ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 75
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 75 ยิ้มโยนฝักบัวข้ามน้ำ
ตอนที่ 75 ยิ้มโยนฝักบัวข้ามน้ำ
โดย
Xiaobei
เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ความคิดของเฉาอิงเม่ย แม้ยังไปไม่ถึงติงโจวที่มีต้นอ้อขึ้น จึงยังมองไม่เห็นว่ามีดอกบัวอยู่เต็มที่ปลายเส้นทางนี้ แต่เมื่อคนอยู่ที่หัวเรือสัมผัสได้ว่าเรือลำน้อยกำลังแล่นไปบนคลื่นลม มีลมทะเลสาบถาโถมเข้าปะทะใบหน้าก็ทำให้เกิดความรู้สึกสบายผ่อนคลายที่บรรยายออกมาไม่ได้
ทั้งสองคนหัวร่อต่อกระซิกกันจนดื่มน้ำเฉินเซียงหมดหนึ่งไห เรือน้อยก็เข้ามาใกล้กลุ่มต้นอ้อกลุ่มแรกเสียที ต้นอ้อสีเขียวเอนล้มลงและลุกขึ้นใหม่ตามลมทะเลสาบ เสียงที่ได้ยินอยู่ข้างในอย่างไม่ขาดสายนั้นมีแต่เพียงเสียงนกร้องกรูกรูของนกน้ำ บางคราวพวกมันยังบินเข้าบินออก เว่ยฉางอิ๋งดูออกว่ามันคือนกยางเปีย พวกมันกล้ามาก ไม่ได้กลัวคนเท่าใดนัก แม้กระทั้งยามเรือพายแล่นไป พวกมันก็ยังคงตั้งใจย่ำอยู่น้ำจับปลาหาได้หลบหนีไปไม่
หางตาของเว่ยฉางอิ๋งยังมองเห็นงูน้ำตัวหนึ่งว่ายผ่านไปบนผิวน้ำอย่างรวดเร็ว จนทำให้น้ำกระเพื่อมเป็นสาย… จากนั้นนกยางเปียใจกล้าตัวนั้นก็มองเห็นด้วยจึงบินขึ้นไปเลียบไปบนผิวน้ำ คาบเอางูน้ำที่หลบไม่ทันตัวนั้นเอาไว้อย่างเร็วเหลือใจ แล้วกระพือปีกบินไป
“นกยางเปียตัวนั้น…” เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ากลับมา กำลังจะเล่าเรื่องที่นางเห็นกับเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งเฟิงกลับชี้ไปอีกทิศหนึ่ง ยิ้มแล้วว่า “เจ้าดูสิ บังเอิญหรือไม่?”
“บังเอิญเรื่องใด?” เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าเขาไปเจอกับคนคุ้นเคยเข้าอีกแล้ว จึงรีบจัดแจงเสื้อผ้าแล้วหันมองตามไป แต่กลับเห็นว่าที่กกอ้อกกหนึ่งมีนกเป็ดน้ำปากแดงคู่หนึ่งกำลังว่ายน้ำอย่างผ่อนคลายสบายอุรา เมื่อมองเห็นว่ามีเรือมาก ก็กลับว่ายขยับเข้าที่กกอ้ออย่างไม่ลนลานแต่อย่างใด
เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่านี่เป็นลางที่ไม่เลวเลย จึงเลือกเอาขนมแป้งกวนชิ้นหนึ่งมาจากในกระบุงแล้วบี้ให้เละและโยนไปทางกกอ้อ “ทำให้มันตกใจ เช่นนั้นก็เอาขนมให้เป็นการขอขมาก็แล้วกัน!”
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกมันนึกว่าเจ้าจะตีพวกมัน”
เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “พูดส่งเดช เห็นชัดๆ ว่าข้า…” ทว่ายังไม่ทันสิ้นความ ก็ได้ยินเสียงนกเป็ดน้ำคู่นี้ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจและหลบเข้าไปในกกอ้อ นกเป็ดน้ำคู่นั้นกระพือปีกบินขึ้น เท้าถีบผิวน้ำ ทำให้ต้นอ้อสั่นไหว แล้วบินเข้าไปในที่ลึกๆ อย่างรวดเร็ว กลายเป็นว่าพวกมันถูกจู่โจมจนต้องซมซานหลบหนีหัวซุกหัวซุน…
“…” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงหูแดง กล่าวว่า “เจ้าคู่นี้…ช่างไม่รู้จักความหวังดีเลยจริงๆ”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะฮ่าๆ บอกว่า “ในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิมีหญ้าน้ำขึ้นแน่นขนัด พวกมันจะขาดอาหารได้ที่ใด? ย่อมไม่มีคนคิดจะโยนอาหารให้พวกมัน อุตส่าห์ไปหลบอยู่ในกกอ้อแล้วยังมาเห็นเจ้าโยนขนมเข้าไปอีก พวกมันจะไม่คิดว่าเจ้าจะโยนใส่พวกมันได้อย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งอายจนโกรธ นั่งลงทันใด แล้วโน้มตัวข้ามกราบเรือไปวิดน้ำในทะเลสาบใส่หัวเสิ่นจั้งเฟิง ขึ้นเสียงไปว่า “แล้วเจ้าก็ไม่เตือนข้า! คอยดูเรื่องตลกของข้าอยู่ได้!”
พื้นที่ส่วนหัวเรือก็เล็กแคบเพียงเท่านี้ เสิ่นจั้งเฟิงอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น จึงถูกสาดใส่เต็มที่ บนอกเสื้อเผาซานคอกลมตัวยาวผ้าเยวี่ยหลัวสีหยกจึงมีรอยน้ำอาบอยู่แนวหนึ่ง ทำเอาสีหยกกลายเป็นสีเขียวเข้มและมองเห็นชัดเจนนัก เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังจะสาดน้ำมาอีก เขาจึงยิ้มแล้วร้องขอความเมตตา “อีกประเดี๋ยวยังต้องไปที่ร้านสุราบ้านเจี่ย ภรรยาที่แสนดี ปล่อยสามีไปเถิด”
ความจริงแล้วหลังจากเว่ยฉางอิ๋งสาดน้ำใส่เขาก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พลันรู้สึกสำนึกเสียใจ ได้ยินคำจึงอาศัยโอกาสนี้เป็นทางลง ส่งเสียงหึแล้วว่า “เห็นแก่ที่เจ้าน่าสงสาร ครานี้ก็ปล่อยเจ้าไปก่อน”
แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขาเช็ดเนื้อตัว
เสิ่นจั้งเฟิงเช็ดไปสองทีก็ส่งคืนให้แก่นาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าดูสิ มีดอกบัวแล้ว”
เพราะตอนนี้ทางด้านซ้ายปลดเสื่อหญ้าลงเพื่อบังแสดงแดด เว่ยฉางอิ๋งจึงมองไปทางขวามือ… ปรากฏว่ามองเห็นเป็นใบบัวมากมาย บางก็ลอยอยู่บนผิวหน้า บ้างก็ลอยพ้นจากผิวน้ำ ชูก้านให้เห็นเด่นชัด
เสิ่นจั้งเฟิงแนะนำไปว่า “ฝูหรงโจวก็คือศูนย์กลางของกลุ่มดอกบัวนี้ เพราะมีคนมาท่องเที่ยวมากในฤดูใบไม้ผลิ ที่นั่นจึงมีร้านสุราอยู่สองสามร้าน เพียงแต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิผ่านไป คนมาท่องเที่ยวน้อยลง ร้านสุราโดยมากจึงปิด และร้านสุราบ้านเจี่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ที่แท้ในทะเลสาบนี้ยังมีเกาะด้วย”
“กลับมิใช่เกาะ” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “หากว่าเป็นเกาะ ก็ต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่น้ำลดลงจึงจะโผล่พ้นจากน้ำ ที่เรียกว่าร้านสุรานั้นล้วนเป็นเรือลำใหญ่มีหลังคา เพราะทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิกว้างใหญ่ มักมีเรือของผู้มาท่องเที่ยวมาที่ใจกลางของทะเลสาบเพื่อมาดื่มกินกัน หากเป็นเรือที่ใหญ่สักหน่อยก็จะสามารถทำอาหารได้เองบนเรือนั่นก็แล้วไป ส่วนเรือเล็กเช่นของพวกเรากลับทำไม่ได้ ลำพังเพียงเอาอาหารแห้งๆ มาหรือรอจนกลับไปบนฝั่งก็หมดสนุกกันพอดี จึงมีคนหัวใสทำร้านสุราในฝูหรงโจว เหตุที่เลือกฝูหรงโจวก็เพราะหนึ่งที่นี่น้ำตื้น จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากลมหรือฝน สองฤดูใบไม้ผลิในฝูหรงโจวเต็มไปด้วยหญ้าหอมทอดยาวไปจรดปลายฟ้า ทั้งยังมียอดบัวเล็กๆ ในฤดูร้อนมีดอกบัวงามตา ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวดอกบัวโรยเหลือเพียงหิมะสามารถมาเล่นต่อกลอน ดีกว่าให้ผู้มาท่องเที่ยวต้องกลับไปหาของดีๆ กินบนฝั่งมากนัก ส่วนสามนั้น ฝูหรงโจวแห่งนี้อยู่ห่างจากใจกลางทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิไม่มากนัก ไม่ว่าจะขึ้นลงน้ำจากฝั่งใด เพียงแค่ล่องเรือท่องทะเลสาบสักพัก ก็ล้วนสามารถมาที่นี่ได้อย่างสะดวก”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “มิใช่บอกว่าเรือใหญ่ไม่สะดวกจะเข้ามาที่นี่หรอกหรือ?”
“พวกเขาอาศัยช่วงน้ำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ แล่นเรือใหญ่เข้ามายามใบบัวยังไม่แน่น” เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ความจริงแล้วเรือใหญ่หลายลำที่นี่ล้วนทำเป็นร้านสุราเป็นการเฉพาะ ไม่เคยแล่นออกไปเลย มีหลายลำที่เท่ากับว่าเกยตื้นแล้ว”
ระหว่างที่พูดไป ใบบัวโดยรอบก็ค่อยๆ แน่นขนัดขึ้นมา บางคราแน่นจนถึงขั้น ขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่ก็มีดอกบัวใบบัวที่สูงกว่าหัวคนสะบัดผ่านมาจากนอกหน้าต่างเรือ กลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัวพัดโชยเข้ามาหลายตลบ ทั้งมีแมลงปอ ผึ้ง ผีเสื้อกำลังรุมเกาะอยู่ที่เกสรดอกไม้ ส่งเสียงหึงๆ ดังไปหมด
“ดูซิว่ามีฝักบัวหรือไม่” เสิ่นจั้งเฟิงม้วนแขนเสื้อขึ้น ขยับตัวไปที่หน้าต่างเรือแล้วร้องบอกภรรยา “ข้าจะเลือกมาสองอัน เจ้ารับปากข้าแล้วว่าจะแกะเม็ดบัวให้ข้ากิน”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ผู้ใดไปรับปากเจ้ากัน?” คำพูดพูดไปเช่นนั้น แต่ก็ยังทำตามคำขยับเข้าไปที่ข้างลำเรือ… พลันรู้สึกว่าตัวเรือคลอนอย่างแรง! นางตกใจมากจึงรีบไม่ขยับเสีย ได้ยินเฉาอิงเม่ยคล้ายจะตกใจเช่นกัน แล้วร้องเสียงดังมาว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อยจะลงไปใกล้ๆ น้ำเก็บบัวหรือเจ้าคะ?”
เสิ่นจั้งเฟิงมีประสบการณ์มากกว่าเว่ยฉางอิ๋ง ได้ยินคำจึงเข้าใจทันที กล่าวว่า “ไม่ผิด เมื่อครู่นี้พวกเราขยับไปข้างกราบเรือพร้อมกัน ทำเจ้าตกใจแล้วรึ?”
เฉาอิงเม่ยเอยยิ้มๆ ว่า “ข้าน้อยอยู่บนน้ำทุกวัน แล้วจะตกใจไม่ตกใจที่ใดกันเจ้าคะ? เพียงแต่เรือลำนี้บางเล็กนัก หากคุณชายและฮูหยินน้อยอยากจะไปใกล้น้ำเพื่อเก็บดอกบัว ก็ต้องบอกข้าน้อยสักคำ เพื่อให้ข้าน้อยได้จัดแจงตำแหน่ง เพื่อมิให้ข้าน้อยไม่ทันระวัง หากทำให้เรือเล็กคว่ำเอา แล้วจะเป็นการล่วงเกินคุณชายและฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งแอบหยิกเสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง กล่าวโทษเขาไปว่า “ล้วนเป็นเพราะเจ้า ไม่ยอมบอกข้าสักคำ” แล้วร้องขอไปว่า “ข้าไปเก็บฝักบัวเอง เจ้ากลับไปนั่งดีๆ เถิด!”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “เจ้าไปนั่ง แล้วให้ข้าไปเถิด ดูสิที่นี่มีผึ้งตั้งมากมาย อย่าได้ต่อยเจ้าเอา”
เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งคิดอยากจะไปเก็บด้วยตัวเอง แต่เมื่อได้ยินว่ามีผึ้งจำนวนมาก แล้วมองดูแมลงต่างๆ ที่บินวนเวียนเข้าออกอยู่รอบๆ ดอกไม้ นางจึงรีบไปหยิบเอาพัดวงกลมเตรียมจะตบพวกที่บินเข้ามา พลางกำชับว่า “เจ้าเลือกเก็บฝักที่ใหญ่สักหน่อยเล่า”
เฉาอิงเม่ยเข้าใจเรื่องนี้ดี และรู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาอยากจะเด็ดฝักบัวเพื่อหาความสำราญ จึงจงใจแล่นเรือให้ช้าลง และวิ่งผ่านระหว่างดอกและใบบัวอย่างชำนาญ ในเมื่อเรือแล่นช้า ย่อมหาฝักบัวได้ง่าย
เว่ยฉางอิ๋งกลับไปนั่งข้างโต๊ะ คอยจ้องมองไปข้างนอกเรือไม่วางตา แล้วพลันร้องออกมาอย่างยินดีว่า “ดูทางนั้นๆ มีอันหนึ่ง!”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็เห็นแล้ว…” จึงพลิกมือไปเคาะเสื่อบังแดดที่อยู่ข้างหลัง เพื่อให้เฉาอิงเม่ยพายเข้าไป
เมื่อขยับเข้าไปใกล้ เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งรู้สึกถึงความแน่นขนัดของใบและดอกบัว เดิมทีเรือเล็กที่พวกเข้านั่งอยู่ก็เล็กและแคบมากอยู่แล้ว แต่ยังต้องแทรกตัวเข้าไปในกอบัวจึงจะเข้าไปอยู่ข้างๆ ฝักบัวได้ เวลานี้ทั้งใบและดอกบัวดันตัวเข้ามาในเรือจนทำให้รู้สึกเบียดแน่นแทบไม่มีลมผ่าน นี่ยังเป็นเรือแจวที่มีลำเรือแคบๆ หากเป็นเรือใหญ่ และมิใช่ฤดูที่ต้นบัวเฉา หากคิดจะเข้ามาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งมองดูเสิ่นจั้งเฟิงที่กำลังโน้มตัวลงไปเก็บฝักบัวด้วยความเปรมปรีดิ์เต็มหัวใจ หากรู้ไม่ว่า ในขณะที่เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะไปแตะถูกฝักบัวนั้นแต่ยังไม่ทันสัมผัสโดน ข้างหลังฝักบัวพลันมีมืองามคู่หนึ่งเอื้อมออกมาจับที่ก้านตรงใต้ฝักบัว แล้วออกแรงอย่างชำนิชำนาญ ได้ยินเพียงเสียง ‘แกร็ก’ เบาๆ หนหนึ่ง ฝักบัวฝักนั้นก็ถูกเก็บเอาไปต่อหน้าต่อตาสามีภรรยาทั้งสองคน!
…หากว่าหลังจากนั้นไม่ได้มีถังไม้ลอยออกมาจากท่ามกลางต้นบัวที่แน่นขนัด แล้วสามารถมองลอดช่องเล็กๆ ระหว่างใบและดอกบัวเห็นว่าในถังไม้มีเด็กสาวผิวค่อนข้างคล้ำกำลังยิ้มแฉ่งมองมา เว่ยฉางอิ๋งก็จะนึกไปว่านางได้พบกับปีศาจในทะเลสาบเข้าให้แล้ว…
นางยกพัดวงกลมขึ้นมาบังหน้าไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อปิดบังสีหน้าที่เปลี่ยนไปเพราะความตกใจยกใหญ่ แล้วจ้องมองดูเด็กสาวผู้นี้ด้วยความเคลือบแคลง กลับเห็นว่าเด็กสาวผู้นี้อายุราวสิบหกปี มีผ้าลายดอกโพกหัวอยู่เช่นเดียวกับเฉาอิงเม่ย นอกจากผ้าโพกหัวแล้วยังสวมหมวกก้านหลิวเอาไว้กันแดด บนตัวสวมเสื้อหรูตัวสั้นและกระโปรงหลัวฉวินที่ทำจากผ้าหยาบๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถังไม้ ข้างหน้านางมีฝักบัว กระจับ พืชผักต่างๆ กองเล็กๆ กองหนึ่ง… ที่แท้เป็นหญิงเก็บบัว
เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก เมื่อพบว่าตนตกอกตกใจไปเอง จึงอดคับแค้นใจขึ้นมาไม่ได้
เพียงแต่หากจะไปถือสาหาความกับหญิงเก็บบัวด้วยเรื่องฝักบัวฝักหนึ่งก็ถือเป็นการเสียเกียรติ นางจึงตั้งสติแล้วหันมาพูดกับเสิ่นจั้งเฟิงที่ยามนี้ก็มีสีหน้าผิดหวังเช่นเดียวกัน “พวกเราเปลี่ยนไปที่อื่นเถิด”
เห็นว่าในถังไม้ของหญิงเก็บบัวผู้นี้มีฝักบัวอยู่จำนวนมากแล้ว คิดว่าบริเวณใกล้ๆ ที่มีกอบัวอยู่ก็คงจะถูกนางเก็บไปจนเกลี้ยงแล้ว
เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะพยักหน้า ไม่คิดว่าหญิงเก็บบัวผู้นั้นกลับเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเริงร่าว่า “คุณชายอยากจะเก็บฝักบัวฝักนี้หรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงมองนางหนหนึ่ง กล่าวว่า “ภรรยาข้าปรารถนาเช่นนั้น”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าตนเองมิได้ไปถือสาหญิงเก็บบัว แต่หญิงเก็บบัวผู้นี้กลับเข้ามาสนทนากับเสิ่นจั้งเฟิงต่อหน้าต่อตาตน จึงอดรู้สึกไม่พอใจไมได้ แต่เมื่อได้ยินว่าพอเสิ่นจั้งเฟิงออกปากก็เอ่ยถึงตน จึงเปลี่ยนจากโมโหมาเป็นยินดี แล้วจงใจทำเสียงให้อ่อนโยน ขยับตัวเข้าไปดึงแขนเสื้อเสิ่นจั้งเฟิง กล่าวว่า “ก็มิใช่จะต้องเอาเสียให้ได้หรอก พวกเราไปกันก่อนเถิด”
เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่ทันตอบคำ กลับเห็นหญิงเก็บบัวเลือกเอาฝักบัวที่อวบใหญ่ที่สุดฝักหนึ่งออกมาจากในถังไม้ของตน แล้วโยนข้ามน้ำเข้ามาในเรือเล็ก เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่าฝักบัวนี้พุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง จึงรีบเอื้อมมือออกไปรับเอาไว้ พลางขมวดคิ้วน้อยๆ เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเรือก็ยังเล็กแคบมาก หากคิดจะโยนมาให้ก็เหลือที่ทางให้โยนไม่มากนัก อีกฝ่ายคงไม่ได้มีเจตนา ทางหนึ่งส่งฝักบัวให้เว่ยฉางอิ๋ง อีกทางหนึ่งล้วงมือลงในอกเสื้อ กล่าวว่า “ขอบใจแม่นางมาก แต่กลับไม่รู้ว่ากี่อัฐ”
ไม่คิดว่าหลังจากหญิงเก็บบัวผู้นั้นโยนฝักบัวมาให้แล้ว กลับเอามือค้ำแก้มพลางยิ้มแย้มเบิกบาน ไม่ได้ละสายตาจากเขาแต่อย่างใด ได้ยินคำกลับหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “ไม่เอาเงินหรอก”
เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งล้วนสะดุ้ง แล้วได้ยินหญิงเก็บบัวผู้นั้นกล่าวยิ้มอย่างยินดี “คุณชายรูปงามดังแท่งหยก หล่อเหลาเกินผู้ใด วันนี้ข้าได้พบ ก็แอบมอบใจให้ในทันใด แต่จนใจเหลือที่คุณชายมีภรรยาแล้ว ข้าน้อยจึงทำได้เพียงมองสักหลายๆ หน และมอบฝักบัวเป็นสินน้ำใจได้เท่านั้น!”
คำพูดนี้ทำเอาเว่ยฉางอิ๋งแทบจะโยนฝักบัวกลับไปในถังไม้ของนางเสีย!
_____________________________