ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1011 สติวิปลาส
ตอนที่ 1011 สติวิปลาส
“อ๊ะ…”
เสวี่ยเสวี่ยมองไปยังฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาน่าสงสาร
เสียงครวญครางดังรอดมาจากลำคอ
คิดไม่ถึงว่ามันจะปรากฏกายออกมาด้วยลักษณะท่าทางเช่นนี้…มันช่างน่าขายหน้าจริงๆ!
“นี่เจ้า…มาจากที่ไหนกันหรือ??”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้น ก่อนจะสาวเท้าไปด้านหน้า
เสวี่ยเสวี่ยถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมสะบัดขนอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นทรายสีเหลืองก็ร่วงกราวลงมาจากเนื้อตัวของมัน
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุก
“เจ้า…คงไม่ได้เพิ่งกลับมาจากทะเลทรายจันทราสีชาดใช่หรือไม่?”
ลมปราณเช่นนี้มันช่างคุ้นเคยอย่างมาก…
เสวี่ยเสวี่ยก้มหัวลงอย่างจำยอม ท่าทางเหมือนยอมรับกลายๆ
ฉู่หลิวเยว่กุมหน้าผากตัวเอง
“เอาล่ะ แล้วเจ้าไปที่นั่นได้อย่างใด? เจ้านายของเจ้าล่ะ?”
เสวี่ยเสวี่ยมีท่าทางโกรธขึ้นทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของนายท่าน มันจะไม่มีทางไปที่นั่น และจะไม่มีทางมีสภาพเช่นนี้?
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำก่อน”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น จากนั้นก็ลากตัวเสวี่ยเสวี่ยออกไป
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่มันออกมาในสภาพนี้ ก็น่าเกลียดอย่างมากแล้ว
เสวี่ยเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจอย่างมาก และรีบเดินตามนางไปทันที
หลังจากกล่าวคำลากับซั่งกวนโหยวแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็พาเสวี่ยเสวี่ยกลับตำหนักเจาเยว่ทันที
เดิมทีเสวี่ยเสวี่ยอยากจะเข้าใกล้นางมากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของมันสกปรกมากเกินไป จึงทำได้เพียงควบคุมตัวเอง และเดินห่างจากฉู่หลิวเยว่ประมาณสามก้าว
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็เก็บของเสร็จแล้ว และตั้งใจจะไปดูเสวี่ยเสวี่ยที่ตำหนักด้านข้าง แต่ทว่าร่างสีขาวขนาดใหญ่กลับพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของนางแล้ว
มันอาบน้ำอย่างบ้าคลั่งมาหลายรอบแล้ว และมั่นใจว่าตัวเองนั้นกลับมาเป็นราชสีห์ขาวที่น่าเกรงขามดังเดิมแล้ว มันถึงจะวางใจลงได้ และถูไถกับตัวฉู่หลิวเยว่อย่างเสน่หา
พรึ่บ!
ปีกเล็กๆ กระพือออก มาบังศีรษะของเสวี่ยเสวี่ยเอาไว้
นั่นคือถวนจื่อที่มาปรากฏตัวอยู่ตรงกลางระหว่างฉู่หลิวเยว่และเสวี่ยเสวี่ยตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ แววตามันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
…ระวังหน่อย ดูก่อนว่านี่คือเจ้านายของใคร!
เสวี่ยเสวี่ยแค่นหัวเราะเสียงต่ำ แต่ก็ขี้เกียจทะเลาะกับถวนจื่อ
ฉู่หลิวเยว่อุ้มถวนจื่อมาวางไว้บนไหล่ ก่อนจะลูบหัวของเสวี่ยเสวี่ยอีกครั้ง
“ตอนนี้คงบอกได้แล้วใช่หรือไม่?”
เรื่องที่มันเดินทางไปทะเลทรายจันทราสีชาด เหมือนจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เสวี่ยเสวี่ยยกกรงเล็บของมันขึ้นมา
พลังน้ำแข็งสีฟ้าก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นก็แข็งเป็นน้ำแข็งขนาดเท่าฝ่ามือ!
บนน้ำแข็งนั้น มีอักษรสลักเอาไว้อยู่สองบรรทัด
“นังหนู มานี่เร็ว”
คนที่สลักน้ำแข็งแผ่นนี้คือ ตู๋กูโม่เป่า
นี่คือข่าวจากพี่เป่าหรือ?
แต่ว่าเหตุใดพวกเขาถึงเรียกนางไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังให้เสวี่ยเสวี่ยเป็นคนมาส่งข่าวด้วย?
น้ำแข็งก้อนนั้นละลายอย่างรวดเร็ว หายไปในพริบตา
ฉู่หลิวเยว่มองหน้าเสวี่ยเสวี่ยแล้วพยักหน้าให้
“เดิมทีข้าก็คิดว่าจะไปที่นั่นอยู่แล้ว แบบนี้ก็พอดีเลย”
เสวี่ยเสวี่ยพยักหน้า
เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดีแล้ว
เมื่อมีนางอยู่ คนเหล่านั้นก็จะเห็นแก่นาง และน่าจะใจกว้างต่อมันบ้าง…ล่ะมั้ง?
“จริงสิ ช่วงนี้หรงซิว…กำลังทำอันใดอยู่หรือ?”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นึกถึงคำพูดสุดท้ายที่จวินจิ่วชิงทิ้งไว้
ประหลาดใจ…
นั่นเขาหมายถึงเรื่องอันใดกันแน่?
เสวี่ยเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ อย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างแรง
ช่วงนี้มันไม่ได้อยู่กับนายท่านเลย มันไม่รู้อันใดทั้งนั้น!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของมัน เดิมทีฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกอันใดมาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“หื้อ?”
เสวี่ยเสวี่ยส่ายหน้าแรงยิ่งขึ้น
ไม่รู้!
ไม่รู้อันใดจริงๆ!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะขึ้นมา
“เหมือนว่า…น่าจะมีเรื่องประหลาดใจจริงๆ ด้วย…”
นางบีบหูของเสวี่ยเสวี่ย น้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับต้องมนต์สะกด
“หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว เจ้าแอบพาข้าไปดูเขาหน่อยนะ ข้าอยากจะทำให้เขาประหลาดใจ ดีหรือไม่?”
เสวี่ยเสวี่ยพยักหน้า หลังจากนั้นมันค่อยตระหนักได้ว่าฉู่หลิวเยว่หมายถึงอันใด มันจึงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
พานางไป!?
นี่ นี่มัน…
“เด็กดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสวี่ยเสวี่ยนั้นเชื่อฟังข้าที่สุด”
ฉู่หลิวเยว่ตบหัวของเสวี่ยเสวี่ยเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้นะ”
เสวี่ยเสวี่ยนิ่งค้างไป ลอบพานางไป…เหมือนว่าจะไม่ดีเท่าไรมั้ง?
แต่นายท่านไม่ได้พูดอันใดสักอย่างเลย!
ถ้าถึงตอนนั้นแล้วล่ะก็…
“โฮก!”
เสวี่ยเสวี่ยคำรามขึ้นมาหนึ่งครั้ง รู้สึกปวดหัวไปหมด
นี่มันยากเกินไปแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ก่อนที่นางจะไป นางจำเป็นต้องจัดการงานเล็กน้อยก่อน
…
ฉู่หลิวเยว่มาที่ตำหนักฮวาหยางอีกครั้ง
นางผลักประตูใหญ่เข้าไปในตำหนัก กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
ภายในห้องนั้นรกเละเทะอย่างมาก ของทุกอย่างพังกระจัดกระจาย แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บนพื้น ไม่มีแม้แต่ทางจะให้เดิน
“นายท่าน”
ชีหานยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู พร้อมโค้งคำนับทำความเคารพนาง
ในช่วงนี้ เขารับผิดชอบยืนเฝ้าที่ตำหนักฮวาหยางอยู่ตลอด
“ช่วงนี้ซั่งกวนหว่านเป็นอย่างใดบ้าง?”
ชีหานตอบ
“นางเหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต้องอาศัยโอสถทุกวันเพื่อให้อยู่รอด หายใจได้ไม่ทั่วท้อง”
ลมหายใจที่เหลืออยู่นี้ เป็นเขาบังคับให้ซั่งกวนหว่านมีชีวิตอยู่
ซั่งกวนหว่านอยากตายมาตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันมหามงคลสมรส นางก็ได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้ายก็ต้องมาดิ้นรนทุรนทุรายอยู่ในตำหนักที่อ้างว้างและเดียวดายแห่งนี้
นางอยู่ไม่สู้ตาย
ระหว่างนี้นางได้พยายามฆ่าตัวตายมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าก็ไม่สำเร็จ
“แต่เหมือนว่าจิตของนางจะผิดปกติไปเล็กน้อย”
เป็นการทรมานวันแล้ววันเล่า ขอร้องให้ไว้ชีวิตรอดก็ทำไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่มีทาง
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
“ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”
ชีหานลังเลเล็กน้อย
“นายท่าน ภายในตำหนักนี้สกปรกอย่างมาก…เช่นนั้นให้ข้าน้อยพานางออกมาดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ไม่มีที่ไหนที่ข้าไม่เคยไป ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้หรอก”
ฉู่หลิวเยว่สะบัดชายเสื้อ พร้อมเดินเข้าไปในทางบังคับเส้นเดียว
ชีหานไม่ได้พูดอันใดมาก แต่ก็เดินติดตามไป
…
ภายในตำหนักที่รกร้าง มีแต่ความเงียบงัน
ครั้งหนึ่งตำหนักนี้เคยหรูหราสวยงาม แต่ตอนนี้กลายเป็นโลงศพขนาดใหญ่ไปแล้ว
อีกทั้งซั่งกวนหว่านกลายเป็นศพที่ยังมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองไปโดยรอบ จากนั้นก็เห็นเงาของซั่งกวนหว่านอยู่ที่มุมหนึ่งตรงปลายเตียง
เหมือนว่าซั่งกวนหว่านก็สัมผัสอันใดได้บางอย่าง จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา
เมื่อสบสายตากันครั้งแรก ฉู่หลิวเยว่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่คือซั่งกวนหว่าน
นี่เพิ่งผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้น แต่นางกลายมาเป็นแบบนี้เสียแล้ว
เสื้อผ้าขาดรุ่ย เนื้อตัวสกปรก รูปร่างผอมซูบ
มองจากระยะไกล เหมือนกับโครงกระดูกห่อผ้าที่มีชีวิต
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ดวงตาข้างหนึ่งบุ๋มลึกเข้าไป แผลเปื่อยเน่า
“นั่นคือแผลจากการที่นางควักลูกตาตัวเองออกมาหนึ่งข้าง”
ชีหานพูด
ตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ถึงได้เข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดว่าซั่งกวนหว่านมีจิตไม่ปกติ มันเป็นอย่างใดกันแน่
แต่ซั่งกวนหว่านก็มองนางเพียงครู่เดียว จากนั้นก็ก้มหน้าลง พร้อมขดตัวเป็นลูกบอล ราวกับว่าต้องการซ่อนตัวเองในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น
ในขณะเดียวกัน นางก็เริ่มดึงทึ้งผมตัวเองอีกครั้ง
เหมือนว่านางจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดแล้ว นางดึงออกมาหนึ่งกำมือใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ
สีหน้าเหม่อลอย ดวงตาว่างเปล่า ปากยังคงพึมพำบ่นอันใดเป็นครั้งคราว
ฉู่หลิวเยว่เงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินชื่อของเจียงอวี่เฉิง
“…ชอบข้า…ไม่…ไม่ชอบนาง…”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
“ช่วงนี้ เจียงอวี่เฉิงเคยมาที่นี่หรือเปล่า?”
**********************************