ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 73
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 73 ฮูหยินซูสำนึกเสียใจ
ตอนที่ 73 ฮูหยินซูสำนึกเสียใจ
โดย
Xiaobei
แม่นมเถาถูกเสิ่นจั้งเฟิงเรียกตัวเข้ามา ฮูหยินซูยังคงขุ่นเคืองยากจะสงบลงได้ จึงเล่าเรื่องทั้งหมดโดยคร่าวๆ ให้นางฟัง ทั้งยังด่าทอเขาว่าเป็นลูกอกตัญญูไปอีกหลายครั้ง หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่นางเถาจะถูกกำชับกำชาหนักหนาไปเมื่อคราก่อน ก็ไม่แน่ว่าแม่นมเถาจะอาศัยโอกาสนี้ออกแรงช่วยนางหลิว แต่หลังจากคราวก่อน แม่นมเถาก็คิดอยู่เสมอว่าอยากจะแสดงท่าทีกับฮูหยินซูอีกหน… แม่นมเฒ่าไม่ได้โง่ เพราะฐานะที่นางมีในบ้านตระกูลเสิ่นล้วนเป็นเพราะได้อานิสงค์จากฮูหยินซู และเหตุที่นางหลิวดีต่อนาง ก็มิใช่ว่าเห็นว่านางเป็นบ่าวติดตามทั้งยังเป็นบ่าวคนสนิทของฮูหยินซูหรอกหรือ?
ดังนั้นแม้ว่านางจะรู้สึกไม่เลวกับนางหลิว ทว่าหากเรื่องนี้จะทำให้ฐานะของนางใจของฮูหยินซูต้องสั่นคอน แม่นมเถาก็กลับไม่ยอมเช่นกัน ครานี้ฟังสิ่งที่ฮูหยินซูเล่า ก็รู้สึกว่าชั่วเวลาที่ตนจะแสดงได้ความเป็นกลางมาถึงแล้ว จึงเอ่ยเตือนสตินางไปว่า “เหตุใดฮูหยินต้องโมโหด้วยเจ้าคะ? ตามความเห็นของข้าน้อย ก็ไม่แน่ว่าฮูหยินน้อยสามต้องไปบอกสิ่งใดกับคุณชายสามนี่เจ้าคะ”
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจู่ๆ เฟิงเอ๋อร์จึงได้วิ่งมา เพื่อมาโยนหินถามทางด้วยกลัวว่าเข้าจะรังแกภรรยาของเขารึ?” ฮูหยินซูกล่าวไปด้วยความเดือดดาล “นางเองก็ไม่ไปลองสอบถามดูเสียบ้าง! แม้จะนับไม่ได้ว่าข้าเป็นยอดแม่สามีอันดับหนึ่งอันดับสองในเมืองหลวง ทว่าแต่ไรมาก็ไม่เคยมาระบายอารมณ์กับสะใภ้นี่! ในเมื่อนางไม่ใช่ลูกของข้า แล้วยังหวังให้ข้าปฏิบัติต่อนางเช่นใดอีก? หรือต้องให้ซื้อรถอัญมณีทั้งคันแล้วเอามาทุบให้นางฟังเหมือนที่นางซ่งมารดาของนางทำจึงจะไม่นับว่าดุร้ายกับนางรึ? ข้าก็มิได้เป็นเช่นนางซ่งที่แต่งงานมาเกือบสิบปีแต่ก็กลับสิ้นไร้ไม้ตอก และอยากได้ผู้สืบสกุลจนแทบเป็นบ้า จึงได้กลัวแต่จะไม่ได้เอาใจลูก! กับบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองข้าก็ยังไม่เคยตามใจเช่นนี้เลย!”
แม่นมเถายิ้มสู้ กล่าวว่า “ฮูหยินคิดดูสิเจ้าคะ ในชั่วเวลาที่ฮูหยินน้อยสามแต่งเข้าบ้านมา แม้ไม่อาจพูดได้ว่านางคล่องแคล่วว่องไวเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ทว่าก็ฉลาดหลักแหลม อีกประการข้างกายนางก็ยังมีนางหวงเป็นผู้ช่วย ต่อให้คิดการไม่รอบคอบปานใด ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะเป็นดังที่ฮูหยินบอกมาเมื่อครู่นี้ ว่าพอสักพักก็เอาไปฟ้องต่อหน้าสามี เห็นสามีมาต่อว่าต่อขานฮูหยินแต่กลับไม่ยอมรั้งตัวเอาไว้? ต้องเป็นคนโง่เท่าใดจึงทำเรื่องที่ชัดเจนได้ดังนี้เจ้าคะ?”
ฮูหยินซูขมวดคิ้ว กล่าวว่า “อาจเป็นเพราะนางอายุยังน้อย เพิ่งจะเคยรู้สึกว่าถูกรังแกเป็นครั้งแรกนับแต่แต่งงานมา จึงอดไม่ได้…”
“มีเรื่องหนึ่ง ก็เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดี คิดไม่ถึงว่าควรต้องบอกกล่าวกับฮูหยินในทันใดเจ้าค่ะ” แม่นมเถายิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยทั้งสามออกไปพร้อมกัน แล้วไปสนทนากันอยู่บนระเบียงทางเดินสักพัก ภายหลังฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองกลับไปก่อน จึงเหลือเพียงฮูหยินน้อยสามที่กำลังพาบ่าวเตรียมกลับเรือนจินถง ปรากฏว่านางหวงรั้งตัวฮูหยินน้อยสามไว้พูดคุยด้วยอีกสองสามคำ เมื่อเห็นดังนั้นพวกสาวใช้ตัวน้อยจึงต้องขยับออกไปไกล ข้าน้อยได้ยินไม่ชัดเจน แต่คิดว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้คน นางหวงก็คงจะไม่เอ่ยเรื่องที่สมควรใดๆ กระมัง จากนั้นฮูหยินทราบหรือไม่ว่าฮูหยินน้อยสามเป็นเช่นใด?”
ฮูหยินซูขมวดคิ้วแล้วว่า “นางเป็นเช่นใด?”
“เดิมที เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจากไป สีหน้าของฮูหยินน้อยสามก็ไม่ใคร่ดีอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนางหวงก็ตำหนินางหวงผู้นั้นเสียเสียงดังในทันใด” แม่นมเถาเอ่ย “นางหวงผู้นั้นกำลังจะแก้ต่าง แต่กลับถูกฮูหยินน้อยสามต่อว่าไปอีก ภายหลังนางหวงจึงไม่กล้าพูดสิ่งใดแล้ว… รอบๆ นั้นทั้งบ่าวชราและสาวใช้ล้วนอยู่กันครบ ข้าน้อยได้ยินมาว่า แต่ไรมานางหวงเป็นคนดูแลทุกสิ่งในเรือนจินถง ทั้งนางหวงยังเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งบ่มเพาะมานานปี…”
ฮูหยินซูเข้าใจความหมายของนางว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นท่านอาแม่บ้านซึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรือนหรือผู้ที่ผู้ใหญ่ให้ความชื่นชม ก็ล้วนไม่มีเหตุผลจะมาอบรมสอนสั่งตนต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนที่ปกติแล้วนางหวงคอยดูแลควบคุมอยู่เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ ยิ่งไปกว่านั้นนางหวงยังเป็นคนที่อยู่ในทั้งสองสถานะนั้นด้วย’ สีหน้าของนางจึงได้ผ่อนคลายลง “ดูไปแล้ว อาจไม่ใช่นางเอาไปฟ้อง”
ทว่าฮูหยินซูก็ยังคงไม่พอใจนัก “แต่นางก็จะต้องมีสีหน้าไม่ดีกลับไป จึงทำให้เฟิงเอ๋อร์สงสัยขึ้นมา! แล้วที่ข้าต่อว่านางก็ไม่มีเหตุผลหรือไร? ตนเองไม่รู้จักเรียนรู้ให้ดี แล้วยังไม่ยอมให้ผู้ใหญ่ตักเตือนสักหน่อยหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้นางมิได้ไปฟ้อง แล้วมันต่างกับไปฟ้องที่ใดกัน!”
แม่นมเถากล่าวว่า “นี่ล้วนเป็นเพราะอายุยังน้อย ฮูหยินน้อยสามถูกที่บ้านตามใจมาแต่ไร นับแต่แต่งเข้ามาฮูหยินก็ดีกับนาง ฮูหยินโปรดคิดดู คุณชายใหญ่ก็รักคุณหนูหลานชายใหญ่เสมอมา หากวันหนึ่งคุณชายใหญ่ตำหนิคุณหนูหลานชายใหญ่ขึ้นมา แม้จะทำเพราะไปรัก แล้วคุณหนูหลานชายใหญ่จะไม่เสียใจนักหนาได้หรือ? คนหนุ่มสาวไม่เคยผ่านลมผ่านฝน ทั้งก่อนหน้านี้ฮูหยินก็ปฏิบัติกับนางอย่างดียิ่ง จะอย่างไรย่อมข่มใจไม่โกรธไม่ไหว ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า ไม่แน่ว่าฮูหยินน้อยสามจะจงใจแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา หากแต่เกรงว่าเพราะชั้นเชิงของนางยังตื้นเขินนัก จึงข่มเรื่องในใจเอาไว้ไม่อยู่เจ้าค่ะ”
แล้วพูดอีกว่า “ข้าน้อยขอพูดอีกสักคำ ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองก็มิใช่คนที่ยอมคน ครานี้ที่เอ่ยปากกับฮูหยิน ความจริงแล้วก็เพราะฮูหยินน้อยสี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเกินไปสักหน่อย และมิได้เป็นพวก…กุลสตรีสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าจะเป็นนางหลิวก็ดี เว่ยฉางอิ๋งก็ดี อย่างไรก็เป็นสะใภ้โดยตรงของฮูหยินซู เพราะสามีของพวกนางล้วนเป็นบุตรชายของฮูหยินซู เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเผยเหม่ยเหนียงก็ยังอยู่คนละชั้น แม่นมเถาเรียนรู้จากที่เคยถูกอบรมไปคราวที่แล้ว นางจึงไม่บอกว่านางหลิวไม่ดี และไม่พูดว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ดี ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่อาจบอกว่าฮูหยินซูไม่ดีด้วยเช่นกัน… คนที่ไม่ดีย่อมต้องเลือกจากคนข้างนอก อีกประการเดิมทีเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเผยเหม่ยเหนียงไม่เกรงอกเกรงใจอยู่ก่อนหน้า
ฮูหยินซูขมวดคิ้วอยู่เป็นนาน ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “เผยเหม่ยเหนียงนี้ผู้ไม่รู้จักหลักเหตุผลและน้ำใจไมตรีเลยจริงๆ ครานี้อี๋เอ๋อร์และฉางอิ๋งล้วนต้องวิ่งหน้าวิ่งหลังเพื่องานแต่งของนาง แต่นางกลับนึกถึงแต่ตนเอง จะพูดจาเกรงอกเกรงใจสักนิดก็หามีไม่… เพียงแต่น้องสะใภ้เสียไปนานแล้ว แม้ข้าจะเลี้ยงดูจั้งฮุยมาจนเติบใหญ่ แต่ก็มิใช่ลูกของแท้ๆ ของข้าอยู่ดี มายามนี้เผยเหม่ยเหนียงผู้นั้นมีรูปโฉมงดงาม จั้งฮุยชอบนางนัก ยามมายกน้ำชาเจ้าก็เห็นแล้วนี่ พวกเขาเพิ่งจะแต่งงานใหม่และกำลังหวานชื่นกันยิ่งนัก ยามนี้หากข้าไปบอกกับเขาว่าเผยเหม่ยเหนียงไม่ดี แม้จั้งฮุยจะไม่กล้าไม่ตอบรับ แต่ในใจจักต้องรู้สึกว่าข้าต้องคิดว่าเคยเลี้ยงดูเขามาแล้วคิดจะลำเลิกบุญคุณ! เรื่องของจั้งจูเมื่อคราก่อน ท่านพี่ก็เคยบอกแล้วว่าไม่ให้ข้าไปทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขของน้องรองต้องลำบากอีก เจ้าว่าเรื่องนี้…”
เมื่อแม่นมเถาได้ฟังคำนี้ก็รู้ว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นไม่ผิด ว่าคำตอบของเผยเหม่ยเหนียงตอนยกน้ำชานั้น ฮูหยินซูเองก็ฟังอยู่ที่หูและชังอยู่ในใจ… แม้นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งก็คอยช่วยจัดงาน แต่คนที่ออกแรงมากที่สุดและจัดการเรื่องใหญ่ทั้งหมดก็มิใช่ฮูหยินซูหรอกหรือ? ปรากฏว่าเมื่อหลานสะใภ้ผู้นี้แต่งเข้ามาก็ไม่มีแม้คำพูดเกรงอกเกรงใจให้นาง ฮูหยินซูจะรู้สึกสบายใจก็แปลกแล้ว
เพียงแต่เพราะคำนึงถึงเรื่องที่นางถูกเสิ่นเซวียนกล่าวโทษนักหนาด้วยเรื่องการแต่งงานของเสิ่นจั้งจู หากไปอบรมหลานสะใภ้ผู้นี้สุ่มสี่สุ่มห้า อาจทำให้เสิ่นเซวียนไม่พอใจขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ให้เหล่าสะใภ้ไปหาเรื่องหาราวกับเผยเหม่ยเหนียง… ว่ากันตามตรงแล้ว ฮูหยินซูเองก็กลัวว่าเรื่องของหลานสะใภ้ผู้นี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของตนและสามี เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย
“ข้าน้อยคิดว่า บางทีฮูหยินน้อยสี่เพิ่งแต่งเข้ามา จึงยังไม่รู้เรื่องที่บ้านเราทางนี้ต้องเหน็ดเหนื่อยเพื่อนางเจ้าค่ะ” แม่นมเถานิ่งคิดอยู่เป็นนานจึงว่า “ดังนั้นครั้งกำลังกระเซ้าเย้าหยอกกันในห้องหอ นางจึงได้โทษพวกของฮูหยินน้อยใหญ่ว่าไม่คำนึงถึงนางบ้าง! มิสู้คราหน้าฮูหยินเอ่ยกับนางสักหน่อย หากฮูหยินน้อยสี่ทราบเรื่องแล้ว และไปขอขมากับพวกฮูหยินน้อยใหญ่ พวกของฮูหยินน้อยใหญ่ก็ล้วนเป็นคนที่มีเหตุมีผลจักต้องไม่ไปถือสาหาความแล้วเจ้าค่ะ เมื่อเป็นดังนี้ในบ้านก็จะสามัคคีปรองดองกันแล้ว ฮูหยินคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
ฮูหยินซูคิดอยู่เป็นนาน จึงว่า “วันนี้พวกเขาเพิ่งจะแต่งงานใหม่ หากเผยเหม่ยเหนียงผู้นี้ยังแต่งงานไม่ครบเดือนก็จะไม่มาที่นี่อีก เมื่อถึงยามนั้นแล้ว หากนางยังไม่ยอมขอขมา ข้าค่อยต่อว่านางก็แล้วกัน” เพราะในยามนี้ข้างกายมีเพียงแม่นมเถาคนเดียว อย่างไรฮูหยินซูก็รู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมา “แต่แรกนั้นเหตุใดจึงไม่ขัดขวางเผยเหม่ยเหนียงผู้นี้สักคำนะ? หากรู้แต่แรกว่านางเป็นคนไม่รู้ความเช่นนี้ ข้าก็จะไม่แนะนำให้จั้งฮุยแต่งเข้าบ้านมา! ภรรยาของจั้งฮุยต้องเป็นถึงสะใภ้ใหญ่ของน้องรองเชียวนะ เจ้าว่าหญิงที่มีนิสัยเช่นนี้ พอแต่งเข้ามาก็เริ่มล่วงเกินคนนั้นคนนี้ วันหน้าจะส่งเสริมจั้งฮุยได้อย่างไร?”
เมื่อคิดได้ดังนี้ฮูหยินซูก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว “ตอนแรกที่เลือกภรรยาให้จั้งฮุยนั้น น้องรองยืนกรานว่าไม่ยอมให้เลือกจากตระกูลที่ทัดเทียมกับเรา ข้าเข้าใจความหมายของเขา เพราะเขาก็เองก็หวังดี… ในเมื่อในตระกูลกำหนดว่าจะบ่มเพาะเฟิงเอ๋อร์ เขาจึงไม่หวังให้จั้งฮุยถูกคนยุยง แต่ข้าก็คิดว่าจั้งฮุยเป็นบุตรชายคนโตในสายหลักของเขา เมื่อจะลดลงไปเลือกภรรยาเอกจากระดับตระกูลใหญ่ทั่วไป หากมิใช่บุตรสาวจากภรรยาเอกในสายหลักแล้วก็จะไม่มีทางเลือกมาโดยเด็ดขาด เลือกไปเลือกมา นางเผยผู้นี้มีรูปโฉมงดงามที่สุด สอบถามจากฮูหยินหลายบ้านก็ล้วนชมว่านางมีความสามารถทั้งมีมารยาท เป็นตัวเลือกที่ดีของสะใภ้ใหญ่ หลังจากตัดสินใจแล้วก็ได้พบนางอีกน้อยครั้งมาก ตระกูลเผยคอยบอกแต่ว่านางอาย ยามนั้นข้าก็ยังเป็นกังวลเมื่อนางแต่งเข้ามาแล้วก็อย่าได้เป็นคนขี้กลัวจะพบปะผู้คนเช่นนี้อยู่เลย… มายามนี้ ดูท่าแล้วกลับน่าจะเป็นเพราะบ้านเผยกังวลว่าพวกเราจะรู้นิสัยที่แท้จริงของนางกระมัง?”
ฮูหยินซูรู้สึกว่าตนเองถูกหลอกเข้าให้แล้ว
แม่นมเถาคิดอยู่เป็นนานจึงว่า “ยามนี้ฮูหยินน้อยสี่เพิ่งแต่งเข้ามา และเพิ่งได้พบกันเพียงครั้ง บางทีอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงครั้งคราว? เมื่ออยู่ไปสักพัก บางทีอาจจะดีก็ได้เจ้าค่ะ?” แล้วพูดอีกว่า “แม้ฮูหยินรองจะเสียไปไว ทว่ายามนี้คุณหนูใหญ่ก็อยู่ในบ้าน ย่อมต้องคอยดูแลสักหน่อยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
เวลานี้คนก็แต่งเข้าบ้านมาแล้ว และก่อนหน้านี้ก็เป็นตระกูลเสิ่นเอ่ยปากหมั้นหมายก่อน และฮูหยินซูก็เป็นคนเลือกนางมาให้หลานชายเอง… จะอย่างไรก็ไม่อาจส่งคนกลับบ้านเผยไปแล้วบอกว่าไม่เอานางแล้ว เพียงเพราะคำพูดไม่เกรงอกเกรงใจเพียงไม่กี่คำกระมัง? ต่อให้ฐานะของตระกูลเสิ่นสูงว่าตระกูลเผย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องไปข่มเหงกันเพียงนี้
ฮูหยินซูถอนหายใจ ทำได้เพียงพูดไปเร็วๆ ว่า “ก็ทำได้แค่หวังให้เป็นดังนี้แล้ว”
ความจริงนั้น ท่านป้าใหญ่ไม่เหมือนกับมารดาแท้ๆ หากว่าเป็นสะใภ้ของนางเอง นางหรือจะต้องมาระบายให้แม่นมเถาฟัง หากแต่จะสั่งสอนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไปเสียเลย!
เรือนหลักทางนี้กำลังปวดหัวเพราะสะใภ้และหลานสะใภ้ของฮูหยินซู ในเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้ว และไม่ยอมปริปากเรื่องที่ถูกฮูหยินซูไล่ออกมา เพียงแต่ยิ้มรายงานเรื่องน่ายินดีว่า “ท่านแม่อนุญาตให้พวกเราออกไปสองวัน”
เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจ “จริงรึ? สองวัน เช่นนั้นมิใช่ว่าต้องไปค้างแรมข้างนอก?”
“บ้านเรามีเรือนรับรองอยู่ที่ริมทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ย “เมื่อครู่นี้ตอนเดินมาจากข้างหน้า ข้าก็ให้เสิ่นจวี้พาคนไปเก็บกวาดไว้ก่อนแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหน้าบาน บอกว่า “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมข้าวของ ต้องนำสิ่งใดไปบ้าง?”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบปลายคาง กล่าวว่า “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไปเตรียมข้าวของเลย”
“หือ?”
“รีบคืนจูบที่ยังติดค้างสามีมาเสียก่อน!” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “หาไม่ สามีจะไม่พาเจ้าไปแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำพลันพุ่งหมัดใส่เขา แล้วขู่ว่า “เจ้ากล้าไม่พาข้าไปรึ?”
เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นรับหมัดของนาง แล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “สามีบอกแล้วอย่างไร สามีไม่กลัวถูกทุบตีหรอก!”
“เช่นนั้นก็จะตีจนเจ้ากลัวเลย!” เว่ยฉางอิ๋งดิ้นรนอยู่สองสามหน แล้วตีที่มือเขาไปสองสามหนอย่างโมโหโกรธา
ทั้งสองคนเย้าหยอกกันเอะอะอยู่พักหนึ่งเสิ่นจั้งเฟิงจึงปล่อยมือ เว่ยฉางอิ๋งลูบปอยผม ยิ้มแย้มพลางว่า “โธ่ เลิกเล่นได้แล้ว… ไปที่ทะเลสาบนั่นต้องนำสิ่งใดไปบ้าง? ในเมื่อต้องไปค้างที่เรือนรับรองข้างนอก ต้องนำเสื้อผ้าไปสองชุดกระมัง? และต้องลงไปล่องทะเลอีก”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วว่า “เจ้าจูบสามีสักหน่อย แล้วสามีจะบอกเจ้า”
“ไม่เอาเสียอย่าง!” เว่ยฉางอิ๋งปากพูดไปดังนี้ แต่กลับขยับเข้าไปจูบที่ข้างแก้มเขา แล้วผลักเขาออก บอกว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พูดเถิด ว่าต้องนำสิ่งใดไปบ้าง?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมแขนออกไปกอดนางไว้ พลางยิ้ม “เจ้าให้ท่านอาว่านไปจัดการก็มิสิ้นเรื่องแล้ว? ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่ข้าไปก็ล้วนให้ท่านอาว่านจัดของให้ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นข้าก็ถูกเจ้าหลอกเสียแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งพลิกมือไปแตะที่แก้มเขาตรงที่ตนเองเพิ่งจะจูบไป พลางเอ่ยอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มว่า “ถ้ารู้เช่นนี้ ก็ไปถามท่านอาว่านเสียเลยเป็นดี เหตุใดต้องมาจัดการเจ้าที่ตรงนี้ด้วย?”
เสิ่นจั้งเฟิงวางคางไว้บนไหล่นาง เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้ารู้ว่าถูกหลอกก็สายเสียแล้ว ยามนี้จูบเจ้าก็จูบไปแล้ว… หากรู้สึกว่าขาดทุน ไม่สู้สามียอมขาดทุนอีกสักหน่อย ให้เจ้าจูบอีกสักสองสามทีเป็นเช่นใด?”
เว่ยฉางอิ๋งทั้งขำทั้งโมโห จึงตีเขาแล้วว่า “นี่เป็นเจ้าขาดทุน หรือเป็นข้าขาดทุนกัน?” แล้วแกะแขนที่เขากอดตนเองออก “ข้าจะไปถามท่านอาว่าน”
ได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะพาเว่ยฉางอิ๋งไปท่องเที่ยวที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ทั้งยังจะไปพักค้างคืนที่เรือนรับรองริมทะเลหนึ่งคืนด้วย นางว่านจึงยิ้มแล้วว่า “เพราะทุกปีล้วนมีคนไปอยู่ที่เรือนรับรองแห่งนั้น ยามนี้จึงมีทุกสิ่งพร้อมอยู่แล้ว และมิได้ขาดเหลือสิ่งใดเจ้าค่ะ เพียงแต่ในเมื่อจะล่องเรือในทะเลสาบ ก็ต้องคอยระวังว่าหากเสื้อผ้าเปรอะเปือนน้ำในทะเลสาบก็ต้องเปลี่ยนเสื้อ ตามความเห็นของข้าน้อย ควรนำเสื้อผ้าไปอีกสักสองชุดจะได้อุ่นใจสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งจึงให้คนจัดเตรียมเสื้อผ้าไปตามนั้น
เมื่อถึงวันต่อมา เสิ่นจั้งเฟิงไปคารวะมารดาที่เรือนหลักเป็นเพื่อนเว่ยฉางอิ๋งตั้งแต่เช้า …ฮูหยินซูมองเห็นเขา ความโกรธที่สุมอกอยู่ก็พลันปะทุออกมาทันใด จึงพูดด้วยหน้าตาบึ้งตึงว่า “วันนี้ไยเจ้าจึงมาด้วย? กลายเป็นว่านานๆ ครั้งจะเกิดขยันหมั่นเพียรขึ้นมา”
เว่ยฉางอิ๋งฟังออกว่าคำพูดนี้ไม่ใคร่ปกตินัก สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันใด เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสู้ กล่าวว่า “วันนี้จะพาอิ๋งเอ๋อร์ไปทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิขอรับ จึงมาคารวะท่านแม่แล้วค่อยออกไปขอรับ”
เดิมทีฮูหยินซูอยากจะพูดว่า “ข้าไปตกปากรับคำว่าเจ้าสามารถพาสะใภ้ไปทะเลสาบยามใด” เมื่อเหลือบตาไปมองเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งกำลังมีสีหน้าหวาดกลัว และจ้องมองสามีด้วยความสงสัย นางจึงอดจะแอบขมวดคิ้วไม่ได้ คิดในใจว่า “ไอ้ลูกชอบก่อความเดือดร้อน เกรงว่าเมื่อวานนี้เมื่อกลับไปก็ไปบอกให้นางเว่ยเก็บข้าวของแล้ว! ครานี้จึงคิดจะมัดมือชกข้าล่ะสิ!”
เพียงแต่เพราะเป็นลูก ทั้งยังเป็นลูกชายที่แต่งงานแล้วด้วย จึงไม่อาจทั้งตีทั้งต่อว่าเหมือนบุตาสาวคนเล็กที่ยังไม่ทันปักปิ่นเช่นนั้น โดยเฉพาะที่เสิ่นจั้งเฟิงไปทำงานต่อหน้าพระพักตร์ ทั้งในตระกูลก็ยังให้ความสำคัญกับเขา ฮูหยินซูจึงไม่อาจไม่ไว้หน้าเขาเป็นพิเศษ จึงไมยอมเปิดโปงเขาต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋ง
ดังนั้นฮูหยินซูจึงทำได้แต่เพียงอดกลั้น นางแค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวว่า “อีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของอวี๋อู่แล้ว อย่างมากที่สุดพวกเจ้าก็อยู่ที่เรือนรับรองเพียงหนึ่งคืน รู้หรือไม่?”
เสิ่นจั้งเฟิงรู้อยู่แล้วว่ามารดาจะต้องไม่มีทางไม่ไว้หน้าตน จึงยิ้มเจ้าเล่ห์ กล่าวว่า “ลูกรับคำสั่ง!”
เพราะมีเขาอยู่ด้วย แม้ในใจนางหลิวและนางตวนมู่จะรู้สึกอิจฉาแต่ก็ไม่อาจพูดกระแนะกระแหนแรงเกินไป จึงพากันยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “น้องสามรักน้องสะใภ้สามจริงๆ มิน่าเล่าเมื่อน้องสี่แต่งงาน ท่านอารองจึงได้ให้น้องสะใภ้สามไปช่วยงานด้วย”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว เพราะคำพูดนี้หากฟังเผินๆ ก็ไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อฟังให้ดีๆ ก็มิใช่เป็นการเตือนฮูหยินซูให้ระวังว่าเมื่อสามีรักใคร่ตนมากๆ ก็จะเป็นเหมือนกับเผยเหม่ยเหนียงที่…ยโสโอหัง?
นางกำลังจะตอบคำ เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับยิ้มอยากเบิกบาน กล่าวว่า “จั้งเฟิงก็แค่คิดว่าตนเองเหลือเวลาว่างเพียงสองวันนี้ จึงคิดอยากออกไปผ่อนคลายสักหน่อย ไปผู้เดียวไม่สนุก และทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ได้ไกล จึงได้พาอิ๋งเอ๋อร์ไปด้วย และเพราะระยะนี้พี่ชายทั้งสองกำลังมีงานยุ่ง หาไม่แล้วก็จะพาพี่สะใภ้ทั้งสองรวมทั้งหลานๆ ไปเที่ยวด้วยกันในโอกาสนี้แล้วขอรับ”
แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “พวกเราสองคนล้วนไปที่ทะเลสาบกันหมด เรื่องในเรือนจินถงก็ต้องขอไหว้วานให้พวกท่านพี่สะใภ้ช่วยดูให้สักหน่อย ทั้งท่านแม่ทางนี้ก็ต้องฝากฝังพี่สะใภ้ทั้งสองดูแลด้วยขอรับ”
ฮูหยินซูสามารถอดทนดูบรรดาสะใภ้ค่อนแคะกันไปมาต่อหน้า ขอเพียงอย่าได้เกินเลยเกินไป นางก็ล้วนทำเป็นฟังไม่ออกได้ แต่นางก็เป็นเหมือนแม่ทุกคนในใต้หล้านี้ไม่ชอบเห็นสะใภ้ทำให้บุตรชายลำบากใจ เมื่อเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงต่อคำ นางหลิวและนางตวนมู่ก็ยังจะพูดต่อ นางจึงกล่าวออกมาอย่างไม่หนักไม่เบาว่า “เอาล่ะ ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลินั่นพวกเจ้าก็มิใช่ไม่เคยไป ล้วนเป็นที่ที่เล่นมาแต่เล็กจนโตอยู่แล้ว ยามนี้งานแต่งของน้องสี่ของพวกเจ้าก็เรียบร้อยแล้ว เมื่อพวกเจ้าอยากจะไป ก็กลับไปหารือกันเอาเอง หรือว่าข้ายังจะรั้งพวกเจ้าเอาไว้กัน?”
คำพูดนี้ไม่ได้ไม่ต้องการบอกเป็นนัยว่านางหลิวและนางตวนมู่ไม่สามารถไปเกลี่ยกล่อมให้สามีตนพาออกไปเที่ยวได้จึงมาริษยาบ้านสามเอา รอยยิ้มของนางหลิวและนางตวนมู่ชะงักลงทันใด แต่ขัดที่คนที่พูดออกมาคือฮูหยินซู พวกนางจึงไม่กล้าออกฤทธิ์อีก และพากันพูดอย่างเลิ่กลั่กว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ”
………………………………………………..
วานนี้ร้อนรุ่ม หวังว่าวันนี้จะดี ลมที่พัดโชยมาทั้งคือ ถือเป็นการบ่งชี้ถึงสิ่งใด?
_______________________________