ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 65
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 65 หลังงานเลี้ยง (1)
ตอนที่ 65 หลังงานเลี้ยง (1)
โดย
Xiaobei
“เจ้าเห็นจริงๆ รึ?” เมื่อกลับมาในห้องบรรทม นางกำนัลทั้งซ้ายขวาต่างรีบเข้ามาช่วยฮองเฮาปลดเปลื้องเครื่องเคราแสนหนักอึ้งบนศีรษะของนาง นางกำนัลคู่ใจก็สั่งให้คนไปหยิบเอาฆ้อนหยกอันเล็กมา แล้วคุกเข่าลงข้างตั่งบรรทมช่วยทุบขาให้ฮองเฮา พลางทุบขา พลางค่อยๆ รายงายข่าวคราวที่มีการรายงานขึ้นมาเป็นการภายใน
เดิมทีฮฮงเฮากู้กำลังกดนวดอยู่ที่หว่างคิ้ว เมื่อได้ยินว่ามีนางกำนัลเห็นคุณหนูสิบตระกุลหลิว หลิวรั่วอวี้เดินลงมาจากหอเชียนชิวและเดินตามคุณหนูแปดตวนมู่ที่เดินผ่านหอเชียนชิวไป นางก็หยุดมือลงทันใด พลางเอ่ยถามด้วยเสียงหนัก
นางกำนัลคู่ใจกล่าวเสียงเบาว่า “ครานั้นข้าน้อยกำลังอยู่ข้างๆ องค์ฮองเฮา แล้วจะเห็นกับตาได้ที่ใดเพคะ? เพียงแต่หลิวอวิ๋นเองก็ปรนนิบัติองค์ฮองเฮามาหลายปีแล้ว ทั้งยังทำงานอย่างตั้งใจมาโดยตลอด ตามหลักแล้วจึงไม่น่าพูดจาส่งเดชเพคะ”
ฮองเฮากู้กล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่ใช่บอกว่าด้วยมารดาของเด็กสาวผู้นี้เสียไปเร็ว นางจางซึ่งเป็นทั้งน้าสาวและแม่เลี้ยงของนางด้วย เพราะก่อนนี้ตนเองเคยเป็นบุตรจากอนุ คอยเจ้าคิดเจ้าแค้นแม่ใหญ่มาโดยตลอด จึงไม่ดีกับบุตรสาวของพี่สาวบุตรแม่ใหญ่เสียอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุให้เด็กสาวผู้นี้มีนิสัยขี้ขลาดยิ่งนักหรอกหรือ? ตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนมีนิสัยประหลาด ยามบุตรสาวตระกูลใหญ่ทั้งหลายพบเห็นนางล้วนพากันเดินอ้อมหลบไปให้ไกลยังไม่ทันเลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะเป็นฝ่ายเข้าหานางเอง หลิวรั่วอวี้ผู้นี้คิดการใดอยู่?”
นางกำนัลบอกว่า “สองสามวันก่อนมีข่าวมาจากตระกูลเสิ่นเพคะ”
“โอ๋?”
“บอกว่าด้วยเรื่องเล็กน้อยบางประการในเรือนหลัง ฮูหยินน้อยใหญ่บ้านเสิ่นจึงเชิญฮูหยินน้อยสามไปสนทนากันที่บ้านใหญ่ จากนั้นวันต่อมานางหวงซึ่งเป็นบ่าวติดตามของฮูหยินน้อยสามบ้านเสิ่น… ก็คือบ่าวที่ก่อนหน้านี้คอยดูแลรับใช้อยู่ข้างกายจี้ชวี่ปิ้ง ระหว่างที่จี้ชวี่ปิ้งพำนักอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยสองปีเพื่อรักษาเว่ยเจิ้งหงบุตรชายคนโตของภรรยาเอกตระกูลเว่ยผู้นั้น นางเอาของกำนัลมงคลสี่สีไปที่เรือนของจี้ชวี่ปิ้งมาหนหนึ่งเพคะ”
ฮองเฮากู้เข้าใจแล้ว จึงยิ้มพลางว่า “นางจางนี่ช่างใจคออำมะหิตจริงๆ! นางเห็นบุตรสาวของตนเป็นดั่งของล้ำค่า คาดว่าคงไม่ถึงขั้นทำร้ายจนหลิวรั่วอวี้ถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ว่า… ทางรอดแม้สักน้อยก็ยังไม่เหลือเอาไว้ให้ลูกเลี้ยง ไม่กลัวบ้างหรือว่าในยามที่หลิวรั่วอวี้กำลังสิ้นหวังแล้วจะหันมาสู้ตายกับนาง?”
“ความจริงแล้วที่นางจากทำเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ดีชั่วองค์ฮ่องเต้ก็ไม่โปรดให้บุตรสาวของตระกูลสูงศักดิ์ให้กำเนิดพระราชนัดดาในพระชายาเอก” นางกำนัลยิ้มแล้วยิ้มอีก กล่าวว่า “เพียงแต่ก็ไม่ทราบว่านางทำผิดพลาดประการใด จึงให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวต้องมาขอการรักษาขึ้นมาในยามนี้นะเพคะ”
“จี้ชวี่ปิ้งเป็น หมอเลื่องชื่อในเขตทะเล สมดังคำร่ำลือจริงๆ” ฮองเฮากู้ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งจึงกล่าวว่า “ตามที่คนว่ากัน หากเขารับปากคำขอร้องของนางหวง หลิวรั่วอวี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาตวนมู่ซินเหมี่ยวอีก โดยเฉพาะที่นางมาตามตวนมู่ซินเหมี่ยวไปในตำหนังเว่ยยางเช่นนี้ยิ่งเป็นการทิ้งร่องรอย ดูท่าว่าก่อนนี้เรื่องที่นางหวงรับปากไว้จะไม่สำเร็จกระมัง? ภายหลังหลิวอวี๋นได้พบเห็นหลิวรั่วอวี้อีกหรือไม่?”
นางกำนัลส่ายหน้า “หลิวอวิ๋นเดินตามไปสองสามก้าว แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวและหลิวรั่วอวี้เดินไปคุยไป หลิวอวิ๋นกลัวจะถูกพบเห็นจึงมิได้ตามต่อไปเพคะ จากที่นางสังเกตดู เห็นชัดว่าหลิวรั่วอวี้ดูร้อนรนยิ่ง แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้ไยดีใดๆ คล้ายไม่ใคร่อยากสนใจหลิวรั่วอวี้เพคะ”
“แม้จี้ชวี่ปิ้งจะสามารถรักษาคนใกล้ตายให้หายได้ ทว่ากลับมิได้มีจิตเมตตาของแพทย์เท่าใดนัก” ฮองเฮากู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “เรื่องนี้ก็ไม่แปลก เดิมทีเขาก็เป็นคุณชายในตระกูลร่ำรวย มีอนาคตยาวไกล จู่ๆ ก็ต้องมาบ้านแตกสาแหรกขาด ตนเองยังถูกหมายหัวไปด้วย คนในตระกูลก็หาได้มีสักคนที่แอบมาช่วยเขาเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่ว่าตนเองมีพรสวรรค์มีทั้งกลอุบาย จึงได้เก็บซ่อนบันทึกทางการแพทย์ของจี้อิงเอาไว้ หากไม่แล้วหากต้องข้นแค้นเจ็บป่วยจนตายอยู่ข้างถนนก็หาได้มีผู้ใดเหลียวแลไม่ คงมีเพียงเสื่อผุผืนหนึ่งห่อศพและเอาไปฝั่งไว้เรื่อยเปื่อยนอกเมือง ให้หมาจรจัดคุ้ยออกมาแบ่งกันกิน… ผู้ที่เคยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ยามนี้จะให้มีจิตเมตตาไหวได้อย่างไร?”
แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวศิษย์ของเขาผู้นี้ก็เคยมีประสบการณ์ก็ที่แทบไม่ต่างกัน เดิมทีตวนมู่เวยเหมี่ยวพี่สาวแท้ๆ ของนางสูงศักดิ์ถึงขั้นเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ทั้งยังรักใคร่กับสามีเสียยิ่งและมีบุตรชายด้วยกัน ฐานะมั่นคงดังขุนเขาและกำลังอยู่ในช่วงที่ทุกสิ่งราบรื่นนัก แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อลมเปลี่ยนทิศ ไร้ซึ่งสามีแล้ว ตนเองก็ไม่ใช่พระชายาองค์รัชทายาทอีก หากมิใช่เพราะฮ่องเต้เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกและเด็กน้อยที่ไร้ความผิด จึงยังให้ฐานันดรน้อยนิดแก่นาง ก็นับว่าร่วงจากฟ้าลงสู่ดินแล้ว ก่อนนี้ด้วยอาศัยบารมีของพี่สาวผู้นี้ เมื่ออยู่ในเมืองหลวง จึงทำให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวพลอยได้รับการปฏิบัติประหนึ่งพระธิดาไปด้วย แต่ภายหลังกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ทั้งยังมีคนจำนวนมากคอยเยาะหยันถากถางและเฝ้าดูความหายนะของนางอย่างสำราญ… จี้ชวี่ปิ้งยอมรับนางเป็นศิษย์ ไม่แน่ว่าอาจเพราะมีหัวอกเดียวกัน”
นางกำนัลเม้มปากยิ้ม “องค์ฮองเฮาตรัสถูกต้องแล้วเพคะ จี้ชวี่ปิ้งทั้งศิษย์อาจารย์ล้วนเป็นคนเลือดเย็นยิ่ง คุณหนูหลิวสิบต้องการขอให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวรักษานางเกรงว่าจะไม่ง่าย”
“แม้ข้าเองก็ไม่หวังให้หลิวรั่วอวี้มีทายาท” ฮองเฮากู้หลับตาลงอยู่เนิ่นนาน ยามลืมตาขึ้นมากลับกล่าวว่า “ทว่าตระกูลหลิวก็ข่มเหงกันสาหัสเกินไป… อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดอ่านเล็กน้อยนั้นของพวกเขา ก็มิใช่เพราะเห็นว่ามีพระราชโอสรมีพระโอรสพระธิดาหลายพระองค์อยู่แล้ว จึงรู้สึกไม่พอใจ กลัวว่าจะทำให้บรรดามุกในมือของพวกเขาต้องน้อยเนื้อต่ำใจรึ?”
“ไม่ว่าจะเป็นมุกในมือเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดา จักมาเทียบกับองค์รัชทายาทที่เป็นทายาทสวรรค์ได้อย่างไร?” นางกำนัลสำทับไปว่า “องค์ฮองเฮาทรงหมายตาบุตรสาวตระกูลหลิว ถือเป็นบุญของตระกูลหลิวแล้ว! เหล่าตระกูลสูงศักดิ์นี่ช่างบังอาจจริงๆ!”
ฮองเฮากู้เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “หลิวรั่วอวี้ผู้นี้ ที่ใดจะเทียบกับซ่งไจ้สุ่ยได้? หากมิใช่เพราะ…” นางขมวดคิ้วคราวหนึ่งคล้ายพะว้าพะวังไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “ต่อให้ซ่งไจ้สุ่ยไม่ยินยอม ข้าก็จะสั่งให้นางแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแต่โดยดี และมาเป็นแรงหนุนที่ดีให้แก่พระราชโอรสของข้า! ตระกูลซ่งอบรมสอนสั่งและบ่มเพาะนางตามคุณสมบัติของมารดาแห่งแผ่นดินมาอย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อให้นางมาเป็นว่าที่สะใภ้แห่งราชสำนัก… นี่ต่างหากจึงเป็นคุณลักษณะของพระชายาเอกที่พระราชโอรสของข้าควรจะมี! แต่กลับต้องมาพลาดท่าให้กับตำหนักหมิงกวงเสียได้!”
ตำหนักหมิงกวงเป็นตำหนักของสนมเอกเติ้ง นางกำนัลกล่าวปลอบฮองเฮาไปว่า “ตำหนักหมิงกวงทางนั้น ทึกทักไปเองว่าตนเป็นผู้วางแผนทำลายงานอภิเษกหนนี้ ความจริงแล้วหากองค์ฮองเฮามิได้มีความต้องการเช่นนี้ อาศัยเพียงนางหรือจะทำสำเร็จ? ทั้งยังส่งเติ้งจงฉีไปที่ชิงโจวเป็นการพิเศษ… เกรงว่าท่านผู้นั้นจนป่านนี้ก็ยังรู้สึกว่าการนำพี่น้องของสนมจงมาที่เมืองหลวงเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ฮองเฮา แต่กลับไม่คิดว่าต่อให้นางไม่ทำเช่นนี้ ฮองเฮาก็เตรียมการจะพาครอบครัวของสนมจงมาอยู่แล้ว”
“นางจงมาจากครอบครัวเล็กๆ เท่านั้น หลังจากมั่งมีศรีสุขขึ้นมาก็ไม่ใคร่เชื่อฟังแล้ว ถึงขั้นลืมตัวคิดจะใช้ประโยชน์จากข้าเพื่อให้ตนเองบรรลุเป้าหมาย ได้ขึ้นมาอยู่บนฟ้าแล้วก็จะผละหนีไป! ไร้เดียงสาเสียจริง!” ฮองเฮากู้พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “แต่ว่าเมื่อได้เห็นความตายของจงลี่ก็ทำให้นางรู้จักฉลาดขึ้นมาบ้าง! คำพูดที่เอ่ยถึงอาหลินในงานเลี้ยงวันนี้ แม้ที่ข้าพูดนั้นต้องการให้นางเติ้งได้ยิน แต่ก็จะพูดให้นางได้ยินด้วย! แม้มิใช่ว่าทุกคนจะมีท่วงทีและรูปโฉมเช่นนาง แต่ใต้หล้านี้มีคนนับหมื่นนับพัน หญิงสาวที่มีความพิเศษท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นมีอยู่ถมเถ หาใช่ว่าข้าไม่มีนางไม่ได้!”
นางกำนัลยิ้มพลางว่า “ความจริงแล้วจงลี่ก็เป็นหญิง จงเจี๋ยผู้นั้นก็นับว่าเป็นญาติผู้ชายเพียงคนเดียวในครอบครัวแล้ว นอกเสียจากว่าสนมจงอยากให้สกุลจงไร้คนจุดธูปเซ่นไหว้ หาไม่แล้วก็จะไม่ทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้อีกเพคะ”
สนมเสี่ยวอี๋แซ่จงมีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง ตำแหน่งของนางก็ไม่สูง ต่อให้สามารถแบ่งปันความรักของฮ่องเต้จากสนมเมี่ยวมาได้ ทว่าก็ยังนับว่าห่างไกลจนไม่ถึงขั้นคุกคามฐานะของสนมเอกเติ้งได้ นายบ่าวทั้งสองสนทนากันไปอีกสองสามคำก็ไม่เอ่ยถึงนางอีก ฮองเฮาพลันถามอีกว่า “เมื่อครู่คล้ายว่าเม่ยเม่ยจะมาหาเจ้า? มีเรื่องใด?”
“บอกว่าเป็นเรื่องระหว่างกลับจากหอเชียนชิวมาที่ท้องพระโรงเพคะ เฉียนมั่วเอ๋อร์ไปยั่วยุเว่ยฉางอิ๋ง แล้วถูกเว่ยฉางอิ๋งพูดเสียจนร้องไห้ จึงได้พาลมาถึงนาง บอกว่านางไม่ยอมเข้ามาช่วย หลังจากทั้งสองคนทะเลาะกันจนแตกหักจึงมาข้อความคิดเห็นจากหม่อมฉันเพคะ” นางกำนัลกล่าวตามสัตย์
ฮองเฮากู้แค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง “จริงรึ?”
“หม่อมฉันสอบถามแล้ว ความจริงแล้วคุณหนูกู้กำลังนินทาเว่ยฉางอิ๋งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน จากนั้นเฉียนมั่วเอ๋อร์ได้ยินเข้าจึงผสมโรงไปด้วยสองสามคำ และไม่รู้ว่าเพราะเสียงดังไปสักหน่อยหรืออย่างไร เว่ยฉางอิ๋งจึงบังเอิญได้ยินเข้าพอดี ทั้งยังเป็นคำไม่น่าฟังเสียด้วย… จึงถูกเว่ยฉางอิ๋งลอบเด็ดดอกทับทิมดอกหนึ่งซัดโดนปาก ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันขึ้นมาเพคะ…” นางกำนัลบอกเล่าสถานการณ์ตามจริงไปแต่ต้นจนจบ ฮองเฮากู้ได้ยินแล้วสีหน้าก็พลันไม่ใคร่ดีขึ้นมา กล่าวว่า “เหตุใดเม่ยเม่ยจึงได้ขี้ขลาดเช่นนี้? ทำให้ข้าผิดหวังเสียจริงๆ!”
นางกำนัลยิ้มพลางอธิบายแทนกู้เม่ยเม่ยว่า “หญิงสาวล้วนกลัวเสียหน้านะเพคะ ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นก็ดุร้ายนัก ผู้ที่สามารถเข้าวังมาถวายพระพรฝ่าบาทในวันนี้ มีผู้ใดที่ไม่มีฐานะสูงส่ง แล้วผู้ใดจักยอมทำเรื่องอันตรายเช่นนั้นเล่าเพคะ? ซึ่งเมื่อว่ากันตามตรงแล้ว ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นก็เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง ทั้งเรื่องนี้ก็มิใช่ความแค้นเป็นตายใหญ่หลวงอันใดสักหน่อย…”
ฮองเฮากู้ขัดนางขึ้นมาว่า “ก็เพราะมิใช่ความแค้นเป็นตายใหญ่หลวง ดังนั้นหากเป็นข้า ข้าก็คร้านจะไปวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ! แต่ในเมื่อวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้ว และอีกฝ่ายก็มาเค้นเอาความต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ แต่ตนเองกลับทำสิ่งใดไม่ถูกและไม่กล้ายอมรับ… เช่นนี้มิเท่ากับทำให้ผู้คนดูแคลนตนหรอกหรือ? เม่ยเม่ยช่างโง่เง่าเกินไปจริงๆ!”
นางกำนัลว่า “คุณหนูกู้อายุยังน้อย…”
“นางก็สิบหกแล้ว” ฮองเฮากู้แค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “ปีนี้อันจี๋เพิ่งอายุสิบสี่ หากนับไปแล้วในบรรดาองค์หญิงที่ยังไม่เสกสมรสนางเป็นคนที่ไม่เป็นที่รักที่สุด จนแม้แต่บรรดาศักดิ์องค์หญิงของนางนี้ ก็เพราะครานั้นฮองเต้มีพระประสงค์จะมอบบรรดาศักดิ์แด่ชิงซิน ฝ่ายพิธีการในกรมอาลักษณ์ยืนกรานว่าอันจี๋โตกว่าชิงซิน หากไม่มอบบรรดาศักดิ์ให้อันจี๋ก็จะไม่อาจมอบให้ชิงซินได้ และขืนขอให้นางจนสำเร็จ หาไม่แล้วจนนางเสกสมรสก็จะไม่มีแม้บรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง! แม้เป็นเช่นนี้ เจ้าดูสิว่าปีก่อนหลินชวนหัวเราะเยาะนางเพียงครั้ง นางก็ยังแค้นมาจนวันนี้ คอยหาวิธีหาเรื่องหลินชวนตลอดเวลา ฮ่องเต้ทรงเคยลงโทษนาง ข้าเองก็เคยลงโทษนาง แล้วางเคยกลัวหรือไม่? หรือทั้งฮ่องเต้และข้ายังสามารถลงโทษนางจนถึงตายด้วยเรื่องที่นางคอยกลั่นแกล้งหลินชวนที่จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่เล็กก็ไม่เชิงนี่?”
ฮองเฮาถอนหายใจหนหนึ่ง “อันจี๋และท่านหญิงเจินอี้ล้วนไม่เป็นที่โปรดปราน หนำซ้ำยังไม่ยอมถูกข่มเหงแต่โดยดีนี้ด้วย! เม่ยเม่ยยังมีอาเช่นข้าอยู่ แล้วไยนางจึงไม่ได้การเช่นนี้? ทั้งยังทะเลาะจนตัดขาดกับเฉียนมั่วเอ๋อร์เสียแล้ว…” ฮองเฮาส่ายหน้า “ไม่ได้การเสียเหลือเกิน! หากมิใช่ว่าที่บ้านฝั่งแม่ของข้าไม่มีเด็กสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับนาง ข้าจะไม่เอานางแน่!”
แม้ฮองเฮาจะผิดหวังกับกู้เม่ยเม่ยถึงเพียงนี้ แต่อย่างไรนางก็เป็นหลานสาวฝั่งมารดา นางกำนัลจึงไม่อาจเอ่ยสำทับตามไปได้ ทำได้เพียงเอ่ยถึงเรื่องอื่นขึ้นมาว่า “วันนี้หม่อนฉันสังเกตเห็นว่านางเติ้งกลับมิได้สนใจฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นเท่าใดนักเพคะ”
“ดูท่าวันนั้นนางจะเพียงเอ่ยขึ้นมาลอยๆ จริงๆ ก็เพียงเอ่ยเรื่องเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมา เพื่อจะได้พูดไปถึงเรื่องของหลินชวนได้” ฮองเฮากู้พยักหน้าบอกว่า “แม้จะบอกว่าตระกูลเว่ยจักต้องรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องของซ่งไจ้สุ่ย ไม่แน่ว่าอาจจะลงมือช่วยด้วย แต่รุ่ยอวี่ถังและจือเปิ่นถังแห่งตระกูลเว่ยต่างก็เข้าหน้ากันได้ไม่สนิทใจเสมอมา และมีการต่อสู้กันอยู่ภายในอย่างรุนแรง รุ่ยอวี่ถังนั้นเพราะเว่ยเจิ้งหงล้มป่วยเป็นเวลานาน ได้ยินว่าบุตรชายของเขาเว่ยฉางเฟิงเป็นคนที่โดดเด่นยิ่งในบรรดาคนในรุ่นเดียวกัน แม่เฒ่าซ่งเองก็เป็นคนปราดเปรื่อง… เรื่องราวสับสนวุ่นวายเช่นนี้ เว่ยฮ่วนย่อมไม่อยากเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้ในเมืองหลวงนี้ และจักต้องกำชับหลานสาวเอาไว้แล้ว คิดว่านางเติ้งก็ต้องเข้าใจหลักการนี้ดีเช่นกัน หากนางไปหลอกล่อเว่ยฉางอิ๋งมา แล้วเว่ยฮ่วนรู้เข้าก็จะต้องเกิดความระแวงและรังเกียจนาง เดิมทีนางก็ไม่มีบุตรชายอยู่แล้ว องค์ชายสิบหกและสิบเจ็ดที่สนมเมี่ยวคนของนางรับเลี้ยงดูก็เพิ่งอายุเท่าใดเอง? แล้วจักไปล่วงเกินตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวไหวที่ใดกัน!”
____________________________________