ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 77
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 77 ร้านสุราบ้านเจี่ย
ตอนที่ 77 ร้านสุราบ้านเจี่ย
โดย
Xiaobei
เรือลำน้อยจวนจะถึงฝูหรงโจวแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงทนสายตาที่ยิ่งดูยิ่งแปลกประหลาดของเว่ยฉางอิ๋งไม่ไหว จึงหัวเราะเสียงลั่นขึ้นมาพลางเอื้อมมือบิดข้างแก้มนางเบาๆ พลางว่า “มีเรื่องใด?”
“นี่เจ้ากล้าลงมือจริงๆ ด้วย” เว่ยฉางอิ๋งผลักมือเขาออก ถอนหายใจพลางว่า “คราก่อนพี่ใหญ่เหม่ยของพวกนางกำเริบเสิบสานออกปานนั้น หากข้ามิได้เห็นแก่ฐานะตนก็จะไม่ยอมปล่อยนางไป! แต่เจ้ากลับเกรงอกเกรงใจชาวบ้านนั่นนัก ข้าเองก็รู้ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นชาย จึงไม่กล้าลงมือกับผู้หญิง คิดไม่ถึงว่าจนถึงคราหญิงเก็บบัวทั้งกลุ่มเมื่อครู่นี้ ซึ่งคนที่เล็กสักหน่อยก็อายุเพียงเท่านั้นเอง แต่เจ้าก็กลับลงมือเสียได้ ทั้งยังกรีดที่ใบหน้าชาวบ้านเขาอีก… นับวันข้าก็ยิ่งดูเจ้าไม่เข้าใจเสียจริงๆ”
แรกเริ่มนั้นนางไม่เคยพบเสิ่นจั้งเฟิงมาก่อน เมื่อครั้งที่รู้ว่าตนมีคู่หมั่นผู้หนึ่ง ฟังจากข่าวคราวที่แพร่จากเมืองหลวงไปถึงเฟิ่งโจว เสิ่นจั้งเฟิงเป็นบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่มีความเป็นเลิศยิ่ง และตระกูลเสิ่นก็ให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลบู๊ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคนทั้งยังเคยเข้ารบที่ซีเหลียง ครั้งนั้นนางจึงจินตนาการไปว่า เสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นบุตรหลานที่ตระกูลเสิ่นให้ความสำคัญ…จักต้องเป็นชายหนุ่มกำยำตัวโตไร้สมอง ทั้งกักขฬะหยาบคาบ ไม่เข้าใจเรื่องหัวจิตหัวใจและไร้กาลเทศะ
ภายหลังเมื่อได้พบกับเสิ่นโจ้ว จึงคาดเดารูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงจากตัวเสิ่นโจ้ว นางรู้สึกว่าในเมื่อเป็นอาหลานแท้ๆ กันเช่นนั้นก็คงจะไม่ผิดกันแน่ ด้วยการคาดคะเนไปดังนี้จึงยิ่งตอกย้ำว่าภาพที่นางเคยจินตนาการเอาไว้นั้นถูกต้อง ในใจจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็เป็นตอนที่เสิ่นจั้งเฟิงรีบตามมาส่งกระบี่ ‘ลู่หู’ ที่เฟิ่งโจว มองเห็นเขาปลดงอบลงเพื่อคารวะแม่เฒ่าซ่ง ชายหนุ่มในชุดขุนนางสีแดงเข้มแม้จะเปียกปอนไปทั้งตัว แต่กลับยังคงยื่นเที่ยงตรงดังท่อนทวน ท่ามกลางดวงหน้าหล่อเหลาช่างมีความเฉียบคมที่แสนชัดเจน… ตรงตามรสนิยมของเว่ยฉางอิ๋งทุกประการ กอปรกับในครั้งนั้น เขาก้าวออกมาอย่างห้าวหาญในช่วงเวลาที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานพอดิบพอดี… เว่ยฉางอิ๋งจึงแทบจะหวั่นไหวขึ้นมาในทันใด
จากบุตรสาวในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ ที่แต่ไรมาอยู่ในฐานะสูงส่งเหนือเหนือคน แต่เพียงชั่วข้ามคืนกลับต้องมาอยู่ในสภาพที่ถูกผู้คนด่าทอรังเกียจ พี่น้องที่เคยดูแลปกป้องกันมาอับอายที่จะนั่งร่วมรถ เพื่อสามารถรักษาธรรมเนียมอันดีงามของตระกูลเอาไว้คนในตระกูลล้วนรอให้นางตายไปไวๆ ไม่ไหว หากมิใช่คนที่เคยประสบกับเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนก็จะยากจะเข้าใจถึงความสิ้นหวังของเว่ยฉางอิ๋งในเวลานั้น
นางหาใช่คนที่เกิดมากท่ามกลางดงเถาวัลย์หนามที่เคยชินกับความเจ็บปวดทรมาน ก่อนจะเกิดเรื่องลอบทำร้ายบนถนนหลวง แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่ง นายหญิงสองรุ่นของรุ่ยอวี่ถังล้วนเห็นนางเป็นอัญมณีแสนรักที่ทะนุถนอมเอาไว้ในฝ่ามือ และเป็นดวงใจที่พวกนางคอยอบรมเลี้ยงดูมา คำพูดไม่น่าฟัง เสียงด่าทอรังเกียจ หรือแม้แต่คำพูดแรงๆ ก็ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน
แล้วจู่ๆ ชีวิตนางก็กลับตาลปัตร จนยามนี้เมื่อใดที่คิดขึ้นมานางก็ยังอดจะเย็นวาบในหัวใจไม่ได้
หากไม่ได้เสิ่นจั้งเฟิงเร่งนำกระบี่มามอบให้ที่เฟิ่งโจว และการวางแผนอันแยบยลของแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นท่านย่าของนางแล้ว แม้เว่ยฉางอิ๋งจะสามารถดิ้นรนออกมาจากห้วงเหวลึกได้และไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ก็เกรงว่าความขุ่นมัวในจิตใจคงยากจะลบเลือนไปได้ชั่วชีวิต
โชคดีที่ท่านปู่เว่ยฮ่วนมีสายตาไม่เลวเลยจริงๆ ชายหนุ่มที่มีชาติกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์เช่นเดียวกับตน และมีฐานะในตระกูลไม่ต้อยไปกว่านางผู้นี้ ได้ยื่นมือออกมาช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ดำมืดและลำบากที่สุดของนาง เขาไม่ได้ผลักนางลงไป แต่กลับโน้มตัวลงและดึงนางออกมา… โดยมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเมื่อเขาดึงนางออกมานั้น มลทินที่เกิดจากธรรมเนียมความเชื่อนานาจะต้องแปดเปื้อนตัวเขาเช่นกัน
นับแต่สายตาที่หันมาจากบนระเบียงทางเดินท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ร่วงครานั้น จนถึงการพบหน้าหนหนึ่งที่ลานต้นฮวายในฤดูใบไม้ผลปีนี้ จากนั้นก็คือการอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนนับแต่นางออกเรือนมา สามีที่อยู่ในใจของเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนอ่อนโยนใจกว้างเสมอต้นเสมอปลาย คล้ายจะมีแต่รอยยิ้มเช่นนั้น…..และยังมีความใส่ใจดูแลเสมอมา….
ดังนั้นแล้ว การที่เว่ยฉางอิ๋งตวาดเขาเรื่องที่เขาจะลงไม้ลงมือกับชายเก็บบัวที่อาจจะปรากฏตัวออกมา แต่กลับไม่ยอมลงมือไล่พี่ใหญ่เหม่ย หญิงเก็บบัวที่มาให้ท่าเขาก่อนหน้านี้ ย่อมทำให้นางนึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงมิใช่คนที่จะลงมือตวัดกระบี่ใส่ผู้หญิง
แต่เมื่อครู่นี้ เสิ่นจั้งเฟิงไม่เพียงแค่ลงมือ กระทั้งเมื่อลงมือก็ยังทำรุนแรงถึงขึ้นทำลายโฉมคน… การลงมือครานี้ยิ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าไม่ต่างอันใดกับการสังหารพวกนางเสีย…
เว่ยฉางอิ๋งไม่คิดว่าที่เสิ่นจั้งเฟิงลงมือเช่นนี้เพราะคำพูดที่ตนเองต่อว่าเขาไม่ยอมลงมือกับผู้หญิง ทว่าสำหรับผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นบุตรหลานตระกูลมีชื่อเช่นนี้ เพราะต้องห่วงเรื่องรักษาหน้าตา จึงจะไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงตอนกลางวันแสกๆ ยิ่งไม่ต้องบอกว่าจะทำลายโฉมของผู้หญิงเลย
เดิมทีนางนึกว่าในเมื่อนางก็แต่งกับสามีผู้นี้แล้ว และตลอดวันคืนที่ผ่านมานางก็รู้สึกว่าตนเข้าใจเขา ทว่าเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น เว่ยฉางอิ๋งกลับยิ่งไม่แน่ใจในนิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงเสียแล้ว
มองดูสายตาที่เต็มไปด้วยเคลือบแคลงของภรรยา ทั้งฟังข้อกังขาของนาง เสิ่นจั้งเฟิงพลันเก็บรอยยิ้มเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ทำเจ้าตกใจแล้ว?”
“หาไม่” เว่ยฉางอิ๋งส่ายหัว แล้วยิ้มเยาะตนเอง กล่าวว่า “ข้าเคยสังหารคนมากับมือ ทั้งยังไม่ใช่เพียงผู้เดียว… ยามนี้ก็เป็นเพียงหญิงเก็บบัวที่บาดเจ็บกลุ่มหนึ่ง จะทำข้าตกใจได้ที่ใด?”
เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า แล้วแสดงท่าทีให้นางเข้ามาซบที่อกของตน เว่ยฉางอิ๋งลังเลอยู่สักพัก แล้วขยับเข้าไปตามคำเขา ริมฝีปากของเเสิ่นจั้งเฟิงเกือบจะแนบอยู่บนใบหูของนาง เอ่ยด้วยเสียงที่แทบไม่ได้ยินว่า “ตอนต้นปีข้าเคยได้ยินข่าวลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ว่าองค์รัชทายาทรงไปชอบพอหญิงเก็บบัวที่เจียงหนาน เพียงแต่ภายหลังก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้อีก วันที่หญิงเหล่านั้นบอกว่าเป็นคนขององค์รัชทายาท คาดว่าคงเป็นเรื่องจริงแล้ว”
สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนไปทันใด …ก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งเฟิงมิใช่บอกว่าพวกนางแอบอ้างเอาหรอกหรือ? เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปนางก็โยนทิ้งมิได้สนใจแล้ว
นางคิดอยากเอ่ยบางอย่าง แต่กลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงหยุดเอาไว้ เขาพูดต่อว่า “องค์รัชทายาทลุ่มหลงในกามารมณ์ เมื่อครู่นี้เจ้าทำร้ายหญิงแซ่สวี่ผู้นั้นจนบาดเจ็บ เมื่อคนที่เหลือกลับไปทูลฟ้อง หากพวกนางยังไม่ได้ไม่เป็นที่รัก ก็ยากที่องค์รัชทายาทจะไม่มาทำให้พวกเราลำบาก มิสู้บอกว่าพวกนางทำลายชื่อเสียงของตำหนักตะวันออก แล้วฉวยโอกาสนี้ทำลายโฉมพวกนางไปพร้อมกัน พวกนางก็จะต้องไม่เป็นที่รักขององค์รัชทายาท เมื่อถึงยามนั้น พวกเราไปเลือกหาหญิงงามเรื่อยเปื่อยสักกลุ่มมามอบแด่องค์รัชทายาทเป็นการไถ่โทษเป็นพอแล้ว”
“…หน้าตาของหญิงเก็บบัวเหล่านั้นก็มิได้งดงามอันใดนี่ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงไปชอบหญิงเช่นนี้?” เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจเข้าใจฝ่าบาทพระองค์นี้เลยจริงๆ แม้ไม่อาจพูดได้ว่าหญิงที่มีผิวคล้ำจะต้องไม่งดงามเสมอไป ทว่าคนกลุ่มนี้นับตั้งแต่พี่ใหญ่เหม่ยผู้นั้นจนถึงนางสวี่ แม้รูปร่างจะอรชรอ้อนแอ้น ส่วนหน้าตาอย่างดีที่สุดก็เพียงบอกได้ว่าหมดจดดีเท่านั้น ในคำเล่าลือบอกว่าองค์รัชทายาทลุ่มหลงในกามารมณ์ยิ่งนัก แล้วเหตุใดหญิงงามตามมาตรฐานของคนทั่วไป องค์รัชทายาทกลับไม่ชอบ แต่กลับมาชอบคนประเภทนี้หรือ?
เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกโชคดีขึ้นมาอีกครั้งที่ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่งไม่ได้แต่งเข้าราชสำนัก…
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ก็มิใช่ว่าองค์รัชทายาทจะ…อื่ม เรื่องขององค์รัชทายาท ผู้ดูจะล่วงรู้ได้เล่า?”
เห็นเขาเอ่ยคำคลุมๆ เครือๆ ไม่ยอมตอบ เว่ยฉางอิ๋งนึกใคร่ครวญว่า เกรงว่าในเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำบางอย่างที่ไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา จึงไม่ได้ไล่เรียงถามอีก ว่าแล้วจึงเข้าไปโอบเขาตรงสายคาดเอวที่มีหยกประดับห้อยอยู่ด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าใจร้อนไปหน่อย จึงก่อเรื่องเดือดร้อนให้เจ้าแล้ว”
“นั่นเพราะพวกนางรนหาที่เอง” เสิ่นจั้งเฟิงกลับมิได้เป็นทุกข์ร้อนใดๆ กล่าวว่า “หากพวกนางเป็นชายเก็บบัวกลุ่มหนึ่ง ข้าก็หาได้เพียงตีพวกเขาจนฟันหลุดไม่!” แล้วพลันหัวเราะร่าออกมา ก้มหัวลงไปแนบกับหน้าผากของนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เห็นอิ๋งเอ๋อร์หวงแหนสามีเพียงนี้ สามีรู้สึกดีใจจริงๆ”
เขายังหัวเราะออกมาได้… เว่ยฉางอิ๋งที่รู้ตัวว่าเป็นคนสร้างความเดือดร้อนกลับมิได้อารมณ์ดีเช่นนี้ นางเอ่ยถามด้วยความกังวลใจว่า “ทางองค์รัชทายาทนั้น จะตกลงกันง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“เจ้าอย่าได้มองคนขององค์รัชทายาทว่ายิ่งใหญ่เกินไปเลย” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางเป็นกังวล พลันยิ้มแล้วว่า “คนที่องค์รัชทายาทโปรดมีมากมายถมเถ แล้วจะนำมาอุ้มชูดูแลเสียทุกคนไปได้อย่างไร? ยิ่งมิต้องเอ่ยว่า หญิงเก็บบัวกลุ่มนี้ เกรงว่าจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของพระองค์เท่านั้น ต่อให้วันนี้ข้าไม่ลงมือ ภายหลังเมื่อองค์รัชทายาทสิ้นความสนพระทัยแล้ว บทลงเอยของพวกนางก็ไม่อาจจะดีไปที่ได้”
แล้วบอกอีกว่า “แม้ว่าองค์รัชทายาทยังไม่หน่ายแหนงพวกนาง แต่องค์ฮองเฮาก็เป็นผู้ที่เข้าใจหลักเกณฑ์ต่างๆ เป็นอย่างดี จะไม่มาล่วงเกินบ้านเราด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็บอกแล้วว่า เป็นเพราะมีคนจงใจทำลายชื่อเสียงของตำหนักตะวันออก”
เว่ยฉางอิ๋งไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของราชสำนัก ฟังแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บอกว่า “ข้าได้ยินมากว่าฮองเฮาฉลาดปราดเปรื่องนัก”
“ดังนั้นจึงรู้จักปล่อยวาง” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “อย่ากังวลเรื่องนี้เลย เจ้าดูสิ จวนถึงฟูหรงโจวแล้ว ข้างหน้านั่นเอง อีกประเดี๋ยวไปลองชิมฝีมือน้ำแกงปลาของลุงเจี่ยดู คนครัวของบ้านเรามาเรียนหลายหนยังทำไม่ได้เลย”
เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ามองไป ปรากฏว่าเห็นดอกบัวใบบัวค่อยๆ บางตาลง ทั้งยังมีโป๊ะไม้ไว้ขึ้นลงเรือลอยอยู่บนผิวน้ำด้วย บนโป๊ะมีเสาเตี้ยๆ อยู่อันหนึ่งเอาไว้สำหรับผูกเรือ ดูท่าแล้วบริเวณนี้จะเป็นที่ว่างที่เว้นเอาไว้สำหรับจอดเรือเล็กๆ โดยเฉพาะ แพทางเดินที่อยู่ข้างหลังโป๊ะมีเรือใหญ่มีหลังคาสามลำห้าลำ คล้ายจะผูกเอาไว้กับโป๊ะสะพาน สามารถเดินจากโป๊ะสะพานตรงขึ้นไปได้เลย
เวลานี้มีเพียงร้านสุราบ้านเจี่ยเปิดอยู่เพียงร้านเดียว นอกนั้นล้วนมีฝุ่นจับอยู่เต็มไปหมด เมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องมากระทบ สีแดงสดของตัวลำเรือโดยรอบขับกับสีเขียวของใบบัวอย่างเด่นชัด ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเงียบเหงาเสื่อมโทรม
เรือลำใหญ่ซึ่งเป็นร้านสุราบ้านเจี่ยและมีธงคำว่าสุราแขวนอยู่สูงๆ ลำนั้นเห็นชัดว่ามีการปัดกวาดมาก่อน ตัวเรือที่มีร่มเงาบังเอาไว้ ยังมีรอยเปียกจากการเช็ดล้างอยู่หลายรอย ภายในก็มองเห็นว่ามีคนเดินไปมา
เฉาอิงเม่ยจอดเรือลำน้อยไว้ที่ข้างโป๊ะ เปลี่ยนเอาลำไผ่ถ่อเรือมาและยึดเรือไว้ให้อยู่กับที่ แล้วเรียกคนสองคนที่อยู่บนโป๊ะมา เวลานี้ก็มีคนจากร้านสุราบ้านเจี่ยวิ่งออกมาช่วย เป็นคนหนุ่มสาวชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ดูคล้ายเป็นสามีภรรยากัน ชายคนนั้นมีใบหน้าดูซื่อตรง เขาโค้งตัวลงคำนับทักทายมาจากที่ไกลๆ เสิ่นจั้งเฟิงว่ายน้ำเป็นทั้งยังฝึกวรยุทธ์มานานปี เท้าก้าวได้มั่นคง ไม่รอให้เขาเข้ามาประคองก็กระโดนขึ้นไปบนโป๊ะแล้ว จากนั้นจึงหันกลับมาประคองเว่ยฉางอิ๋ง
รอจนทั้งสองคนนี้ไปข้างหน้าแล้ว แม้เว่ยฉางอิ๋งจะขึ้นไปยืนบนโป๊ะสะพานดีแล้ว แต่นางก็ว่ายน้ำไม่เป็น และแม้ว่าโป๊ะสะพานจะกว้างมาก แต่มันก็ยังคงโยกคลอนอยู่น้อยๆ ไปตามคลื่นในทะเลสาบ นางจึงเอาแต่นับมือเสิ่นจั้งเฟิงแน่นไม่ยอมปล่อย
ทั้งสองคนที่ออกมาจากร้านสุราบ้านเจี่ยเข้ามาข้างหน้าใกล้ๆ แล้วคำนับและกล่าวคำทักทายอีกครั้ง โดยหันไปเอ่ยยิ้มๆ กับเสิ่นจั้งเฟิงก่อนว่า “คุณชายสามไม่เคยมาที่ในฤดูร้อนมาก่อนเลย แต่ปีนี้กลับครึ้มอกครึ้งใจมาได้นะขอรับ”
หญิงผู้นั้นก็บอกว่าเป็นโชคดีนัก นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮูหยินน้อยเพิ่งมาเป็นคราแรก ท่านพ่อง่วนอยู่ในครัวตลอดช่วงเช้าเป็นการพิเศษ เพียงแต่พวกข้าน้อยเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่มีหน้าตาใดๆ จึงหวังให้ฮูหยินน้อยอภัยผ่อนผันให้ด้วยเจ้าค่ะ” เป็นสามีภรรยากันจริงๆ คาดว่าคงจะเป็นบุตรชายและสะใภ้ของลุงเจี่ยผู้นั้น
เว่ยฉางอิ๋งเห็นพวกเขาคุ้นเคยกับเสิ่นจั้งเฟิง จึงกล่าวไปอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ฟังท่านพี่บอกว่าฝีมือของลุงเจี่ยเป็นเลิศนัก”
“ฮูหยินน้อยชมเกินไป ก็เป็นเพียงชาวบ้านในทะเลสาบที่ทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ได้สองสามอย่าง เพียงแต่ให้ฮูหยินได้ลิ้มลองความสดใหม่เท่านั้นเจ้าค่ะ” หญิงผู้นั้นแม้จะเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง แต่คงเพราะเคยต้อนรับแขกคนสูงศักดิ์มาจนคุ้นเคยแล้ว ฝีปากของนางจึงได้คล่องแคล่วเป็นพิเศษ นางจึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้มและมิได้ประหม่าใดๆ กับฐานะของเว่ยฉางอิ๋ง
พลางพูดพลางเดินเข้าไปในร้านสุรากันไปเช่นนี้ เฉาอิงเม่ยผูกเรือเรียบร้อยแล้ว จึงเดินตามไปข้างหลัง
เมื่อถึงตรงหน้าร้านสุรา เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งมองเห็นชัดเจนว่าระหว่างเรือลำใหญ่และโป๊ะสะพานก็มิได้เชื่อมต่อกันเสียทั้งหมด หากแต่มีโซ่เหล็กหลายเส้นจากเรือใหญ่เชื่อมต่อไปยังโป๊ะสะพาน และเอาแผ่นไม้ปูเอาไว้ จึงยิ่งทำให้ทางสายนี้สั่นไหว และโยกไปมาเหมือนกับชิงช้าเช่นนั้น
เสิ่นจั้งเฟิงรู้ว่านางกลัว จึงปล่อยมือที่ทั้งสองคนเกาะกุมกันไว้ แล้วมาประคองที่ไหล่นาง กล่าวว่า “เจ้าเดินอย่างวางใจเถิด”
แล้วขึ้นเรือใหญ่อย่างระมัดระวังไปเช่นนี้ เมื่อยืนบนพื้นเรือได้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ลอบโล่งใจ กำลังจะพูด แต่กลับมีคนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังมาจากในตัวเรือ แล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นเสิ่นสาม! พวกเรารอเจ้าเสียจนลำบากจริงๆ!”
เสียงหัวเราะทั้งดังกังวานและจู่ๆ ก็ดังขึ้นมา ทำให้เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจ และเห็นว่าภายในเรืองมีชายหนุ่มในชุดหรูหราสามคนซึ่งมีเด็กรับใช้ห้อมล้อมตัวอยู่สี่ห้าคนเดินออกมา คนที่หัวเราะเสียงดังนั้นก็คือคนที่อยู่ข้างหน้าสุด คนผู้นี้อายุราวยี่สิบกว่าปี บนหัวสวมหมวกไม้ไผ่ สวมชุดเสินอีตัวยาวต่อกันสีน้ำเงินเข้ม ในมือถือพัดที่พับเก็บได้อันนึ่ง … แต่มิได้พกเอาไว้เพื่อความสง่างาม หากแต่เพราะร้อนจนทนไม่ไหว จึงกำลังโบกพัดอย่างเต็มกำลัง จากท่าทีที่แสดงออกมาเผยให้เห็นถึงความผ่อนคลายไม่เคร่งครัด
ข้างหลังเขามีคนสองคนเดินตามมา คนข้างซ้ายสวมชุดเผาซานคอกลมสีน้ำเงิน บนหัวสมหมวกผ้า เพราะอาการร้อนอบอ้าว รอบคอกลมของเสื้อถูกเหงื่ออาบจนเปียกและเปลี่ยนเป็นสีเข้ม คนผู้นี้ผิวขาวสะอาด หน้าผากกว้าง หน้าตาหล่อเหล่ายิ่ง… เว่ยฉางอิ๋งอดคาดเดาไม่ได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาไม่เลวเลย ไม่รู้ว่ายามเขามาจะได้พบเจอกับกลุ่มหญิงเก็บบัวที่ทำการบุ่มบ่ามไม่เกรงกลัวใคร แล้วจะถูกขวางเอาไว้เช่นกันหรือไม่…
ชายทางด้านขวา ดูไปแล้วมีอายุน้อยที่สุด กระทั่งยังมิได้สวมหมวกเลยด้วยซ้ำ เขาสวมชุดเผาซานสีนวลจันทร์ทั้งตัว มีปิ่นไม้ไผ่ม้วนผมไว้ หน้าตากลางๆ จากท่าทางเห็นชัดว่าเป็นคนเงียบขรึมนัก
ขณะนั้นเอง ทั้งสามคนนี้ก็มองเห็นเว่ยฉางอิ๋งเช่นกัน เพราะสอบถามได้ความมาจากร้านสุราก่อนหน้านี้นานแล้วว่าที่เสิ่นจั้งเฟิงมาในวันนี้ก็เพื่อพาภรรยามาท่องทะเลสาบ ยามนี้จึงรีบเข้าไปทักทายคารวะ
เมื่อคารวะกันเสร็จแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงต้องแนะนำคนทั้งสามให้ภรรยาได้รู้จัก ชายสวมหมวกไม้ไผ่และโบกพัดจนแทบหักที่ยืนอยู่หน้าสุดผู้นั้นคือกู้หน่ายเจิง นามรองจื่อเลี่ย เป็นบุตรหลานตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง เป็นพี่ชายร่วมตระกูลของกู้อี้หราน คนข้างหลังเขาทั้งสองคนล้วนเป็นบุตรหลานตระกูลฮั่วแห่งอวิ๋นเสีย คนที่สวมชุดเผาซานสีน้ำเงินคือบุตรชายในสายหลัก ฮั่วเจ้าอวี้ นามรองเจียย้าว ส่วนคนที่สวมชุดสีนวลจันทร์นั้นเป็นบุตรชายอนุ เป็นน้องชายต่างมารดาของฮัวเจ้าอวี้นามว่าฮั่วเฉินยวน
เมื่อแนะนำประวัติของแต่ละคนแล้ว เพราะกู้หน่ายเจิงเป็นคนเอ่ยถามขึ้นก่อน ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงจึงอมยิ้มถามไปว่า “พี่จื่อเลี่ย พี่เจียย้าว น้องฮั่วเสียน เหตุใดวันนี้จึงได้มาที่นี่?
กู้หน่ายเจิงยิ้มน้อยๆ พับพัดเก็บแล้วอามาตีที่ฝ่ามือแรงๆ เห็นหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น ถอนหายใจยาวกล่าวว่า “ก็มิใช่ว่าเพราะพวกเจ้านั่นล่ะ?”
____________________________________________