ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 67
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 67 หลังงานเลี้ยง (3)
ตอนที่ 67 หลังงานเลี้ยง (3)
โดย
Xiaobei
ภายในวังหลวง ฮองเฮาหนึ่ง สนมเอกหนึ่งต่างก็มีแผนการของตนเอง ยามนี้จึงพากันสงบนิ่งไม่ร้อนอกร้อนใจใดๆ
ส่วนฮูหยินซูที่กลับมาถึงบ้านนั้น ไม่ว่าอย่างไรกลับไม่อาจสงบลงได้ จนแทบจะให้บ่าวข้างกายออกไปตั้งแต่นางเข้าประตูมา ให้เหลือไว้แต่เพียงสะใภ้และบุตรสาว ยังมิทันนั่งลงก็จับเสิ่นจั้งหนิงมาไต่ถาม “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงรึ?”
เสิ่นจั้งหนิงพยักหน้ายืนยัน… แต่จนใจเหลือ ที่ในสายตาของฮูหยินซูนั้นนางไม่ควรค่าแก่การเชื่อถือเอาเสียเลย ดังนั้นฮูหยินซูจึงจับจ้องนางอยู่เป็นนานแม้จะมองไม่ออกว่านางมีท่าทีรู้สึกผิด แต่ก็กลับยังไม่วางใจ พลันชี้ไปหานางแล้วขึ้นเสียงว่า “ข้าจะบอกเจ้า หากมีเพียงเรื่องที่เจ้าส่งเสริมให้องค์หญิงชิงซินวิ่งไปเล่นที่อุทยานอวี้ฮวาโดยพลการเรื่องเดียวเท่านั้น อย่างมากข้าก็จะตีเจ้ายกหนึ่ง! แต่หากเจ้ายังกล้าโกหกอีก ข้าก็จะขังเจ้าไว้แต่ในเรือน วันหน้าเจ้าก็อย่าได้หวังว่าจะไปเรือนท่านยายของเจ้าอีกเลย! ได้ยินแล้วหรือไม่?”
แม่สามีดุน้องสามี ผู้เป็นสะใภ้ย่อมต้องเข้ามาช่วยประนีประนอม จึงพากันปรามฮูหยินซูว่า “แม้น้องสี่จะซุกซนไปบ้าง แต่ก็รู้ขอบเขตเสมอมา ในเมื่อน้องสี่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจดังนั้น คิดว่าคงจะไม่ผิดแน่… เพียงแต่เป็นเรื่องใดกันแน่เจ้าคะ? ตลอดทางเห็นสีหน้าท่านแม่ไม่ใคร่ดีเลย มิสู้เอ่ยออกมาให้สะใภ้ดูว่าสามารถแบ่งเบาความกังวลของท่านแม่ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ฮูหยินซูแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง ก่อนอื่นนางยังไม่ตอบไปว่าเป็นเรื่องใด แต่บอกว่า “นางมีขอบเขตอันใด? ข้าไม่ยักมองออกเลย! ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าคอยปกป้องนางไว้ทุกด้าน โอ๋กันจนเป็นเช่นนี้ ไม่มียามใดเลยที่ไม่ทำให้เดือดร้อน!”
คนที่เข้ามาประนีประนอมพลอยถูกตำหนิไปด้วย จึงพากันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดจึงจะดี
เสิ่นจั้งหนิงกลับไม่รู้สึกเสียอกเสียใจ ดีชั่วอย่างไรปกตินางก็ถูกฮูหยินซูสงสัยมามิใช่เพียงหนสองหนแล้ว ยามนี้จึงเพียงทำปากจู๋แล้วว่า “ท่านแม่ไม่เชื่อ ก็ส่งคนไปลองสอบถามท่านน้าสะใภ้รองที่ตระกูลซู มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือเจ้าคะ? เรื่องนี้จะปิดบังได้หรือ? ข้าก็ไม่ได้โง่ที่จะจงใจพูดโกหกหลอกท่านแม่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วภายหลังต้องมาถูกท่านแม่ตีเพิ่มอีกเท่าตัว ข้าไยต้องทำเรื่องโง่เช่นนี้?”
…ฮูหยินซูกลับเชื่อคำพูดนี้ บุตรสาวของตนแม้จะชอบก่อเรื่องให้เดือดร้อน แต่ก็ไม่โง่จริงดังว่า… เมื่อพูดกลับมา หากเสิ่นจั้งหนิงเป็นคนโง่จริงๆ ก็จะไม่มีทางก่อเรื่องราวมากมายเช่นนี้ออกมาได้!
นางถลึงตาแรงๆ ใส่บุตรสาว และที่สุดฮูหยินซูก็นั่งลงได้เสียที แล้วบอกเล่าเรื่องราวแก่บรรดาลูกสะใภ้ “หนิงเอ๋อร์บอกว่า เมื่อครู่นี้ยามพวกนางพากันห้อมล้อมองค์หญิงชิงซินเพื่อชมดอกบัวในอุทยานอวี้ฮวาอยู่นั้น ได้พบกับองค์ชายสิบเอ็ด”
ได้พบกับองค์ชายสิบเอ็ดในอุทยานอวี้ฮวาก็เป็นเรื่องแสนปกติ ทว่าหากเพียงแค่ได้พบกันธรรมดาๆ ยามได้ยินเสิ่นจั้งหนิงมากระซิบข้างหู สีหน้าของฮูหยินซูก็ไม่เปลี่ยนไปมากมายเพียงนั้น ปรากฏว่าฮูหยินซูพูดต่อไปว่า “เมื่อองค์ชายสิบเอ็ดและองค์หญิงชิงซินทักทายกันแล้ว ก็ทรงสนทระทัยอวี๋เฟยยิ่งนัก ทั้งยังเลียบๆ เคียงๆ สอบถามว่าอวี๋เฟยเป็นคุณหนูบ้านใดด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งมาถึงเมืองหลวงไม่นาน ยังไม่คุ้นเคยกับของราชสำนักแต่อย่างใด แต่นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนเป็นชาวเมืองหลวงมาแต่กำเนิด พวกนางกลับพากันมีสีหน้าลำบากใจออกมา
นางหลิวกล่าวอย่างปวดหัวว่า “องค์ชายสิบเอ็ด… เหตุใดจึงได้ไปพบกับพระองค์กันเล่า?”
ฮูหยินซูถอนหายใจบอกว่า “ก็มิใช่รึ? เดิมที่อวี๋เฟยก็ถึงวัยที่จะพูดเรื่องแต่งงานแล้ว เพียงแต่ท่านน้าสะใภ้รองของพวกเจ้ารักใคร่บุตรสาว คิดจะเก็บพวกนางเอาไว้สองปีค่อยแต่งออก ดังนั้นแม้ยามนี้จะหมายตาคุณชายหนุ่มน้อยในเมืองหลวงเอาไว้แล้ว แต่กลับยังมิใคร่นำมาใส่ใจนัก ไม่คิดว่ายามนี้กลับไปพบกับองค์ชายสิบเอ็ด! องค์ชายพระองค์นี้แม้จะมีฐานะสูงส่ง ทว่าโจวเป่าหลินมารดาของนางเคยเป็นคนสนิทของอดีตฮองเฮาเฉียน หลังจากฮองเฮากู้องค์ปัจจุบันเข้ามาครองตำหนักกลางไม่นานนางก็ป่วยตาย ภายหลังองค์ชายสิบเอ็ดก็ได้ท่านหญิงเจินอี้พระมารดาขององค์หญิงอันจี๋รับเลี้ยงดู แต่สุขภาพของท่านหญิงเจินอี้ก็ไม่ใคร่ดี สามวันดีสี่วันไข้ ดังนั้นความจริงแล้วนางก็เพียงปล่อยให้เขาเติบโตมาเองในตำหนักเจียมู่เท่านั้น องค์ชายเป็นหนุ่มน้อยแสนอ้างว้าง ทั้งไม่มีคนเอาใจใส่อบรมตักเตือน จึงอดจะเป็นคนอารมณ์ร้อนสักหน่อยไม่ได้ เท่าที่ได้ยินมา หลายปีมานี้มีหลายชีวิตต้องสังเวยอยู่ใต้น้ำมือขององค์ชายแล้ว ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่พระองค์เป็นคนลงมือเองด้วย…อวี๋เฟยเจ้าเด็กคนนี้ถูกตามใจมาแต่ไหนแต่ไร เหมาะจะเป็นสะใภ้หลวงที่ใดกัน?”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจว่าองค์ชายสิบเอ็ดมีสิ่งใดไม่ดี แต่เมื่อรวมกับท่าทีปวดหัวหนักหนายามนางหลิวเล่า ทั้งยามนี้ที่ได้ฟังจากฮูหยินซูอธิบายมาถึงได้เข้าใจ องค์ชายสิบเอ็ดผู้นี้มีนิสัยโหดร้ายเช่นนี้ แม้จะบอกว่าตอนนี้เขาเพียงลงมือกับพวกนางกำนัลก็ตามที แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะทำเช่นนี้กับพระชายาเอกหรือไม่เล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีซูอวี๋เฟยก็มิใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนและสามารถอดทนอะไรไหว ดูแต่เพียงที่นางแต่งหน้าแบบน้ำตาเลือด แบบหน้าร้องไห้อะไรทำนองนั้นอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งยังเอาไปสอนเสิ่นจั้งหนิงซึ่งเป็นลูกผู้น้องอย่างกระตือรือร้นแล้ว ก็รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นพวกชอบเล่นชอบซุกซน เด็กที่เป็นเช่นนี้ ผู้ใหญ่ที่มีความคิดอ่านแม้เพียงน้อยก็จะหาสามีที่ใจดีซื่อตรงให้แก่นาง แต่หากแต่งกับคนอารมณ์ร้ายเช่นองค์ชายสิบเอ็ด… แม้ว่าฮูหยินรองตระกูลซูก็แซ่จางเช่นกัน แต่นางก็มิใช่แม่เลี้ยงของหลิวรั่วอวี้! อีกประการนางจางซึ่งเป็นฮูหยินห้าแห่งตระกูลหลิวผู้นั้น ก็คือคนที่ไม่ดีต่อลูกเลี้ยงและไม่ยอมผลักไสให้บุตรสาวแท้ๆ ของตนเข้าวังตะวันออกมิใช่หรือ?
ก็มิน่าเล่าเมื่อฮูหยินซูได้ยินข่าวจึงเป็นกังวลเพียงนี้ แม้จะบอกว่าซูเม่าบิดาของซูอวี๋เฟยจะไม่ใช่บุตรจากภรรยาเอก แต่อย่างไรก็เป็นน้องชายร่วมบิดาของฮูหยินซู อีกประการฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินซู คุณชายสิบเอ็ดผู้นี้ก็ยังมีความแค้นเรื่องสังหารมารดากับฮองเฮากู้อีกด้วย!
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดฮองเฮากู้จึงยอมปล่อยให้องค์ชายสิบเอ็ดเติบโตมาอย่างได้อย่างปลอดภัย แต่ยามนี้องค์ชายสิบเอ็ดก็อายุสิบหกแล้ว และยังมิได้บรรดาศักดิ์เป็นท่านอ๋องแต่อย่างใด… มารดาแท้ๆ ของเขาโจวเป่าหลินก็เสียไปนานแล้ว แม่เลี้ยงของเขาท่านหญิงเจินอี้ก็มีสุขภาพไม่ใคร่ดียังไม่ว่า นางก็ยังไม่เป็นที่โปรดปรานของฮองเต้ด้วย แม้แต่องค์หญิงอันจี๋พระธิดาแท้ๆ ของนางเองก็ยังไม่มีปัญญาปกป้อง แล้วจักมีแก่ใจใดไปออกหน้าพูดให้เขา? อีกประการเมื่อมีฮองเฮากู้อยู่ ต่อให้ท่านหญิงเจินอี้ช่วยพูดให้ลูกเลี้ยงแล้วจะได้ผลเช่นไรก็ยังพูดยากนัก… ถึงยามนั้นมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าองค์ชายสิบเอ็ดจะถูกส่งให้ไปอยู่ที่มุมใด!
อนาคตก็ไม่ดี นิสัยก็ยังไม่ดีอีก ทั้งยังเป็นปรปักษ์กับฮองเฮา แล้วบ้านใดจะยอมให้มีการแต่งงานเช่นนี้เกิดขึ้น?
ฮูหยินซูลำบากใจร้อยเท่าพันทวี บรรดาสะใภ้เองก็ไม่มีความคิดดีๆ อันใด ทำได้เพียงเสนอแนะว่า “เช่นนั้นก็อาศัยจังหวะนี้ ที่องค์ชายสิบเอ็ดยังไม่ทำการใด จัดการเรื่องหมั้นหมายให้ลูกผู้น้องสามเสียก่อน?”
“หมั้นกับผู้ใดเล่า?” ฮูหยินซูเองก็มิใช่ว่าคิดไม่ถึงวิธีให้หลานสาวหมั้นหมายให้เร็วขึ้น นับว่าองค์ชายสิบเอ็ดเป็นโปรดปรานของฮ่องเต้อยู่พอประมาณ แม้ไม่เท่ากับองค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินสองพระองค์ แต่ในบรรดาองค์ชายทั้งหลายก็นับว่าเป็นที่โปรดปรานแล้ว
ดังนั้นสมมติว่าเขาไปทูลกับฮองเต้และฮองเต้ออกพระโอษฐ์แล้ว ตระกูลซูก็จะปฏิเสธได้ยากยิ่ง
แต่หากซูอวี๋เฟยมีสัญญาแต่งงานอยู่กับตัว เช่นนั้นตระกูลซูก็จะมีเหตุผลเบ็ดเสร็จที่สามารถตอบปฏิเสธความต้องการของเบื้องบนได้ เพราะอย่างไรฮองเต้เองก็ต้องรักษาพระพักตร์ ไม่อาจไปชิงตัวเจ้าสาวของสามัญชนอย่างหน้าตาเฉย ด้วยความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์ชายสิบเอ็ดนี้ ยังไม่เพียงพอให้ฮ่องเต้ทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงอันดีงามของราชสำนักเช่นนี้เพื่อเขา
ทว่ายามนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ก่อนหน้านี้เพราะนางจางอยากให้ลูกสาวอยู่ข้างกายอีกปีสองปี บวกกับตอนนี้ซูอวี๋เฟยก็เพิ่งจะอายุสิบห้า จึงยังไม่ได้คิดจะเลือกลูกเขยอย่างจริงจังแต่อย่างใด ปรากฏว่าในเวลากระชั้นชิดเช่นยามนี้ หากคิดจะหมั้นหมายให้บุตรสาว แล้วจะหมั้นหมายกับผู้ใดเล่า?
ซูอวี๋เฟยยังเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของบ้านสองตระกูลซู… หากแต่งกับคนที่ดีไม่พอ แล้วนางจางจะยอมได้ที่ใด?
ฮูหยินซูคิดถึงตัวเลือกของหลานเขยที่เหมาะสมไม่ออก พวกสะใภ้สบตากันไปมาต่างก็รู้สึกว่าเกินจะรับมือนัก ในขณะที่ในโถงมีแต่ความเงียบสงัด กลับได้ยินเสิ่นจั้งหนิงกล่าวว่า “ท่านแม่ไยต้องร้อนใจ? ตอนเสินปั๋วผู้นั้นสอบถามประวัติของลูกผู้พี่สามพอดีว่ามาสอบถามเอากับข้า แล้วลูกผู้พี่สามจะมีเรื่องมีราวได้อย่างไร?
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฮูหยินซูตกตะลึง พลันรีบรนตวาดสั่งสอนนางว่าห้ามเอ่ยพระนามขององค์ชายตรงๆ ไปด้วยน้ำเสียงขึงขัง!
เสิ่นจั้งหนิงกล่าวอย่างได้อกได้ใจว่า “พอข้าได้ฟังก็รู้ว่าเขามีเจตนาไม่ดี! เสินปั๋วมีนิสัยโหดร้ายชอบลงไม้ลงมือ เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินคนเอ่ยถึงมานานแล้ว เขาอยากรู้ว่าลูกผู้พี่สามเป็นคุณหนูบ้านใด หากไปถามผู้อื่นก็แล้วไป แต่กลับมาเลือกถามข้า แล้วข้าจะไปบอกความจริงกับเขาได้อย่างไร?”
ฮูหยินซูอดจะโน้มตัวออกมาข้างหน้าที่นั่งเล็กน้อยไม่ได้ แล้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกกับองค์ชายไปว่าอย่างไร?”
“เดิมทีข้าคิดจะปั้นเรื่องไปเรื่อยเปื่อย แต่พอคิดไปอีกทีก็คิดได้ว่าในวังวันนี้ นางฮั่วฮูหยินน้อยใหญ่แห่งจือเปิ่นถังผู้นั้นคล้ายจะมาหาเรื่องกับพี่สะใภ้สาม นี่จึงมิใช่เป็นตัวเลือกให้ยัดเยียดความผิดที่มีให้เห็นอยู่ตรงหน้าหรอกหรือ?” เสิ่นจั้งหนิงกล่าวพลางหัวเราะฮิๆ “เพียงแต่อายุของนางฮั่วและเว่ยลิ่งจือล้วนไม่เหมาะ ดังนั้นข้าจึงบอกว่า เป็นเว่ยลิ่งเยวี่ย”
…ปีนี้เว่ยลิ่งเยวี่ยอายุสิบหกปี ห่างกับซูอวี๋เฟยซึ่งอายุสิบห้าปีอยู่หนึ่งปี และล้วนเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่กินดีอยู่ดีเช่นกัน เมื่อห่างกันเพียงหนึ่งปีแล้วจะมองออกได้อย่างไร? ต่อให้องค์ชายสิบเอ็ดเสินปั๋วทำการอย่างระมัดระวังเพียงใด และส่งคนไปสอบถามเรื่องรูปโฉมและอายุของเว่ยลิ่งจือ ก็ยังเกรงว่าอาจมองพิรุธไม่ออกด้วยซ้ำ
ฮูหยินซูเบิกตากว้างติดอ่างอยู่เป็นนาน และมิได้เอ่ยชมเหมือนอย่างที่เสิ่นจั้งหนิงคิดเอาไว้ แต่กลับเต้นโหยงเหมือนถูกฟ้าฟาด “เลอะเลือน! เลอะเลือนสิ้นดี! เพียงองค์ชายสิบเอ็ดลองถามดูว่าวันนี้เว่ยลิ่งจือได้ลุกออกจากโต๊ะไปหรือไม่ ก็จะสามารถรู้แล้วว่าที่เจ้าพูดไปนั้นเป็นคำเท็จ! เจ้านี่มันบังอาจนัก แม้แต่องค์ชายก็ยังกล้าไปหลอก!”
ปากน้อยๆ ของเสิ่นจั้งหนิงพลันเบะออก แล้วแก้ต่างว่า “องค์ฮองเฮาไม่โปรดปรานเสินปั๋ว แล้วเสินปั๋วจะไปสอบถามเรื่องงานเลี้ยงในตำหนักเว่ยยางที่ใดได้? เดิมทีองค์หญิงชิงซินเป็นน้องสาวของเสินปั๋ว เสินปั๋วก็อาจจะไปสอบถามกับองค์หญิงได้โดยตรง และองค์หญิงก็กลับไม่จำเป็นต้องหลอกเขา! แต่เขากลับไม่เชื่อองค์หญิงจึงได้มาถามเอากับข้า! แม้แต่องค์หญิงเขาก็ยังไม่เชื่อ แล้วจะยอมไปเชื่อนางกำนัลของตำหนักเว่ยยางได้อย่างไร? ไม่แน่ว่าเขายังจะนึกว่าองค์ฮองเฮาไม่อยากให้เขาสมหวังดังใจ จึงจงใจบอกเข้าไปผิดๆ ก็ได้!”
ฟังคำนางก็มีเหตุผล… เพียงแต่ฮูหยินซูก็ยังถลกแขนเสื้อขึ้น รวบตัวเสิ่นจั้งหนิงดึงมาตรงหน้า ยกมือขึ้นเขกหัวนางไปหนหนึ่ง และกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เช่นนั้นยามนี้ลูกผู้พี่เจ้าไม่เป็นไรแล้ว! แต่ภายหลังเมื่อองค์ชายสิบเอ็ดรู้ว่าเจ้าหลอกเขา เจ้าว่ามาเจ้าจะทำอย่างไร!”
เสิ่นจั้งหนิงกุมหัว แล้วเอ่ยอย่างไม่สนใจแต่อย่างใดว่า “เหตุใดข้าต้องกลัวเขา? ยามเข้าวังข้าก็คอยอยู่ข้างๆ ท่านแม่ หรือไม่ก็ไปอยู่กับองค์หญิงชิงซิน อีกประการเขาก็อายุสิบหกแล้ว พอพ้นวันประสูติในเดือนสิบไปก็จะสวมหมวก จากนั้นก็ได้รับสมรสพระราชทานและสถาปนาเป็นท่านอ๋อง เมื่องานอภิเษกเสร็จสิ้นก็จะต้องไปอยู่ในแคว้นศักดินา… องค์ฮองเฮาไม่ชอบเขา จะต้องวางแผนให้เขาไปอยู่ในแคว้นศักดินาไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาเข้าเฝ้าฯ บ่อยๆ ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อเขาออกไปจากเมืองหลวงแล้วชาตินี้จะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่… ในเมื่อตัวเขายังไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้วจะทำสิ่งใดกับข้าได้?”
สะใภ้ทั้งสามต่างพากันเข้าไปช่วยรอมชอมพลางปาดเหงื่อไปด้วย “ท่านแม่เจ้าคะ น้องสี่ก็คิดทุกสิ่งมาหมดแล้ว ท่านแม่ก็โปรดอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูคิดไปคิดมาก็รู้ว่าไม่มีที่ใดสามารถตำหนิเสิ่นจั้งหนิงได้ เพียงแต่กลับรู้สึกว่าเหตุใดบุตรสาวคนนี้จึงทำให้ไม่วางใจ ทำให้อยากเข้าไปตีนางเช่นนี้นะ? ดังนั้นจึงยังตีนางไปแรงๆ สองหน “เจ้าก็คิดมาหมดแล้ว แล้วเหตุใดจึงไม่พูด? เอาแต่นั่งดูข้าและพวกพี่สะใภ้ของเจ้าต่างร้อนใจไปหมดสนุกมากหรืออย่างไร?”
เสิ่นจั้งหนิงน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจ “คราก่อนมิใช่ท่านแม่บอกว่า ยามท่านและพวกพี่สะใภ้กำลังสนทนากัน ห้ามข้ารบกวนโดยการพูดแทรกส่งเดชหรอกหรือเจ้าคะ?”
…คล้ายว่าตนจะเคยอบรบบุตรสาวเช่นนี้จริง?
อย่างไรเสียตนก็เคยดุด่าบุตรสาวคนนี้มามากมายเกินไป ฮูหยินซูเองก็จำไม่ได้แล้ว ครานี้เมื่อถูกบุตรสาวย้อยถามก็แทบจะวางหน้าไม่ถูก ฮูหยินซูกระแอมไอแห้งหนหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “อย่างไรก็ตาม หนนี้เจ้าไม่บอกกล่าวข้าสักคำก็วิ่งแจ้นไปที่อุทยานอวี้ฮวา จึงยังมีความผิด แต่เห็นแก่ที่เจ้าช่วยรับมือได้อย่างเหมาะสม หนนี้จึงจะปล่อยเจ้าไปหนหนึ่ง!”
เสิ่นจั้งหนิงนิ่งฟังด้วยน้ำตาเต็มตา เหลือแต่เพียงไม่ได้เขียนไว้บนใบหน้าว่า ‘ถูกปรักปรำตลอดกาล’ เท่านั้น ฮูหยินซูสัมผัสได้จึงตำหนิไปว่า “เจ้าน้อยใจสิ่งใด? เจ้านึกว่าเจ้าสร้างคุณงามความดีรึ? หากมิใช่เพราะเจ้าส่งเสริมให้องค์หญิงไปที่อุทยานอวี้ฮวา แล้วจะไปพบกับองค์ชายสิบเอ็ดได้อย่างไร? เมื่อไม่ได้พบกับองค์ชายสิบเอ็ด แล้วจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร? เรื่องต่างๆ ล้วนเป็นเจ้าทำให้เกิดขึ้น เจ้ายังกล้ามาขอความดีความชอบอีก! หรือยังหวังว่าข้าจะสรรเสริญเจ้ารึ!”
“เป็นองค์หญิงชิงซินอยากจะไปอุทยานอวี้ฮวาเองนะเจ้าคะ จึงเรียกพวกเราที่เล่นซ่อนหาด้วยกันไปด้วย ข้าหาได้เป็นคนส่งเสริมไม่!” เสิ่นจั้งหนิงสะอึกสะอื้นขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านปรักปรำข้าอีกแล้ว!”
ฮูหยินซูเอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “แล้วไยเจ้าต้องตามไปด้วย? เหตุใดเจ้าจึงไม่ดึงพวกลูกผู้พี่ของเจ้ากลับมาที่ท้องพระโรงก่อน?! ยังกล้ามาเล่นลิ้น! เจ้าอยากถูกตีใช่หรือไม่?!”
เสิ่นจั้งหนิงได้ฟังก็ร้องไห้โฮเสียงดังลั่นกว่าเก่า “ก็ชอบเอาเรื่องถูกตีมาขู่ข้า! ข้าว่าท่านแม่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าข้าไม่ได้ทำผิด ทั้งยังช่วยลูกผู้พี่สามเอาไว้ด้วย แต่กลับต้องให้ข้ายอมรับผิดเสียให้ได้… ก็เพราะท่านรู้สึกอายจนโกรธน่ะสิ!”
สะใภ้ทั้งสามคนอดจะเข้าไปดึงพลางห้ามปรามและปลอบโยนไม่ได้… ในขณะที่กำลังวุ่นวายกันอยู่นั้นก็กลับต้องแยกจากกัน ด้วยเห็นราชครูเสิ่นเซวียนยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเหนือความคาดหมาย พลางกระแอมไอและกล่าวว่า “ฮูหยิน นี่คือ?”
ฮูหยินซูยังไม่ทันตอบ เสิ่นจั้งหนิงก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา วิ่งสามก้าวเป็นสองก้าวไปตรงหน้าเขา แล้วถลาเข้าไปในอ้อมอกของบิดา ทึ้งแขนเสื้อของเสิ่นเซวียนแล้วฟ้องไปพลางร้องให้ยกใหญ่ “ท่านแม่ปรักปรำข้าแล้วยังจะตีข้าอีก! ท่านพ่อท่านต้องช่วยข้าจัดการนะเจ้าคะ!”
…กว่าเสิ่นเซวียนจะปลอบบุตรสาวให้หยุดร้องไห้โฮเหลือเพียงสะอึกสะอื้น เขาก็ต้องปาดเหงื่อที่หน้าผากยกใหญ่ เมื่อหันหน้ามาหาฮูหยินซูก็ไม่มีแก่ใจจะไถ่ถามถึงสาเหตุแล้ว จึงกวักมือเรียกให้บรรดาสะใภ้ลุกขึ้น แล้วกล่าวออกมาเองว่า “สะใภ้ใหญ่ของตานเซียวจวนจะแต่งเข้ามาแล้ว จั้งจูย่อมมีเรื่องที่ดูแลไม่ทั่วถึง ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของนางก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่สะดวกจะลงมือทำเอง เมื่อครู่นี้ตานเซียวมาหารือกับข้า อยากเชิญเจ้าและเหล่าสะใภ้ไปช่วยดูแลจัดการสักหน่อย”
แม้เสิ่นจั้งจูจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเสิ่นจั้งฮุย แต่ก็เป็นหญิงม่ายทั้งไม่มีบุตรธิดา หากนางมาดูแลเรื่องมงคลเช่นงานแต่งงานก็จะไม่เป็นสิริมงคล อย่างไรก็ต้องมาขอยืมคนจากทางจวนราชครูจึงจะได้
ข้างฝ่ายฮูหยินซูเองก็กำลังปาดเหงื่อ ได้ยินคำจึงว่า “นี่เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” จึงหันไปหาเหล่าสะใภ้ “สองสามวันนี้ในบ้านเราไม่มีเรื่องใหญ่ใด วันพรุ่งพวกเจ้าก็ไปที่จวนท่านอารองของพวกเจ้าด้วยกัน แล้วไปรับงานของพี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ามาเสีย”
นางหลิวรีบเอ่ยแทนทั้งสามคนว่า “เจ้าค่ะ!”
_________________________