ยอดสตรีฉางอิ๋ง - ตอนที่ 93 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (3)
ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 93 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (3)
ตอนที่ 93 ไม่ทะเลาะไม่รู้จัก (3)
โดย
Xiaobei
เมื่อถูกนางหวงเปิดโปงคาหนังคาเขา ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับมิได้หน้าแดงเลยแม้แต่น้อย กลับเอ่ยอย่างมีเหตุผลเสียเต็มประดาว่า “ท่านอาหวง ข้าก็ทำเพื่อฮูหยินน้อยของท่าน เพียงยอมตัดใจให้กำไลอันหนึ่งมา แล้วข้านำไปทำเป็นกำไลยาให้นาง หากต้องการใช้จัดการพวกอนุก็จะลงมือได้อย่างสะดวก ท่านเองก็มิใช่ไม่รู้ว่ากำไลยาที่ข้าทำนั้นดีเพียงใด กลิ่นยาเพียงน้อยก็ยังไม่มี พวกตระกูลแพทย์ทั่วไปก็ล้วนตรวจไม่พบ ดังนั้น ต่อให้ไม่มีอนุ หากวันหน้าฮูหยินน้อยของท่านรู้สึกขัดหูขัดตาฮูหยินหรือคุณหนูบ้านใดก็มอบกำไลนี้ให้ และสามารถจัดการได้อย่างเด็ดขาดทั้งยังไม่ต้องเสียชื่อ นี่มันเป็นเรื่องดีเพียงใด? หากมิใช่เพราะระยะนี้ข้าหาหยกที่ดีพอไม่ได้ และนับไปแล้วก็เห็นแก่น้ำใจไมตรีของท่านด้วย หาไม่แล้ว ข้าก็ยังไม่อยากเสียเวลากับนางเลย!”
นางหวงกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะหวั่นไหวเข้าจริงๆ จึงกระแอมแห้งๆ หนหนึ่ง “นั่นเพราะเครื่องประดับหยกดีๆ ทุกชิ้นของคุณหนูแปดล้วนเสียหายไปหมดแล้วเมื่อครั้งท่านเอาไปแช่น้ำยาน่ะสิเจ้าคะ เครื่องประดับตั้งมากมายแต่มีกำไลเพียงอันเดียวที่ทำสำเร็จ กำไลที่ท่านหมายปองในยามนี้เป็นถึงของหมั้นที่แต่แรกนั้นตระกูลเสิ่นมอบแก่ฮูหยินน้อยของเรา จึงไม่อาจให้เสียหายได้เจ้าค่ะ”
หากมิใช่เพราะอัตราการประสบความสำเร็จของตวนมู่ซินเหมี่ยวมีเพียงน้อยนิดเท่านี้ นางหวงจะต้องยอมช่วยนางตะล่อมเว่ยฉางอิ๋งเป็นแน่… เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่มีอนุ ดูไปแล้วสองสามีภรรยาก็ดีต่อกันนัก แต่ว่า… เก็บของเช่นนี้เอาไว้ก็เป็นไม้ตายได้ก็ไม่เลวนี่! และก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องนำมาใช้กับอนุเท่านั้น หากแต่สามารถส่งต่อแก่บุตรหลานไว้เป็นเครื่องมือสังหารได้
ทว่าเรื่องที่ตนเองทำสำเร็จเพียงหนก็ถูกนำมาเปิดโปงในเวลานี้แล้ว แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะหน้าหนาพอ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีคำพูดแล้ว เพียงแต่กล่าวไปอย่างแค้นเคืองว่า “ฮูหยินน้อยบ้านท่านผู้นี้ สูงส่งเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นหลังออกเรือนแล้วก็ยังมีสินติดตัวของตัวเอง หาได้เหมือนข้าที่เป็นคุณหนูที่ยังมิได้ออกเรือน ไม่มีกิจการใดเป็นของตนเองและไม่มีอิสระเสรี หาไม่แล้วหากข้าต้องการหาหยกเนื้อดีเลิศสักกอง แล้วจะเป็นเรื่องยากเย็นอันใด? ถ้าอันนี้ไม่สำเร็จก็เปลี่ยนอีกอันมาสิ ขอเพียงเป็นหยกชั้นเลิศ ข้าก็มิใช่ว่าจะต้องเอาอันนี้เสียให้จงได้”
เพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแล้ว ทำให้ความรุ่มร้อนในใจเว่ยฉางอิ๋งคลายลง ทั้งยังมีนางหวงออกมา จึงไม่มีอารมณ์จะมาโต้แย้งกับนางต่อไป เพียงเอ่ยอย่างราบเรียบไปว่า “เครื่องประดับหยกเช่นนั้นอาจพบเห็นได้มิใช่จะครอบครองได้ และมิใช่ว่าเงินทองมากมายจะซื้อหามาได้ด้วย”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอียงสายตาไปมองนาง “หากเจ้ายอมมอบให้ข้าสองชิ้น เมื่อสำเร็จแล้วข้าล้วนคืนให้เจ้า ค่ายาข้าก็ล้วนไม่เอากับเจ้า”
“…รอข้ากลับไปดูสักหน่อยก่อนเถิด” เว่ยฉางอิ๋งสบตากับนางหวงคราหนึ่งแล้วเอ่ยไปอย่างคลุมเครือ “อายุข้าในยามนี้ข่มความงามของหยกไม่ได้ เครื่องหยกในสินติดตัวก็มีไม่มาก ที่เป็นของชั้นเลิศก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก”
ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งและสามีรักใคร่กันหวานชื่น แม้มิได้คาดว่าวันหน้าเสิ่นจั้งเฟิงจะเปลี่ยนใจ แต่ก็เหมือนกับที่นางหวงคิด หากตวนมู่ซินเหมี่ยวสามารถทำเครื่องประดับยาออกมาได้โดยไม่บุบสลาย ทำออกมาสักชิ้นไว้เป็นเครื่องไม้เครื่องมือก็มิได้ไม่ดีที่ใด
เป็นต้นว่า หากแผนการของเว่ยฉางอิ๋งสำเร็จ และสามารถตรวจสอบได้ชัดเจนว่าผู้ที่สร้างข่าวลือของตนเมื่อปีก่อนเป็นบ้านห้าตระกูลหลิวจริงๆ … ก็อาจหาทางสอบถามวันเกิดของหลิวรั่วอวี้หรือนางจาง แล้วมอบให้พวกนางชิ้นสองชิ้น?
“เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันตามนี้นะ!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มในทันใด แล้วกล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า “อีกสองวันข้าจะไปหาเจ้า เจ้าจะต้องไปหาของเอาไว้รอข้านะ!”
เว่ยฉางอิ๋ง “…” นับแต่นางได้พบกับกู้หน่ายเจิงเข้าคนหนึ่ง แล้วเหตุใดนางจึงต้องได้พบกับคนที่เหมือนเป็นสายเลือดเดียวกับกู้หน่ายเจิงเมื่อชาติก่อนอีกหนแล้วหนเล่า? ก่อนนี้ตนเองไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับตวนมู่ซินเหมี่ยวเลยแม้แต่น้อย ได้มาพบกันวันนี้เป็นหนแรกก็ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกัน แล้วตนเองยังทึ้งเสื้อนางจนขาดอีก ยามนี้ไหล่ของตวนมู่ซินเหมี่ยวยังโผล่ออกมาอยู่เลย! แต่นางกลับหันมาพูดคุยยิ้มแย้มกับตนได้ทั้งยังเป็นฝ่ายบอกว่าจะไปหาตนด้วย…
ความกระตือรือร้นของศิษย์เอกของจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ยังไม่ได้มีเพียงเท่านี้ …เมื่อนางมีสิ่งที่ต้องการ ก็มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนที่ไม่มีมิตรไมตรีต่อผู้ใดและปลิ้นปล้อนเหลือล้น “เจ้าอย่าทำหน้าไม่ต้อนรับข้าเช่นนั้นสิ! เมื่อครู่นี้ข้าก็จะแย่งกำไลหยกเจ้าจริงๆ เสียเมื่อใด? เพียงแต่ข้าเอาแต่คิดถึงยาของข้าอยู่ก็เลยไม่ได้บอกกับเจ้าไปชัดเจนเท่านั้น! เจ้าดูสิว่าเจ้าก็ฉีกเสื้อส้างหรูของข้าเป็นการเอาคืนแล้วนี่ ว่ากันว่าไม่ทะเลาะไม่รู้จัก เราต่างก็เป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่โต ไยต้องมาคิดเล็กคิดน้อยอย่างพวกตระกูลเล็กๆ ที่แค่ผิดใจกันหนเดียวแต่กลับไม่คบค้าสมาคมกันจนตายเล่า? ยามนี้ก็พูดกันจนชัดเจนหมดแล้ว เลิกแล้วต่อกันมิได้หรือ?”
แล้วถอนหายใจกล่าวว่า “หากเจ้ายังรู้สึกไม่สบายใจ ข้าขอขมาเจ้าเป็นอย่างไร?”
…เว่ยฉางอิ๋งสับสนในใจไปหมด พลางยิ้มเจื่อนเอ่ยตอบไปว่า “เมื่อครู่นี้ข้าเองก็มีส่วนทำไม่ถูก หวังให้เจ้าอภัยด้วย…”
นางไม่อาจเป็นเหมือนตวนมู่ซินเหมี่ยวที่สามารถเปลี่ยนหน้าเหมือนพลิกหน้าหนังสือ และไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ อีกแล้ว ยิ่งไปว่านั้นคนทั้งสองก็ไม่เคยมีความบาดหมางใหญ่หลวงต่อกันมาก่อน ยามนี้จึงเป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวที่เสียเปรียบยิ่งกว่า ตวนมู่ซินเหมี่ยวยิ้มแย้มและเป็นฝ่ายมาขอขมาก่อน แล้วเว่ยฉางอิ๋งจะยังเคืองนางต่อไปได้ที่ใด… นางคิดทบทวนไปมาในใจ ก็มีเพียงความคิดเดียวว่า อย่างน้อยๆ ต้องมีเครื่องประดับหยกชั้นเลิศหนึ่งชิ้นที่ตนไม่อาจเก็บเอาไว้ได้แล้ว… เมื่อสองคนกลับมาดีต่อกันแล้ว ด้วยฐานะของเว่ยฉางอิ๋ง เป็นไปได้หรือว่านางจะบอกกับตวนมู่ซินเหมี่ยวว่านอกจากกำไลหยกคู่นี้แล้ว ตนเองก็ไม่มีเครื่องประดับหยกดีๆ ชิ้นอื่นอีกเลย?
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องหาออกมาบังหน้าชิ้นหนึ่งน่ะสิ…
ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลัวว่าจะไม่อาจสร้างสัมพันธ์กับนางอย่างรวดเร็ว จึงยืนกรานจะให้พวกนางอยู่ทานข้าวด้วย …แต่เพราะไม่อาจรั้งตัวเอาไว้ได้จริงๆ จึงกำชับไปว่า “เช่นนี้เจ้าก็รอข้าที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อก่อน แล้วจะไปส่งเจ้า!” แล้วย้ำแล้วย้ำอีกว่า “ต้องรอข้านะ!”
พอพูดจบก็กุมเสื้อส้างหรูตรงที่ขาดเอาไว้ แล้วยกชายกระโปรงรีบร้อนวิ่งเข้าไปข้างหลัง
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าแผ่นหลังของนางหายไปหลังกำแพงแล้ว จึงหันหน้ามาสอบถามนางหวงว่า “เมื่อครู่ท่านอาได้ยินหมดแล้ว? คุณหนูตผู้นี้…เป็นโรคประสาทมาแต่เล็กกระมัง?” ไม่ใช่ว่ากำลังทะเลาะกันจนลงไม้ลงมือแล้วหรอกหรือ? เหตุใดยามนี้ทั้งสองคนกลายมาจับมือพูดจากันดีๆ ยังไม่ว่า ตนเองยังต้องกลับไปเตรียมเครื่องประดับหยกชั้นเลิศอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเอาไว้รอการมาเยือนของตวนมู่ซินเหมี่ยวอีก?
นางหวงกล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งขัดๆ เขินๆ ว่า “คุณหนูแปดลุ่มหลงศาสตร์ยายิ่งนัก ทุกสิ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้นางก็ออกจะเลอะเทอะไปบ้าง กำไลยานี้..ก็คือการนำเครื่องประดับมาเป็นกลวิธีในการสังหารคนอย่างไร้รูปและไม่เหลือร่องรอยใด คุณหนูแปดคิดได้เมื่อปีที่แล้ว และมีเครื่องประดับเสียหายไปจำนวนมากจึงได้กำไลที่ทำสำเร็จมาคู่หนึ่งเจ้าค่ะ กำไลหยกคู่นั้นข้าน้อยก็เคยเห็นมาก่อน ดูไปแล้วไม่มีที่ใดผิดปกติเลยจริงๆ นั้นเพราะข้าน้อยสนใจเรื่องพิษเป็นที่สุดนับแต่ติดตามท่านหมอเทวดาจี้มา หากมิได้มาถึงมือแล้วใช้ยาสองสามชนิดทดสอบดูก็จะไม่สามารถหาร่องรอยได้เจ้าค่ะ คุณหนูแปดเอากำไลห้อยไว้ติดตัวกระต่าย ปรากฏว่าไม่ถึงสองวันกระต่ายตัวนั้นก็ตาย นำมาทดลองกับสุนัขสายพันธุ์ธิเบตก็ได้ผลเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ”
“…” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหวั่นพรั่นพรึงว่า “นางทำเครื่องประดับเสียหายไปกี่มากน้อย?” ได้ผลลัพธ์ดีเพียงนี้ ด้วยความอยากรู้นางจึงหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ต้องคำนวณต้นทุนดูเสียก่อน หาไม่แล้วต่อให้มีสินติดตัวมากมายเพียงใด ก็คงต้องหายวับไปในคราวเดียว!
นางหวงยิ้มเจื่อน กล่าวว่า “ครั้งฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลตวนมู่ยังอยู่นั้นก็รักใคร่พี่สาวคนโตของคุณหนูแปดผู้นี้เป็นที่สุด ซึ่งนางก็คือพระมารดาไช่อ๋องในปัจจุบันนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่มีชื่อเสียงเรื่องชื่นชอบหยกเป็นที่สุด …ครั้งนั้นพระมารดาไช่อ๋องออกเรือนในฐานะพระชายาองค์รัชทายาท คล้ายว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็แบ่งของสะสมของตนสองในสามส่วนให้นางเป็นสินติดตัว! ภายหลังพระชายาองค์รัชทายาทกลายเป็นพระมารดาไช่อ๋อง เพราะไช่อ๋องผู้เฒ่าสิ้นพระชนม์ พระมารดาไช่อ๋องคอยไว้ทุกข์ให้และไม่มีแก่ใจแต่งตัวใดๆ ได้ยินว่านางเอาสินติดตัวที่มีสีสันและเป็นประกายทั้งหมดมอบให้แก่คุณหนูตวนมู่แปด! ยิ่งไปกว่านั้นครั้งฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลตวนมู่เสียไป คุณหนูตวนมู่แปดก็ได้ส่วนที่เหลือของตนมาอีกส่วนหนึ่งด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นคนดูแลบ้านเรือนของตระกูลระดับหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลจะมีทรัพย์สมบัติที่สะสมมาตลอดชีวิตมากมายเพียงใด เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นหลานรักของแม่เฒ่าซ่งท่านย่าของนางและเคยเข้าออกคลังสมบัติส่วนตัวของแม่เฒ่าซ่งมาแต่เล็ก เข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อได้ยินคำถึงกับสูดหายใจลึก แล้วกล่าวว่า “ทั้งหมดเลยรึ?”
“และทำสำเร็จเพียงกำไลคู่หนึ่ง!” นางหวงพยักหน้าอย่างเจ็บปวด
หากนางเป็นท่านอาแม่บ้านข้างกายตวนมู่ซินเหมี่ยว นางก็จะคุกเข่าลงกอดขาตวนมู่ซินเหมี่ยววิงวอนให้นางตั้งสติกว่านี้สักหน่อยเสียตั้งนานแล้ว! เครื่องประดับหยกชั้นเลิศตั้งมากมายเพียงนั้น มีของชั้นเลิศกี่ชิ้นที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ก่อน และแม้ว่าผ่านเวลามาหลายร้อยปีก็ยังคงงดงามเหมือนใหม่! ครั้งตวนมู่ซินเหมี่ยวรายงานผลกับจี้ชวี่ปิ้ง นางหวงก็เพียงเคยได้ยินนางเอ่ยถึงมาบ้างโดยคร่าวๆ จึงได้คำนวณออกมา หากนำเครื่องประดับทั้งหมดที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวทำลายไปขายลดราคา แล้วเอาไปเลี้ยงดูกองกำลังหลายร้อยคนก็ยังพอเลย!
ทั้งยังเป็นการเลี้ยงดูด้วยเสื้อผ้าและอาหารที่พิเศษและอุดมสมบูรณ์ประเภทนั้นด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้นตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ยังรอบรู้เรื่องยาทั้งชำนาญวิชาแพทย์ หากต้องการจะทำให้คนที่นางไม่ชอบตายอย่างไร้ร่องรอยแล้วยังต้องทำกำไลเช่นนี้ออกมาด้วยหรือ? แพทย์เลวสังหารคนไม่ใช่มีด… แพทย์ดีทำร้ายคนไม่มีคนรู้นี่!
เว่ยฉางอิ๋งจับมือนางหวงแน่น เอ่ยถามด้วยสีหน้าหนักอึ้งว่า “แล้วจักทำอย่างไรดี? มีเครื่องประดับใดของข้าที่ราคาถูกที่สุด…และสามารถเอามาให้นางพอส่งๆ ได้บ้าง?” เดิมทียังนึกว่าโดยทั่วไปแล้วในมือของคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนเช่นตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่น่าจะมีเครื่องประดับชั้นเลิศอันใด หากแต่จะมีผู้ใหญ่ช่วยเก็บรักษาเอาไว้ให้นาง ดังนั้นของที่นางทำเสียหายไปก็คงจะมีของดีไม่กี่ชิ้น อีกทั้งยังเคยนำไปทำกำไลยาจนสำเร็จมาก่อน เว่ยฉางอิ๋งจึงยังคงมีความหวังอยู่ร่ำไร ทว่าผู้ใดจะคิดว่านางใจเด็ดเพียงนี้?! ของที่นางทำลายไปเกือบจะเทียบเท่าสินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว!
“…เครื่องหยกที่คุณหนูแปดต้องการนั้นล้วนเป็นชนิดที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
ซึ่งของเช่นนี้แม้มีขนาดเพียงเท่าเล็บมือก็ยังมีราคามหาศาล ..หาไม่แล้วด้วยฐานะของตวนมู่ซินเหมี่ยวก็จะไม่ต้องถึงกับลำบากแสนเข็ญกระทั่งไม่สนใจเรื่องบาดหมางก่อนหน้านี้และขอให้เว่ยฉางอิ๋งมอบเครื่องหยกแก่นางหรอก
คาดว่าทุกวันนี้หัวจิตหัวใจของพระมารดาไช่อ๋องคงจะเป็นดังขี้เถ้ามอด ดีชั่วอย่างไร ของที่มอบให้แก่น้องสาว ไม่ว่าน้องสาวจะนำไปจัดการเช่นไรนางก็คงคร้านจะไปสอบถาม หรือต่อให้รู้ก็คงจะไม่สนใจแล้ว แต่หากฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความหลงใหลเครื่องหยกผู้นั้นได้รับรู้ ก็เกรงว่าจะเจ็บปวดใจจนต้องปีนออกมาจากหลุมฝังศพและมาจัดการหลานย่าจอมอกตัญญูผู้นี้กระมัง?
เว่ยฉางอิ๋งพึมพำว่า “แล้วมาคืนดีกันเช่นนี้ ข้าก็ต้องตัดใจทิ้งของที่มีค่ามหาศาล? ข้าไม่สนนางได้หรือไม่?” รู้ทั้งรู้ว่าเมื่อมอบให้แล้วก็คือให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไปทำลายแต่ก็ยังต้องให้ไปอีก เรื่องนี้ก็ช่าง…
นางหวงเตือนสตินางไปโดยอ้อมว่า “ท่านหมอเทวดาจี้มักชมเชยคุณหนูแปดว่ามีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับสตรีชั้นสูงในตระกูลเลื่องชื่อคนอื่นๆ เพราะนางมิได้บอบบางแต่อย่างใด และยังไม่แยแสกับคำติฉินนินทาใดๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือตวนมู่ซินเหมี่ยวจะตามตื๊ออย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย ไม่เหมือนกับสตรีชั้นสูงในตระกูลเลื่องชื่อที่ให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็นหลัก เมื่อนางหน้าไม่อายขึ้นมา… จะต้องทำทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงใดๆ เพื่อให้ได้เครื่องหยกมา…
เหตุใดข้าจึงต้องมามีเรื่องกับคนชนิดนี้? เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าเกินจะรับมือไหวจริงๆ ต้องตัดใจมอบเครื่องหยกไปนางก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ ไม่ว่าจะเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองอีกสักเท่าใด แต่ก็หาใช่คนโง่ ที่จะต้องเอาเครื่องยกชั้นเลิศมอบให้ไปเพราะวาสนาที่ได้พบหน้ากันเพียงครั้ง… วาสนานี้ก็ช่างสูงส่งเกินไปแล้ว!
เมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวเสียงอ่อนลง เว่ยฉางอิ๋งก็เพียงแค่พูดดีๆ กับนางไปตามมารยาทเท่านั้น แต่หากยามนี้จะมาทะเลาะกันจนแตกหักอีก… เพราะตนเป็นสตรีชั้นสูงในตระกูลเลื่องชื่อโดยทั่วไป ซึ่งยังคงห่วงหน้าตาเหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่งอยู่ หากเว่ยฉางอิ๋งคิดจะหันหลังเดินหนีไป ก็กลับคิดว่าตนเคยตกปากรับคำกับตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้แล้ว มายามนี้จะมาจากไปไม่ร่ำไม่ลาก็ดูจะต่ำช้าเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อตวนมู่ซินเหมี่ยวมีแผนการอยู่แล้วก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้นางรอดไปได้ทั้งอย่างนี้ เมื่อคิดถึงภาพที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวสำนึกผิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เว่ยฉางอิ๋งก็ปวดหัวหนักขึ้นมาทันใด…
ยามนี้เอง ที่สุดตวนมู่ซินเหมี่ยวก็กลับมาแล้ว นางเปลี่ยนมาส่วนเสื้อส้างหรูสีขาวนวลตัวหนึ่ง ที่ชายแขนเสื้อล้วนปักลายกิ่งก้านและดอกมู่ตานแสนงดงาม ตัดจากผ้าเยวี่ยหลัวเนื้อเนียนบาง ซึ่งไม่เข้ากับกระโปรงหลัวฉวินผ้าหยาบในท่อนล่างเลยแม้แต่น้อย เว่ยฉางอิ๋งเดาว่านางคงจะเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเพื่อมาเก็บยา ส่วนเสื้อส้างหรูผ้าเยวี่ยหลัวที่นางสวมอยู่เวลานี้จึงคือเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในยามปกติ
เพียงแต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวไปตั้งนาน เว่ยฉางอิ๋งยังนึกว่าจะเปลี่ยนทั้งเสื้อและกระโปรงเสียอีก แต่กลับเปลี่ยนแค่เสื้อส้างหรูชิ้นหนึ่งเท่านั้น… รอจนตวนมู่ซินเหมี่ยวเข้ามาใกล้แล้ว จึงเห็นว่านางถือห่อกระดาษน้ำมันที่ใช้เชือกป่านมัดเป็นปมรูปหรูอี้สี่เหลี่ยมห่อหนึ่งอยู่ในมือ นางยิ้มพลางส่งมาให้ “นี่เป็นชากุหลาบที่ข้าทำเอง ดื่มแล้วรู้สึกว่าไม่เลว เจ้าเอากลับลองดื่มดู”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปโดยไม่ทันคิดว่า “ข้าไม่ชอบชากุหลาบ” ข้ากำลังขบคิดหาวิธีว่าจะตีตัวออกห่างจากเจ้าเช่นใดดี ออกห่างจนเจ้าไม่กล้ามาทวงเอาเครื่องหยกกับข้าที่บ้าน แล้วจะมารับของจากเจ้าได้อย่างไร?
“โอ๊ะ เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว ในดอกกุหลาบนี่ข้าใส่…” ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดไปครึ่งหนึ่งพลันได้สติขึ้นมา จึงรีบหัวเราะแห้งๆ ไปสองสามหน กล่าวว่า “นี่เป็นของที่ข้าทำเอง ไยไม่เห็นแก่หน้าข้า อย่างน้อยก็ดื่มสักสามหน?”
เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสกับพวกหมอมาไม่มากนักจึงยังไม่ทันได้คิด แต่นางหวงกลับตื่นตัวขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “คุณหนูแปด ท่านทำสิ่งใดกับฮูหยินน้อยของเราเจ้าคะ?!”
“…อะเฮอะ เรื่องนี้โทษข้าได้หรือ?” ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองฟ้ามองดิน แต่ไม่มองพวกนางนายบ่าว พลางเอ่ยเสียงเบา “เสื้อผ้าข้าล้วนแช่น้ำยามาก่อน ถุงหอมบนตัวก็มีพิษ หากเพียงแค่เดินผ่านตัวข้ากลับมิเป็นไร ผู้ใดให้เจ้ามาทึ้งเสื้อส้างหรูของข้าจนขาด แล้วยังกดไหล่ข้าอยู่เป็นนาน…”
นางเหลือบตาดูเห็นสีหน้านายบ่าวทั้งสองยิ่งคำคล้ำลงไปเรื่อยๆ พลันรู้สึกอยู่ในใจว่าไม่เข้าทีแล้วจึงรีบอธิบายไปว่า “เดิมทีคิดจะให้พวกเจ้าอยู่ทานข้าวด้วย แล้วจะได้แอบแก้พิษให้ แต่พวกเจ้าก็ไม่ยอมอยู่ ข้าจึงทำได้เพียงรีบเอายาถอนพิษใส่ไว้ในชากุหลาบนี่! วางใจเถิดวางใจ ไม่ใช่ยาไม่ดีอันใดหรอก ก็เพียงแค่พอกลับไป เมื่อถึงยามกลางคืนก็จะเกิดฝืนขึ้นทั่วตัว และคันคะเยอไปทั้งตัว หากไม่ได้ยาถอนพิษชนิดนี้ของข้า ไม่ว่าจะไปหาหมอใดก็ไร้ผล… ทว่าก็เพียงแค่คันติดต่อกันสิบคืนก็ไม่เป็นสิ่งใดแล้ว”
แล้วแนะนำอีกว่า “ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อให้มัน ว่าโลหิตสิบราตรี”
“เกาติดต่อกันสิบคืนจนทั่วตัวมีแต่เลือด…” เว่ยฉางอิ๋งขบฟันยิ้มหยัน “เป็นชื่อที่ดีเสียจริง แต่จะมีผู้ใดที่อดทนได้จนสิบคืน? หากแต่ทนไม่ไหวและตายไปกลางคันเสียก่อนแล้วกระมัง?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “เจ้าเอายาถอนพิษนี้ไป แล้วกลับไปชงชากุหลาบหนึ่งกา ดื่มสามครั้งก็ไม่เห็นไรแล้ว ยามนี้ยังไม่ถึงเวลากลางคืน ยาก็จะยังไม่ออกฤทธิ์หรอก”
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าควรอาศัยโอกาสนี้ปฏิเสธไม่ให้นางไปเยี่ยมเยือนที่บ้าน หารู้ไม่ว่ายังไม่ทันเอ่ยคำ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็เอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารว่า “พี่เว่ย ข้ารู้ว่าตอนนั้นข้าควรเตือนท่าน แต่ข้าก็กลัวว่าท่านจะเข้าใจผิดนี่! ตอนนั้นท่านกำลังโมโหเพียงนั้น หากนึกว่าข้าหลอกลวงท่านแล้วจะทำอย่างไร? ท่านดูสิ เมื่อครู่นี้ข้ายังคิดจะให้ท่านอยู่ทานข้าวด้วย ข้าไม่ทันระวังและพลั้งมือล่วงเกินท่าน ยามนี้ข้าก็เอ่ยความจริงออกมาหมดแล้ว นั่นก็เพราะข้าไม่คิดจะทำร้ายท่านจริงๆ! หากท่านยังคิดว่าไม่พอใจ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ให้ท่านทุบตีดุด่าตามใจ ดีหรือไม่? เสื้อส้างหรูที่ข้าใส่เวลานี้ไม่ได้อาบน้ำยามา! ท่านสามารถให้ท่านอาหวงตรวจสอบดูได้! ท่านอย่าได้ อย่าได้ไม่ให้เครื่องหยกแก่ข้าโดยเด็ดขาดนะ! เวลานี้ข้ารู้วิธีทำให้ยาซึมเข้าไปภายในเครื่องหยกโดยไม่ทำให้สีของมันเสียหายแล้ว จริงๆ นะ! ขอเพียงท่านยอมมอบเครื่องหยกให้ข้า ท่านจะตีข้าอย่างไรก็ได้!”
“…ไม่เป็นสิ่งใด” มองสายตาใสซื่อ ยอมถูกทุบตีถูกด่าทอและแววตาขอขมาของนางแล้ว …เว่ยฉางอิ๋งเงีบบงันไปพักใหญ่ แล้วก็เอ่ยออกไปอย่างเศร้าใจ หัวใจนางกำลังหลั่งเลือด!
เหตุใดข้าจึงไม่อาจไร้ยางอายได้ดังเช่นกู้หน่ายเจิงผู้นั้น… ขณะนี้เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่าความจริงแล้วตนเองไม่อาจเทียบกู้หน่ายเจิงได้เลย…
_________________________________