮ่องเต้ พอหม่อมแม่เติ้งเห็นเขาก็เอ่ยถึงเจ้าทันที ในเมื่อนางสนใจเจ้าเพียงนี้ พอวันนี้มาพบเจ้า แล้วจะไถ่ถามเรื่องพื้นๆ เพียงสองประโยคเช่นนี้หรือ?
เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่านี่ช่างเป็นการป้ายสีทั้งที่ไร้ความผิดจริงๆ นางจึงไม่อาจไม่ข่มใจตนและเอ่ยกลบเกลื่อนไปว่า “หม่อมฉันหรือจะกล้าปิดบังฝ่าบาทเพคะ?”
องค์หญิงชิงซินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวว่า “ดูท่าแล้วเจ้าก็คงไม่กล้าหลอกข้าหรอก!”
เว่ยฉางอิ๋งนึกว่าเมื่อนางเอ่ยเช่นนี้แล้วก็จะไป ไม่คิดว่าองค์หญิงชิงซินกลับพูดอีกว่า “ได้ยินว่าเจ้าเป็นวรยุทธ์?”
__________________________