ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1004 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 1004 ช่วยเหลือ
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่เรียบนิ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“ไม่ใช่พวกข้า…หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงอันตรายอย่างมาก ใครจะรู้ว่าพวกเขาไปพบเจอเหตุร้ายอันใดเข้าแล้วหนีออกมาไม่ได้ กลายเป็นว่าสิ้นใจตายกันหมด? ว่ากันตามตรง พลังของพวกถานไถรั่วหลีใช่ว่าจะกระจอกงอกง่อย สามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดพร้อมกันได้…ในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนี้ คนที่ทำได้เห็นจะมีอยู่ไม่มากกระมัง?”
นางเชิดหน้าขึ้น
“แม้แต่คนของข้าเอง ก็ประสบวิกฤตมามิใช่น้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ อันที่จริง ตอนนี้เสี่ยวโจวเองก็ยังคงหลับไหลมิได้สติอยู่”
ผู้คนต่างมองตามสายตาของนางที่ทอดมองไป
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีเรือนผมสีทองตัดสั้น ทอดร่างนอนขดอยู่บนพื้นมิขยับเขยื้อน
ตั้งแต่ที่พวกเขาพากันออกมา เขาก็อยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว ดูท่าคงหมดสติมาเป็นเวลานานมากแล้ว
คำพูดนี้ของฉู่หลิวเยว่ถือว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
แม้แต่คนของพวกเขาเองก็ยังอยู่ในสภาพเช่นนั้น บางทีพวกถานไถรั่วหลีเอง ย่อมต้อง…
ถานไถเฉินสองมือกำหมัดแน่น หน้าผากปูดโปนไปด้วยเส้นเลือด
ซั่งกวนเยว่ผู้นี้ ช่างปากคอเราะรายโดยแท้!
“เล่นลิ้นนัก! ต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้รั่วหลีเคยทำผิดต่อเจ้าเอาไว้ เจ้าจึงลงมือสังหารนางอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!”
ถานไถเฉินยื่นมือออกมา แล้วชี้ไปทางฉู่หลิวเยว่
“เจ้า…ช่างสารเลวโดยแท้!”
“นางมิใช่คนแบบนั้น!”
ในตอนนั้นเอง สุ้มเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา
ทุกคนต่างก็หันไปมอง พบว่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากราชวงศ์ซีเหยียนที่เอ่ยปากออกมา
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนที่จดจ้องมา ผิวขาวใสของเขาพลันเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ แต่ก็ยังกล่าวอย่างหนักแน่นว่า
“กะ ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนภูเขา นางเคยออกหน้าช่วยข้าครั้งหนึ่ง ข้าเชื่อว่านางมิใช่คนแบบนั้น!”
“จิ้นหยวน”
กงซุนเซียวขมวดคิ้ว ปรายมองเขาอย่างไม่เห็นด้วยรอบหนึ่ง
เวลาแบบนี้จะมาผสมโรงอันใดให้วุ่นวายอีก?
ต่อให้จากนี้ไปราชวงศ์เทียนลิ่งและราชวงศ์ไท่อวี่จะกระทบกระทั่งกัน แม้นเกิดตีกันขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ถานไถเฉินเผชิญการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ได้รับแรงกระตุ้นอย่างรุนแรง ใครจะรู้ว่าเขาทำเรื่องอันใดออกมาได้อีก?
การลากตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องโดยมิรู้อีโหน่อีเหน่เช่นนี้ ทำไปเหตุใด?
กงซุนจิ้นหยวนเม้มริมฝีปากแน่น
เขาย่อมรู้แก่ใจว่าตนมิควรเอ่ยปาก แต่ครานี้ที่ทั้งสองฝั่งขัดแย้ง พาสถานการณ์ให้ตึงเครียด
ต่อให้เขามีศักดิ์เป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์ซีเหยียน ก็มิควรสอดปากพูดอันใด
แต่เขาก็ทนไม่ได้อยู่ดี
ฉู่หลิวเยว่ส่งยิ้มบางมาให้เขา ผงกหัวให้เป็นนัย
เดิมทีที่ออกหน้าช่วยเหลือ เป็นเพียงโอกาสประจวบเหมาะเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะออกหน้าพูดแทนตน
เทียบกันแล้ว จริงใจกว่ากงซุนเซียวตาแก่เจ้าเล่ห์นั่นอยู่อักโขเลยทีเดียว
…
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองไปยังถานไถเฉิน
“จักรพรรดิไหวเหริน ข้าเรียกท่านว่า ‘ผู้อาวุโส’ ก็เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทว่าหากเกียรติท่านไม่ต้องการแล้วละก็ เช่นนั้น… ข้าก็มิขอไว้ซึ่งไมตรีแล้วเช่นกัน!”
ถานไถเฉินแค่นหัวเราะเย็นเยียบ
“เจ้าว่าใครให้เกียรติเจ้ากัน!? ครั้งนี้หากเจ้าไม่สารภาพออกมา คนไท่อวี่เยี่ยงข้าย่อมไม่รามือแน่!”
สุดท้ายก็ต้องแตกหักกันสินะ
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่หรี่ลงเล็กน้อย
นางมีเรื่องต้องทำอีกมากมายก่ายกอง จะไปมีอารมณ์มาเสียเวลากับถานไถเฉินได้อย่างใด?
“ข้าเป็นพยานให้ได้”
จวินจิ่วชิงพลันเอ่ยปากขึ้นมา
“ในตอนนั้นหลังคนของราชวงศ์ไท่อวี่ประมือกับพวกเขาเสร็จรอบหนึ่งก็จากไปในทันที ส่วนเกิดอันใดขึ้นต่อจากนั้น… เกรงว่าคงมิมีผู้ใดล่วงรู้”
สีหน้าดุร้ายของถานไถเฉินพลันแข็งค้าง
ผู้อื่นออกหน้าแทนให้ เขาสามารถไม่เก็บมาใส่ใจได้
แต่จวินจิ่วชิงไม่เหมือนกัน
ถ้าหากว่าแม้แต่เขายังเอ่ยปากแบบนี้… เช่นนั้น ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ เขาก็ไม่สามารถหาเรื่องราชวงศ์เทียนลิ่งต่อหน้าฝูงชนได้อีกต่อไป!
“จิ่วชิง ที่เจ้าพูดมาน่ะเป็นความจริงหรือ?”
จวินฉีจือมองเขาอย่างมีนัยสำคัญแฝงอยู่ปราดหนึ่ง
จวินจิ่วชิงยกมุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย แววตายังคงสงบเรียบนิ่ง
“คำที่ลูกพูด ล้วนเป็นความจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาอย่างทำอันใดไม่ถูก
มาถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครล้วนดูออกว่าจวินจิ่วชิงคิดออกหน้าพูดแทนราชวงศ์เทียนลิ่ง!
เขาบอกว่าจริง ก็ย่อมเป็นจริง!
ถานไถเฉินอับจนคำพูดโดยสิ้นเชิง!
สายตาของเขามองไปยังกลุ่มคนพวกนั้นซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาคราหนึ่ง
“ได้! ได้!”
ก่อนหน้านี้จวินจิ่วชิงผู้นี้มักปฏิบัติต่อซั่งกวนเยว่ต่างออกไป ผนวกกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงก่อนหน้านี้อีก…
จะมีอันใดอีกที่ยังดูไม่ออก?
เขาจ้องมองไปทางฉู่หลิวเยว่เขม็งรอบหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงแล้วหมุนกายจากไป!
…
ถานไถเฉินจากไปแล้ว ภายในลานก็ตกอยู่ใต้ความเงียบพิกล
ความขัดแย้งครั้งนี้แท้จริงแล้วมิได้แบ่งแยกว่าใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะ
คนที่ประสาทสัมผัสดีล้วนมองออกว่าถานไถเฉินไม่ยอมรามือแค่นี้เป็นแน่
เจ็บปวดกับการสูญเสียบุตรสาวสุดที่รักไม่พอ ยังต้องสูญเสียยอดอัจฉริยะเหนือผู้ใดไปอีก…
เขาจะทำเรื่องอันใดออกมา ไม่ว่าใครก็ล้วนพูดไม่ได้เต็มปากทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่กลับดูมิได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย นางหมุนกายไปทางจวินจิ่วชิงและกงซุนจิ้นหยวนเพื่อเอ่ยขอบคุณ
จากนั้นก็หันไปคารวะแก่จวินฉีจือครั้งหนึ่งเป็นการขออภัย
ว่าตามตรง ไปชิงเอาสมบัติที่องค์ไท่จู่ทิ้งไว้ให้มาได้ จะอย่างใดก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่บ้าง
จวินฉีจือรู้สึกบีบรัดในอก หมดสิ้นคำพูดโดยสิ้นเชิง
เขาคิดมาโดยตลอดว่าการที่หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเปิดออกครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดย่อมต้องเป็นจวินจิ่วชิง
ดังนั้นเขาจึงทำตัวใจกว้างเป็นพิเศษด้วยการเชิญคนจากราชวงศ์ใหญ่อื่นๆ มาเข้าร่วมด้วย
…ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาต้องการแค่ยืมพลังของคนเหล่านี้มาช่วยเปิดค่ายกลของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงเพียงเท่านั้น
แต่เขาจะไปคาดคิดได้อย่างใดว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้?
การที่เขามองว่าฉู่หลิวเยว่เป็นสิ่งเจริญตากลับกลายเป็นเรื่องประหลาดไปเสียอย่างนั้น!
หากมิใช่เพราะอยู่ต่อหน้าธารกำนัลแล้วล่ะก็ แค่รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยเขาก็ยังยากที่จะยิ้มออกแล้วเป็นแน่แท้
จวินจิ่วชิงกลับดูมิได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก มีเพียงแววตาลุ่มลึกเท่านั้นที่ทำให้คนมิอาจหยั่งรู้ได้ถึงเจตนา
ท้ายที่สุด จวินฉีจือมองไปยังหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงที่ราบเป็นหน้ากลองไปแล้วรอบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขอตัวด้วยว่าตนเหนื่อยแล้ว จากนั้นก็ปลีกตัวจากมาเป็นคนแรก
พลังเหนือธรรมดาสายนั้นก็ถูกฉู่หลิวเยว่ฉกเอาไปเสียแล้ว นับจากนี้ต่อไป หุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงแห่งนี้ก็คงกลายเป็นสถานที่ที่ไร้ประโยชน์และไม่นับว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอีกต่อไป
หลังจวินฉีจือจากไป ทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายกลับทีละคน ทีละคน
…
เรื่องราวของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงก็ถือว่าจบลงด้วยประการฉะนี้
หลังจากที่คนของแต่ละราชวงศ์กลับไปถึงเมืองแล้ว ต่างก็เริ่มคิดเรื่องวางแผนจะกลับ
ครั้งนี้ นอกจากราชวงศ์ไท่อวี่ที่เผชิญการสูญเสียอันหนักหน่วง ส่วนคนอื่นๆ เมื่อมาดูแล้วล้วนปกติดีทั้งสิ้น
แม้ว่าจะไม่ได้รับสืบทอดพลังไปมากมายอย่างฉู่หลิวเยว่ ทว่าในวันสามหยวนรวมยอด คนส่วนใหญ่ล้วนได้รับพลังปราณดั้งเดิมจากที่นั่นไปแล้ว จะมากน้อยถือเป็นอีกเรื่อง
อย่างใดก็ตาม การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว
…
ตอนกลับถึงเรือนของแต่ละคนก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว
หลังฉู่หลิวเยว่จัดการธุระส่วนตัวอย่างง่ายๆ เสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังห้องของเชียงหว่านโจว
ถวนจื่อคอยเฝ้ายามอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่เดินเข้ามาก็บินเข้ามาหาอย่างเริงร่าทันที
“เขาเป็นอย่างใดบ้าง?”
ฉู่หลิวเยว่ถามพลางเดินไปจับชีพจรเซียงหว่านโจวตรวจดู
ถวนจื่อส่ายศีรษะ บอกกลายๆ ว่าสภาพของเขาไม่สู้ดีนัก
คิ้วของฉู่หลิวเยว่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ระหว่างทางนางเองก็ช่วยตรวจดูเขาไปแล้วรอบหนึ่ง จึงรับรู้ได้ถึงสัญญาณของผนึกภายในร่างของเขาที่จะปะทุออกมาในไม่ช้าก็เร็ว
เดิมทีนางคิดว่าด้วยเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ร่างกายของเขาย่อมต้องฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง
ทว่า ไม่เลย
พลังสองสายภายในร่างของเขาต่างก็เหนี่ยวรั้งกันไว้มาโดยตลอด ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกเลยอย่างช้าๆ
แผ่นน้ำแข็งชั้นหนึ่งก่อตัวขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซีดเผือด ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ
ฉู่หลิวเยว่มองดูแล้วในใจบังเกิดความวิตกอยู่บ้าง
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเขาจะตกอยู่ในสภาพนี้ไปถึงเมื่อไร…
ในตอนนั้นเอง หว่างคิ้วของเชียงหว่านโจวพลันปรากฏริ้วรอยสายหนึ่ง!