ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 79
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 79 กบในกะลา
ตอนที่ 79 กบในกะลา
โดย
Xiaobei
เดิมทีที่มาฝูหรงโจวก็เพื่อต้องการพักผ่อนหย่อนใจ ปรากฏว่าต้องได้พบกับหญิงเก็บบัวไร้ยางอายกลุ่มใหญ่มาหาเรื่อง จากนั้นก็มาเจอกับคนที่พบเห็นได้ยากในบุตรหลานตระกูลใหญ่อย่างกู้หน่ายเจิง ความสำราญของเว่ยฉางอิ๋งจึงหดหายไปสิ้น เวลานี้หวังเพียงให้ทานข้าวเสร็จเร็วๆ แล้วได้กลับไปพักผ่อนในเรือนรับรองเสียที
อาหารมือนี้ผ่านไปอย่างยากลำบาก… นอกจากกู้หน่ายเจิงแล้ว ทุกคนที่วางตะเกียบลงล้วนต้องปาดเหงื่อกันหลายหน เป็นความรู้สึกรอดพ้นจากภยันตรายอย่างหนึ่ง
จากนั้นทุกคนจึงได้เอ่ยลากับครอบครัวลุงเจี่ยที่กำลังเก็บกวาดแล้วจากไป ระหว่างนั้นลุงเจี่ยออกมาทักทายเป็นการพิเศษ เว่ยฉางอิ๋งมองดูเขา ท่านลุงผู้นี้ดูไปแล้วคล้ายว่าอายุเกินสิบสองรอบแล้ว แต่คาดว่าอายุจริงๆ คงไม่มากเท่านี้ นั่นเพราะบุตรชายและสะใภ้ของเขาล้วนยังหนุ่มสาว คงเพราะคนในทะเลสาบต้องพบเจอกับลมฝนมานานปี จึงทำให้ดูชราอย่างเห็นได้ชัด
เขาเป็นคนสูงอายุที่ใบหน้ามีเมตตา บนตัวมีกลิ่นคาวปลาเล็กน้อย แต่กริยาวาจากลับมีมารยาทยิ่ง คาดว่าเพราะเขาเปิดร้านสุราที่นี่ จึงเคยต้อนรับดูแลบุตรหลานคนชั้นสูงมาไม่น้อย จึงทำให้คนที่เดิมทีไม่เข้าใจเรื่องใด พอนานวันเข้าก็สามารถเรียนรู้วิธีการดูแลแขกที่มาจากตระกูลใหญ่ต่างๆ ได้นั่นเอง
…โดยสรุปแล้ว วันนี้หากไม่ได้พบกับกู้หน่ายเจิง ทุกสิ่งจะดีงามเพียงใดนะ!
แต่น่าเสียดายที่ไม่เพียงได้พบกับกู้หน่ายเจิง เมื่อลงมาจากเรือใหญ่และเดินมาบนโป๊ะสะพานแล้ว กู้หน่ายเจิงยังร้องขออย่างกระตือรือร้นว่า “ในเมื่อพวกเราบังเอิญได้พบกัน ก็คงมีวาสนาต่อกัน มิสู้ออกไปจากฝูหรงโจวด้วยกัน ระหว่างทางจะได้ครึกครื่นกันสักหน่อย”
พี่น้องบ้านฮั่วหันไปมองเว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้มีสีหน้าแทบจะดำคลำไปทั้งหน้า แล้วพลันมีเหงื่อไหลอาบดังสายฝน จึงฝืนยิ้มพลางดึงตัวเขาไว้ “พี่จื่อเลี่ย! พี่จื่อเลี่ย! พี่จื่อเลี่ยกล่าวเช่นนี้หรือเพราะรังเกียจที่พวกข้าพี่น้องซื่อเซ่อเกินไป สนทนาด้วยไม่สนุกหรือ? พวกข้าสนทนากับพี่จื่อเลี่ยก็พอแล้ว ไยต้องรบกวนน้องย้าวเหยี่ยและน้องสะใภ้อีกเล่า?”
คนเขามาด้วยกันสองสามีภรรยา มาท่องทะเลสาบและทานอาหารกันอย่างมีความสุข แม้แต้สาวใช้สักคนก็ยังไม่พามาด้วย เห็นได้ว่าไม่อยากถูกรบกวนเพียงใด พวกเราไม่ดูตาม้าตาเรือเข้ามาขอทานข้าวด้วยก็ถือว่าล่วงเกินพวกเขาแล้ว ยามนี้ที่สุดทานก็ข้าวเสร็จแล้ว เจ้ายังไม่ยอมปล่อยเขาไปอีก เจ้าคิดจะจองเวรไม่เลิกรึ!?
กู้หน่ายเจิงมองพวกเขาอย่างรังเกียจหนหนนึ่ง “น้องเจียย้าวเจ้าเป็นคนอยู่ในระเบียบเกินไป คำพูดลึกๆ ล้ำๆ มากมายของตัวพี่ บ้างเจ้าก็ฟังไม่เข้าใจ บ้างก็ฟังแล้วคิดไปเป็นเรื่องอื่น สุภาพบุรุษแสนซื่อตรงเช่นเจ้า ไม่น่าสนใจเลยสักน้อย! ตัวพี่กลับรู้สึกว่าน้องย้าวเหยี่ยถูกใจข้ามากกว่าสักหน่อย”
ฮั่วเจ้าอวี้เป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ แม้ถูกเขาแสดงท่าทีรังเกียจเช่นนี้ต่อหน้าผู้คน ก็กลับเพียงยิ้มเจื่อนๆ หนหนึ่ง และมิได้มีโทสะแต่อย่างใด น่าสงสารก็แต่ฮั่วเฉินยวนที่ยังไม่ทันพูดสิ่งใดเลย เพียงแค่ช่วยพี่ชายบุตรแม่ใหญ่รั้งตัวกู้หน่ายเจิงเท่านั้น แต่กู้หน่ายเจิงก็ยังไม่ละเว้นเขา ต่อว่าเขาว่า “ส่วนฮั่วคนน้อง แต่ไรมาก็ไม่มีความจำเป็น ไม่เคยพูดสิ่งใดทั้งนั้น อย่างกับอยู่ต่อหน้าท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยเช่นนั้น… อยู่ร่วมเรือกับพวกเจ้าสองคน มีสิ่งใดให้สนทนาได้?”
ทุกคน “…”
เว่ยฉางอิ๋งแอบกัดฟัน ฝืนยิ้มกล่าวไปว่า “คำพูดนี้ของพี่จื่อเลี่ยผิดเสียกระมังเจ้าคะ หากพี่จื่อเลี่ยเห็นว่าท่านฮั่วพี่น้องไม่น่าสนใจ แล้วเหตุใดก่อนนี้จึงมากันสามคนเล่า? ข้าว่าพี่จื่อเลี่ย…” เจ้า! พอ! ได้! แล้ว! เจ้ามาพร้อมกับพี่น้องบ้านฮั่วได้ แล้วกลับไปกับพวกเขามันจะตายหรืออย่างไร!
กู้หน่ายเจิงขัดคำนางขึ้นมาอย่างไร้มารยาทเป็นที่สุด พลางโบกพัดจนแทบหัก พูดจาใหญ่โตโดยไม่ความละอายใดๆ ว่า “น้องสะใภ้ไม่รู้ ที่มาด้วยกันก่อนนี้ หนึ่งเพราะรอบๆ นี้หาคนมาด้วยไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือก ส่วนสองนั้น คาดว่าตอนพวกเจ้าทั้งสองคนมา คงมาได้อย่างสะดวกโยธินกระมัง แต่อีกสักพักน้องสะใภ้ก็จะรู้เอง”
เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่พี่น้องบ้านฮั่วหนแล้วหนเล่าอย่างหมดคำพูด… ฮั่วเจ้าอวี้ยิ้มเจื่อนไม่หยุด ฮั่วเฉินยวนก้มหัวไม่พูดจา สองพี่น้องที่น่าสงสารนี้ไม่รู้ว่าก่อนนี้ถูกกู้หน่ายเจิงรังแกจนชินแล้ว หรือเพราะนิสัยเช่นนี้ของกู้หน่ายเจิงทำให้ผู้เป็นสุภาพบุรุษไม่อาจรับมือได้อยู่แล้ว ยามนี้ถูกทับถมต่อหน้าหนแล้วหนเล่า แต่กลับมิได้มีท่าทีโกรธเคืองตาขวางแต่อย่างใด
ไม่เพียงพวกเขาจะจนปัญญา เสิ่นจั้งเฟิงเองก็มีสีหน้าจนใจเช่นกัน… เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง คิดในใจว่า ‘ประเดี๋ยวต้องหาโอกาสไปสั่งความนางเฉาสักหน่อย ว่าหลังจากนางแกะเชือกออกแล้ว ให้รีบพายเรือออกไปเร็วๆ ไม่ว่าไอ้เจ้ากู้หน่ายเจิงจะร้องเรียกอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจ! ดูซิว่าเขายังจะทำอย่างไรได้!’
ในขณะที่กำลังคิดไปดังนี้ก็มาอยู่ตรงหน้าตำแหน่งที่ผูกเรือเอาไว้พอดี …เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นมีเรือลำน้อยทรงใบไม้ที่ตนและเสิ่นจั้งเฟิงนั่งมาเพียงลำเดียวโดดเดี่ยว พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้…
และสิ่งที่นางนึกขึ้นมาได้นี้ เสิ่นเจิ้งเฟิงเองก็คิดถึงขึ้นมาเช่นเดียวกัน พลันกล่าวอย่างงงงันว่า “พี่จื่อเลี่ย พี่เจียย้าว น้องฮั่วเสียน พวกท่านเดินมาผิดทางแล้วหรือไม่?”
หลังจากเว่ยฉางอิ๋งพบคนทั้งสาม นางก็ถูกกู้หน่ายเจิงหลอกไปหนหนึ่ง จากนั้นก็ถูกนิสัยแสนพิเศษของเขาทำเอาตื่นตกใจ จึงไม่ได้คิดถึงปัญหานี้มาก่อน เสิ่นจั้งเฟิงกลับรู้ว่าที่นี้ไม่ได้มีโป๊ะสะพานเพียงที่เดียว ที่จอดเรือก็ไม่ได้มีเพียงแห่งเดียวเช่นกัน จึงคิดเพียงว่าที่ที่ตนจอดเรือเอาไว้นี้ไม่มีเรือลำอื่นอยู่ นั่นก็เพราะว่าพวกของกู้หน่ายเจิงทั้งสามคนไปจอดเรือไว้ที่อื่น
เวลานี้เดินไปพลางคุยกันไปพลางจนมาถึงตรงนี้ เมื่อมองเห็นว่ามีเรือเล็กจอดอยู่เพียงลำเดียว เสิ่นจั้งเฟิงย่อมคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเดินมาผิดทางแล้ว… เว่ยฉางอิ๋งพลันโล่งอก ในเมื่อเรือลำน้อยไม่ได้ผูกไว้ด้วยกัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องคอยหาโอกาสสั่งความนางเฉาเป็นการพิเศษแล้ว รอจนพวกเขาไปแล้วจึงค่อยบอกกับนางตรงๆ เป็นพอ
ไม่คิดว่า…
กู้หน่ายเจิง ฮั่วเจ้าอวี้ ฮั่วเฉินยวนทั้งสามคนล้วนเหม่อมองไปบนผิวน้ำ เนิ่นนานจากนั้นจึงหันมามองกันอย่างผิดหวัง แล้วว่า “เรือของพวกเราเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิง “…”
เว่ยฉางอิ๋ง “…”
สักพักหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงก็กระแอมแห้งๆ ออกมาหนหนึ่ง กล่าวว่า “หรือว่าเมื่อทั้งสามท่านมาถึงนั้น ก็จอดเรือไว้ที่นี่ด้วย?”
“ย่อมต้องอยู่ที่นี่สิ!” พัดของกู้หน่ายเจิงไม่โบกอีกแล้ว พลันพับเก็บเสียงดังพรึ่บ แล้วเอามากำแน่นในอุ้งมือ เขาจ้องเขม็งไปที่ผิวหน้าทะเลสาบ คล้ายอดไม่ไหวที่จะจ้องมองให้เรือลอยขึ้นมาจากในน้ำเช่นนั้น “พวกข้ามุ่งหน้ามาที่ร้านสุราบ้านเจี่ย ย่อมต้องมาจอดตรงที่อยู่ใกล้ร้านสุราที่สุด…แล้วยามนี้เรือเล่า???”
เรือเล่า?
ไม่ใช่มีเพียงเขาที่อยากถามเช่นนี้ แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังพักความคิดเมื่อครู่นี้เอาไว้ก่อน แล้วมาช่วยเขาคาดเดาว่าเรือจะไปที่อยู่ที่ใดได้… เมื่อดูจากสถานที่ ฝูหรงโจวอยู่ใกล้ใจกลางทะเลสาบมากที่สุด รอบทิศไม่ติดหมู่บ้านไม่มีร้านรวง หากคิดจะลากติดไม้ติดมือไป แล้วจะบังเอิญอะไรปานนั้น? หากจะมองเรื่องตัวสิ่งของที่หายไปยามนี้ เมื่อหันมามองดูเรือลำน้อยที่เว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงนั่งมาก็เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ชาวบ้านริมทะเลสาบ ทุกบ้านล้วนมีกันบ้านละลำหรือหลายลำ หากจะบอกว่ามีราคาก็ไม่ได้มีราคาเท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นเรือลำน้อยจะถูกดอกบัวใบบัวรอบๆ ฝูหรงโจวขวางกั้นเอาไว้ ล้วนไม่อาจไปได้เร็ว หากถูกจับเอากลางทาง แล้วต้องได้ชื่อว่าเป็นขโมย ทั้งยังล่วงเกินคนชั้นสูง ต้องเป็นคนที่โง่เพียงใดจึงจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมา?
ที่สำคัญที่สุดคือ ในฤดูนี้ไม่ควรมีผู้คนอยู่ในฝูหรงโจว ต้องเป็นขโมยที่ไร้สมองปานใดจึงได้วิ่งมาขโมยเอาในช่วงเวลานี้?
คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ที่มีโอกาสเป็นไปได้คือ พวกของกู้หน่ายเจิงทั้งสามคน จำที่ผูกเรือเอาไว้ผิด เรื่องนี้หากเป็นกู้หน่ายเจิงพูดเพียงคนเดียว เมื่อดูจากท่าทางไม่น่าเชื่อถือของคนผู้นี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องสงสัยเขาดังนี้แน่ๆ ส่วนพี่น้องบ้านฮั่วที่มากับเขาก็ยังมองดูเป็นคนรอบคอบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสามคนรวมทั้งบ่าวที่พามาด้วยล้วนจำผิดกันไปหมดกระมัง?
อีกความเป็นได้หนึ่งก็คือเรือลำน้อยจมน้ำเสียแล้ว… แต่น้ำในทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิก็ใสจนมองเห็นท้องน้ำ ทั้งน้ำที่ฝูหรงโจวแห่งนี้ก็ไม่ลึก ท้องน้ำที่ใส่แจ๋วสามารถมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากดินโคลนแล้ว แม้แต่สิ่งเปรอะเปื้อนต่างๆ ก็ยังไม่มี…
ทุกคนหันมองหน้ากันอยู่เป็นนาน เว่ยฉางอิ๋งอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าผูกเชือกเอาไว้ไม่ดี เรือจึงลอยไปในกอบัวแล้ว?” ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นไปได้
แต่เด็กรับใช้ของกู้หน่ายเจิงรีบเอ่ยปากอธิบายว่า “ตอบคำฮูหยินเว่ย ข้าน้อยเป็นคนที่อยู่ริมทะเลสาบมาแต่เดิม วิธีการผูกเรือนี้ได้ฝึกฝนมาแต่เล็ก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าต่อให้ข้างนอกมีลมแรงมีคลื่นใหญ่ แต่ในฝูหรงโจวนี้กลับมีเพียงลมอ่อนๆ คลื่นเบาๆ เท่านั้น ทั้งยามนี้ยังประจวบเป็นฤดูร้อน ฝูหรงโจวล้วนถูกปิดเอาไว้ทั้งสี่ด้าน ภายในถูกปิดแน่นจนแทบไม่มีลมผ่าน เสาผูกเรือก็ยังอยู่ ข้าน้อยกล้ารับประกันว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เชือกจะหลวมจนทำให้เรือลอยหายไปขอรับ”
เสิ่นจั้งเฟิงก็บีบมือนางหนหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ใบบัวดอกบัวใกล้ๆ นี้ไม่ได้ร่องรอยความเสียหาย คิดว่าไม่ใครบุกเข้ามาหรอก”
“…ข้ารู้แล้ว!” ในขณะที่ทุกคนกำลังเค้นสมองใคร่ครวญ กลับยังเป็นกู้หน่ายเจิงที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วตบพัดที่อุ้งมือแรงๆ หนหนึ่ง กล่าวอย่างโมโหว่า “จักต้องเป็นพวกคนชั่วไร้ยางอายกลุ่มนั้นแน่!”
พวกคนชั่วไร้ยางอาย? เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงหญิงเก็บบัวกลุ่มนั้นขึ้นมาทันใด
ปรากฏว่าสีหน้าของฮั่วเจ้าอวี้และฮั่วเฉินยวนก็พลันไม่สู้ดีขึ้นมา ฮั่วเจ้าอวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “หญิงพวกนั้น… มิใช่ว่าเตลิดไปหมดแล้วรึ?”
“ถึงได้บอกว่าพวกนางชั่วช้าอย่างไรเล่า!” กู้หน่ายเจิงเป็นบุตรชายจากภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลกู้ มีชาติกำเนิดสูงส่งทั้งลำดับในตระกูลก็ยังสูงกว่ากู้อีหราน แต่หากว่ากันเรื่องกริยามารยาทที่บุตรหลานตระกูลใหญ่พึงมี เขากลับห่างไกลกับกู้อีหรานมากนัก ยามอยู่ต่อหน้าสตรีมีตระกูลอย่างเว่ยฉางอิ๋ง พอเอ่ยปากก็พูดจาไม่ยั้งปากว่า “ก็ด้วยสารรูปตัวดำเมี่ยมสีไม่ตกของพวกนาง ยังมีหน้าออกมาไล่เกี้ยวผู้ชาย! ไม่รู้จักมียางอายจริงๆ! คำด่าแรงๆ ของข้าก่อนหน้านี้ เดิมทีนึกว่าจะทำให้พวกนางแสบแก้วหูและสำเหนียกขึ้นมาบ้าง! ภายหลังเห็นพวกนางได้ยินก็พากันเตลิดไป ยังคิดว่าที่สุดแล้วพวกนางก็ยังรู้จักละอายอยู่บ้าง… ไม่คิดว่าไอ้คนสารเลวกลุ่มนี้! กลับคิดแค้นอยู่ในใจ ยามนั้นพวกมันมีท่าทีหวาดกลัวเพราะเห็นว่าข้ากำลังเดือดดาล จึงไม่กล้าตอบโต้ รอจนพวกข้าเข้าไปในร้านสุราแล้วก็กลับย้อนมาลงมือ นี่มันไร้ยางอายเป็นที่สุด! ไร้ยางอายเป็นที่สุด!”
…เว่ยฉางอิ๋งตาค้างปากสั่น!
ที่สุดนางก็ได้ยินชัดแจ้งแล้ว! ครั้งกลุ่มของกู้หน่ายเจิงมาก็ได้พบกับหญิงเก็บบัวเช่นกัน สาเหตุสำคัญก็เพราะในกลุ่มของพวกเขามีฮั่วเจ้าอวี้ที่แสนหล่อเหลาอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นจึงถูกพวกหญิงเก็บบัวมาขวางเอาไว้ และเกี้ยวพาราสีเขาต่างๆ นานา
สุภาพบุรุษอย่างสองพี่น้องบ้านฮั่ว เพียงคิดก็รู้ว่าหากไม่ไปให้ความสนใจก็คงแค่ปฏิเสธไปด้วยคำพูดแรงๆ… ด้วยประสบการณ์ตรงของทางด้านเว่ยฉางอิ๋ง ก็รู้ได้ว่าการโต้ตอบทั้งสองรูปแบบนี้ พวกหญิงเก็บบัวคงเคยพบเจอมามากแล้ว จึงไม่สนใจใดๆ และคาดว่าจะต้องตามรังควานต่อไปไม่ยอมเลิก…
ทว่าหญิงเก็บบัวเหล่านี้ก็น่าสงสารเช่นกัน คนที่พี่น้องตระกูลฮั่วมาด้วยคือกู้หน่ายเจิง กู้หน่ายเจิงที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างบุตรหลานตระกูลใหญ่ แต่งกายอย่างบุตรหลานตระกุลใหญ่ และฐานะก็เป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ ทว่านิสัยใจคอกลับไม่มีความเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อย! ต่อให้เป็นคนฝีปากกล้าตามท้องถนนก็เกรงว่ายังไม่ร้ายกาจเท่าปากเขาเลย…
เขาคิดว่าหญิงเก็บบัวเหล่านี้ไม่รูจักละอายและต่ำช้า มิใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นหญิงกลุ่มหนึ่งที่วิ่งไล่แทะโลมชายรูปงาม เสื่อมเสียชื่อเสียงดีงามที่ผู้หญิงพึงมี หากแต่เป็นเพราะว่า… “ก็ด้วยสารรูปตัวดำเมี่ยมสีไม่ตกของพวกนาง ยังมีหน้าออกมาไล่เกี้ยวผู้ชาย” ไม่ผิด! ทั้งสิ้นล้วนเพราะคุณชายกู้ กู้หน่ายเจิงไม่พึงใจในรูปโฉมของอีกฝ่าย จนถึงขั้นรังเกียจว่าสีผิวของหญิงเก็บบัวไม่ขาวผ่อง รูปโฉมไม่งดงามพอ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าพวกนางไม่รู้จักละอายทั้งยังต่ำช้า…
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ครานั้นกู้หน่ายเจิงจะต้องเอ่ยคำพูดเหล่านี้หรือถ้อยคำที่มีความหมายเช่นนี้ออกไปทั้งหมดอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เกรงว่าบรรดาหญิงเก็บบัวที่มีฝีปากแก่กล้าทั้งยังตามตื้ออย่างหนักเหล่านั้นจะถูกทำให้โกรธจนกระอักเลือดและจากไปกระมัง? และเพราะถ้อยคำของกู้หน่ายเจิงเชือดเฉือนและรุนแรงเกินไป หญิงเก็บบัวทั้งกลุ่มจึงถึงกับไม่กล้าต่อปากเขาต่อหน้าต่อไป… และแน่นอนว่าพวกหญิงเก็บบัวที่เห็นว่าตนมีองค์รัชทายาทคอยถือหางย่อมไม่เลิกเราไปเพียงเท่านี้
ดังนั้นพวกนางจึงเลือกจะหลบกู้หน่ายเจิงไปก่อนจึงค่อยมาแก้แค้นภายหลัง โดยการทำให้เรือของพวกเขาหายไปเสีย ให้พวกเขาถูกขังอยู่ในฝูหรงโจว!
สงสารก็แต่พี่น้องตระกูลฮั่วที่พลอยต้องมารับเคราะห์เพราะเพื่อนร่วมทางผู้นี้อีกครา…
เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่ง อาศัยจังหวะช่วงที่กู้หน่ายเจิงกำลังหารือกับเสิ่นจั้งเฟิงว่ายามนี้จะทำอย่างไร นางก็เอ่ยถามฮั่วเฉินยวนที่อยู่ไม่ไกลออกไปด้วยเสียงเบาว่า “ในเมื่อพี่จื่อเลี่ยพูดเช่นนั้นกับพวกหญิงเก็บบัว ครั้งพวกท่านเข้าไปในร้านสุรา… ไยไม่ทิ้งคนไว้คอยดูที่นี่เล่า?”
ที่นี่ห่างจากร้านสุราไม่ไกลเลยจริงๆ กระทั่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากบนร้านสุรา
เพียงแต่ยามนี้คนไม่มาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนคอยมองมาทางนี้อยู่ตลอดเวลา เพียงทิ้งคนสักคนเอาไว้ หากเกิดเรื่องผิดปกติใดขึ้นก็ร้องออกมาสักคำ จะต้องสามารถขัดขวางหญิงเก็บบัวเหล่านั้นไม่ให้ทำเรือหายได้แล้ว
ฮั่วเฉินยวนคล้ายคิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะพูดกับเขา หลังจากตกตะลึงแล้ว จึงค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “เรียนพี่สะใภ้ ก่อนนี้พวกหญิงเก็บบัวเตลิดหนีไปอย่างน่าอนาถ พี่จื่อเลี่ยจึงว่า ตลอดทั้งปีนี้เกรงว่าหญิงเหล่านี้คงไม่กล้ามาปรากฏตัวที่ทะเลสาบแห่งนี้อีกแล้ว”
เขาอธิบายอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ “วาจาที่พี่จื่อเลี่ยกล่าวกับพวกนางครานั้นความจริงก็ออกจะ… ทั้งท่านพี่เองและเฉินยวนจึงต่างรู้สึกว่าที่พี่จื่อเลี่ยกล่าวนั้นไม่ผิดขอรับ”
ซึ่งก็หมายความว่า เพราะกู้หน่ายเจิงพูดจาร้ายกาจกับหญิงเก็บบัวปานนั้น พี่น้องตระกูลฮั่วจึงเห็นพ้องกับการวิเคราะห์ของเขาอย่างเต็มที่ นั่นก็คือหญิงเก็บบัวที่ถูกเขาทำให้อับอาย ปีทั้งปีล้วนไม่น่ามีความกล้าออกมาอีกแล้ว …พี่น้องตระกูลฮั่วดูคล้ายไม่ใช่คนโป้ปดมดเท็จ สามารถจินตนาการได้ว่าไอ้เจ้ากู้หน่ายเจิงผู้นี้…เอ่อ ดูไปแล้วคนที่น่าสงสารที่สุดกลับมิใช่ตนเองสองสามีภรรยาที่ถูกรบกวนจนถึงตอนนี้ หากแต่เป็นพี่น้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คู่นี้น่ะสิ!
คล้ายสัมผัสได้ว่าความคิดของเว่ยฉางอิ๋งนั้นเหมือนกัน กู้หน่ายเจิงและเสิ่นจั้งเฟิงหารือกันเสร็จ เขาก็เปิดพัดออกมาพัดอีกครั้ง พัดไปสองสามหน เขาก็พลันหันหน้ากลับมา แล้วถลึงตาแรงๆ ใส่ฮั่วเจ้าอวี้!
ในขณะที่ทุกคนกำลังไม่เข้าใจ ก็เห็นกู้หน่ายเจิงชี้นิ้วไปหาฮั่วเจ้าอวี้ แล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “ล้วนเพราะเจ้า ไอ้หมอนี่ ที่หน้าตาหล่อเหลาเกินไป คอยเรียกผึ้งเรียกผีเสื้อ จนไปยั่วความสนใจให้พวกนังน่าเกลียดทั้งกลุ่มมารบกวนชาวบ้าน! ยามนี้ยังมาทำเรือเราหายอีก ทำเอาพวกเรากลับไม่ได้! วันนี้ข้าไร้ความผิดแท้ๆ กลับต้องมารับเคราะห์เพราะเจ้า!”
“…!!!” ตระกูลใหญ่กลับมีคนไร้ยางอายเช่นนี้! ในพริบตานั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รู้ว่าก่อนนี้ตนเองเป็นกบในกะลาเพียงใด!
____________________________________