ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1010 เสวี่ยเสวี่ย
ตอนที่ 1010 เสวี่ยเสวี่ย
เดิมทีมู่หงอวี่ก็หยอกล้อเท่านั้น แต่เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่พยักหน้า สีหน้าของนางก็แข็งค้าง
ฉู่หลิวเยว่อธิบาย
“ร่างซวีหยวนพบเห็นได้ในรอบพันปี พูดไปแล้ว มันหายากกว่าเส้นชีพจรเทียนจิงเสียอีก อีกทั้ง ข้าสามารถเรียนรู้อันใดมากมายจากองค์ไท่จู่ ถือว่าข้ามีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ แต่ว่า…เจ้าไม่เหมือนกัน”
“ร่างซวีหยวนหาได้ยากมากจริงๆ แทบจะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับมันเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าเคยเห็นผ่านจากหนังสือโบราณมาครั้งหนึ่ง เคยพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ไม่เคยลงรายละเอียด”
ถ้าพูดตามตรง ไม่มีใครรู้ว่าร่างซวีหยวนของมู่หงอวี่นั้นจะต้องฝึกอย่างใด ถึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว นางจำเป็นจะต้องพึ่งพาตัวเอง
เมื่อก่อนยังพูดได้ เพราะระดับของนางนั้นไม่ได้สูงเท่าไร สามารถวิเคราะห์ไปทีละน้อยได้
แต่ว่าหลังจากนี้ ยิ่งฝีมือของนางแข็งแกร่งขึ้น ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แล้ว
ร่างซวีหยวนควรจะต้องฝึกฝนอย่างไรนั้น ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มาก
“เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วสามารถมั่นใจได้อย่างหนึ่ง เมื่อเลื่อนขั้นเข้าสู่จอมยุทธระดับเจ็ด จะมีพลังจิตวั่งเสิ่น* ซึ่งไม่อาจดูเบาได้”
มู่หงอวี่เบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“คง…คงไม่เหมือนกับเจ้าในตอนนั้นสินะ…”
หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่านางคงจะไม่สามารถยืนหยัดได้นาน และต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด!
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
มู่หงอวี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ในใจของมู่หงอวี่ก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
นางร้องคร่ำครวญ ยกมือทั้งสองข้างมากุมศีรษะ
“เช่นนั้นจะทำอย่างใดดี?! แม้กระทั่งฉู่หลิวเยว่ยังไม่รู้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
ในตอนนั้นเองเจี่ยนเฟิงฉือที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมา
“หากมีคนสามารถชี้แนะด้านนี้ได้ มันคงไม่ได้น่ากลัวขนาดนี้”
“พูดน่ะมันง่าย!”
มู่หงอวี่ปวดหัวอย่างมาก
“เมื่อครู่นี้ฉู่หลิวเยว่พูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ไม่ได้ปรากฏออกมานานมากแล้ว เช่นนั้นจะไปหาจากที่ไหน? ข้า…”
ทันใดนั้นเสียงของนางก็ขาดช่วงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่สิ! มีอยู่คนหนึ่ง! บางทีเขาอาจจะมีวิธี!”
แววตาของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะเต็มใจช่วยหรือเปล่า…”
มู่หงอวี่ลูบจมูกของตนเองอย่างกังวล
“ใครหรือ?”
อวี่เหวินจิงหงหันหน้ากลับมา พร้อมยื่นหน้ามาที่ด้านข้างของมู่หงอวี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจี่ยนเฟิงฉือกดศีรษะของอีกฝ่ายกลับเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
มู่หงอวี่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างลังเล
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ถามขึ้นมาว่า
“หรือเจ้าหมายถึง…ทะเลทรายจันทราสีชาด?”
ดวงตาของมู่หงอวี่เปล่งประกาย แล้วนางก็พยักหน้าอย่างแรง
“ใช่!”
หลังจากที่พวกเขาได้เข้าไปที่ทะเลทรายจันทราสีชาดได้ไม่นาน จากนั้นพวกเขาก็ถูกแยกตัวออกไป ในสถานที่ที่ต่างกัน
หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง มู่หงอวี่ก็ถูกทรายสีเหลืองไล่ล่า
ในตอนนั้นนางคิดแต่จะเอาชีวิตรอด แต่เมื่อมาคิดอีกที นางก็พบว่ามีคนตั้งใจช่วยให้นางมีระดับพลังสูงขึ้น
ช่วงเวลาที่นางอยู่ทะเลทรายจันทราสีชาด น่าจะเป็นช่วงที่นางสามารถเลื่อนขั้นได้เร็วที่สุดแล้ว
แค่คิดก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือชั้นสูงอย่างแน่นอน!
ระหว่างที่นางเดินทางในมิติ มีบางครั้งที่เจี่ยนเฟิงฉือไม่สามารถจับตำแหน่งของนางได้ แต่ว่าตอนที่นางอยู่ที่ทะเลทรายจันทราสีชาด อีกฝ่ายกลับสามารถตามตำแหน่งของนางได้อย่างแม่นยำและชัดเจน!
“หากสามารถเชิญมาได้ก็จะดีมาก…”
หลังจากยินดีแล้ว แววตาของมู่หงอวี่ก็หม่นหมองลงทันที
“เหตุใดถึงเชิญมาไม่ได้ล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“ข้าจะช่วยเจ้าเชิญมาเอง”
เหมือนว่าในช่วงที่มู่หงอวี่อยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาด จะสามารถฝึกฝนได้ไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นตามความเข้าใจของฉู่หลิวเยว่ที่มีต่อพี่เป่าและคนอื่นๆ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้จริงๆ…
“จริงหรือ?”
มู่หงอวี่ไม่อยากจะเชื่อ
นางแค่รู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่อาจจะรู้จักยอดฝีมือที่ลึกลับในทะเลทรายจันทราสีชาดเหล่านั้น แต่นางก็ไม่เคยถามมาก่อน
เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่านางจะมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน
“น่าจะไม่มีปัญหาอันใด เพียงแต่ว่า… เจ้าอาจจะต้องไปที่ทะเลทรายจันทราสีชาดด้วยตัวเองอีกสักครั้ง”
ท้ายที่สุดแล้วพี่เป่าและคนอื่นๆ ก็ไม่มีหนทางออกมาจากที่นั่น ดังนั้นมู่หงอวี่จึงต้องไปหาแทน
“ไม่มีปัญหา!”
มู่หงอวี่ไม่กลัวลำบาก เรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่นับว่าเป็นอันใด?
เมื่อฉู่หลิวเยว่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของนาง ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ก็หยีลงเป็นรอยยิ้ม
“ได้ ถ้าเช่นนั้นรอพวกเรากลับซีหลิงก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้”
…
หลังจากเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาทั้งหลายก็ได้กลับมาที่เมืองซีหลิงในตอนเที่ยงวันของวันนั้น
ฉู่หลิวเยว่กลับตำหนักพร้อมกับเชียงหว่านโจว อีกทั้งยังให้คนไปเชิญอวี้ฉือซงมาด้วย เพราะต้องการให้เขาช่วยดูอาการของเชียงหว่านโจว
ยังไม่ทันได้กลับไปถึงตำหนักเจาเยว่ ซั่งกวนโหยวที่เพิ่งได้ข่าวมาก็รีบมาหานางทันที จากนั้นก็ลาก
ฉู่หลิวเยว่ไปพูดคุยอยู่นาน
ตอนแรกฉู่หลิวเยว่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เพราะได้เลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธ์ระดับเจ็ด อีกทั้งยังสามารถฟื้นฟูเส้นชีพจรเทียนจิงได้ จึงสามารถพักฟื้นให้หายได้ในสองวันที่ผ่านมา ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงแต่แผลภายนอกเท่านั้น
ซั่งกวนโหยวสำรวจโดยรอบ เมื่อมั่นใจว่านางไม่เป็นอันใด จึงถอนหายใจออกมา
“โชคดี เยว่เอ๋อของพวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส…”
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าในช่วงเวลานี้พวกเขาได้เจออันใดมาบ้าง
ในอีกด้านหนึ่งของราชวงศ์เทียนลิ่ง คนที่มีฝีมืออ่อนแอมากที่สุด ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกรังแก
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงนั้นอันตรายอย่างมาก หากพวกนางไม่ระวัง จะต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของซั่งกวนโหยวแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะขึ้นมา
“เสด็จพ่อโปรดวางใจ ลูกสบายดีมาก”
นางพูดขึ้น ซั่งกวนโหยวถึงได้พบว่า เหมือนว่าปราณของนางนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว
ในตอนนั้นเขาก็เบิกตากว้างขึ้น
“เยว่เอ๋อ เจ้า…ตอนนี้เจ้า…อยู่ระดับเจ็ดแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้นมา พร้อมพยักหน้า
“ใช่แล้ว! ข้าโชคดีอย่างมากที่สามารถเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น”
หากเป็นคนอื่นได้ยินคำพูดนี้ของนาง เกรงว่าจะโมโหจนตายแล้ว
ราบรื่น?!
เหตุใดไม่บอกไปว่าเจ้าสามารถแย่งพลังศักดิ์สิทธิ์ขององค์ปฐมกษัตริย์อย่างราบรื่นด้วยเล่า?! อีกทั้งยังทำลายหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงของคนอื่นเขาอีก!
แต่ซั่งกวนโหยวไม่ได้รู้สึกว่ามันมีอันใดผิดปกติ
ราชวงศ์เทียนลิ่งและราชวงศ์เป่ยหมิงอยู่ห่างกันมาก ข่าวสารที่ส่งมาก็ค่อนข้างช้า
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้สถานการณ์ของทางด้านนั้นว่ามันเกิดอันใดขึ้น
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ก็ไม่มีทางพูดว่าตัวเองเกือบจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว
“อ่า จริงสิ ครั้งนี้ลูกได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ สามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณเทียนจิงได้”
เมื่อซั่งกวนโหยวได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก พูดอันใดไม่ออกอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ลูบศีรษะของฉู่หลิวเยว่ด้วยฝ่ามือสั่นเทา
“ดี…ดี!”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
ฉู่หลิวเยว่จับมือของเขาเอาไว้จนแน่น
“ตอนนี้เสด็จพ่อวางใจได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
ซั่งกวนโหยวยิ้มออกมาอย่างปล่อยวาง ดวงตาแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นสายสัมพันธ์พ่อลูก ที่ทำให้พวกเขารู้ใจกันดีที่สุด
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากกลางอากาศ!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะเห็นเงาร่างสายหนึ่งปรากฏตัวออกมา!
เพียงแค่พริบตาเดียว เงานั้นก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างเล็กน้อย นางไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ก่อนจะถามขึ้นเบาๆ ว่า
“…เสวี่ยเสวี่ย?”
ตรงหน้าของนางคือสัตว์อสูรตัวหนึ่งร่างกายสกปรก ขนสีเหลืองพันกันยุ่งเหยิง แทบจะมองไม่ออกแล้วว่าเป็นสัตว์อสูร นี่คือราชสีห์ขาวที่น่ารักอวี้เสวี่ยตัวนั้นน่ะหรือ!?
พลังจิตวั่งเสิ่น คือ การใช้ประสาทสัมผัสด้วยการมองสังเกตทุกด้านของการเคลื่อนไหวชีวิต
**********************************