ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 102 เข้าเรียน
เยี่ยเหล่าเป็นหัวหน้าสำนักเทียนลู่จริงๆ หรือ!
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองด้วยความตกตะลึง
ชายชราคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเก่าขาดๆ ดูซอมซ่อ….หากไม่ได้มาเห็นกับตา ใครจะเชื่อในตัวตนที่แท้จริงของเขากันเล่า!
ฉู่หลิวเยว่นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เคยเจอกันหลายต่อหลายครั้ง เยี่ยเหล่าตามตื๊อขอไปดูนางหลอมยา นางก็ยิ่งรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
ไปๆ มาๆ คนที่มีอำนาจมากที่สุดในสำนักเทียนลู่ก็คือชายชราที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้
น้อยครั้งที่จะเห็นเยี่ยเหล่ามีท่าทางจริงจัง และเขาก็ยังขยับปลายนิ้วต่อไป
มีอีกหนึ่งชื่อปรากฏบนหน้ากระดาษบันทึก
“ฉู่หลิวเยว่!”
ฉู่หลิวเยว่พบว่าชื่อของตัวเองเป็นตัวอักษรสีแดงซึ่งเป็นสีเดียวกับบรรดาอาจารย์ในสำนักอย่างคาดไม่ถึง
จากนั้นก็มีลายลักษณ์อักษรตัวเล็กๆ ปรากฏที่ข้างล่างบรรทัดชื่อของนาง
“ผู้บำเพ็ญเพียรหมอเทวดา ปรมาจารย์ ผู้ฝึกยุทธ์!”
หากเป็นนักเรียนทั่วไปสามารถเลือกฝึกบำเพ็ญได้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น แต่ฉู่หลิวเยว่กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
เยี่ยเหล่ารู้ว่าพรสวรรค์ของนางอาจแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด ดังนั้นเขาจึงเขียนถึงนางทั้งสามแขนงวิชาทีเดียวไปเลย
เช่นนี้อนาคตข้างหน้าจะได้สะดวกมากขึ้น
เมื่อเขาเขียนคำสุดท้ายเสร็จสิ้น ทันใดนั้นแสงสีทองก็พุ่งออกมาจากชื่อของเยี่ยเหล่าแล้วเจาะเข้าไปในป้ายชื่อบนหน้าอกด้านซ้ายของฉู่หลิวเยว่ทันที
“บนป้ายชื่อของนักเรียนทุกคนจะมีพลังของอาจารย์ตนเองอยู่ ไม่เพียงแค่สามารถระบุตัวตนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นไพ่ตายในยามวิกฤตได้อีกด้วย”
เยี่ยเหล่าอธิบายพลางปล่อยมือ
หน้าบันทึกค่อยๆ ปิดเอง จากนั้นก็ส่งสมุดบันทึกรายชื่อกลับคืนอาจารย์ท่านนั้น
“เอาล่ะ! ข้าจดรายชื่อเจ้าลงบันทึกแล้ว ต่อไปนี้เจ้าก็คือลูกศิษย์เต็มตัวของเหวยซือแล้วล่ะนะ!”
เยี่นเหล่ามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
แม้ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่จะทำพิธียกน้ำชาให้เขาแล้ว แต่ถึงอย่างไรครั้งนั้นก็มีเพียงพวกเขาสองคนที่รับรู้เรื่องนี้
ตอนนี้ชื่อของพวกเขาทั้งสองถูกเขียนไว้ในบัญชีรายชื่อของสำนักเทียนลู่แล้ว เช่นนั้นจึงแตกต่างออกไป
ต่อไปนี้ทุกคนจะได้รู้ทั่วกันว่าฉู่หลิวเยว่คือลูกศิษย์ของเขา!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหล่าก็รู้สึกชื่นใจ
เขาใช้ชีวิตมาเกือบทั้งชีวิต และหลายคนเกลี้ยกล่อมให้เขารับลูกศิษย์ แต่เขาปฏิเสธกลับไปทั้งหมดเพราะกลัวความวุ่นวาย
จนในที่สุดวันนี้เขาก็เจอคนที่ถูกชะตา ทั้งยังเป็นเด็กอัจฉริยะที่ร้อยปีจะเจอสักคน พอได้แสดงความสามารถทั้งทีก็ไม่มีผู้ใดเทียบติด!
ทำไมเขาจะไม่ดีใจล่ะ จริงไหม!
“ไปๆๆ ไม่เจอกันตั้งนาน เหวยซือมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเจ้า!
หลังจากเสร็จสิ้นธุระทางนี้ เยี่ยเหล่าก็พาฉู่หลิวเยว่ออกไปทันที ซุนจ้งเหยียนและคนอื่นๆ ที่เหลือต่างมองตากันปริบๆ
บรรยากาศภายในสวนเถาหลี่เงียบสงบได้สักพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะมีเสียงหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ดังขึ้น
“พวกเราแย่งกันแทบตาย สุดท้ายนางก็เป็นศิษย์ของหัวหน้าสำนักตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!”
…
เดิมทีเยี่ยเหล่าอยากพาฉู่หลิวเยว่ไปอยู่ที่บ้านพักของตนเอง ทว่าฉับพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในสำนักมานาน ที่ตรงนั้นของเขาน่าจะยังไม่ได้ทำความสะอาด สุดท้ายเขาก็เลยต้องตามฉู่หลิวเยว่กลับไป
โชคดีที่ในเวลานี้นักเรียนส่วนใหญ่ในสำนักได้เริ่มชั้นเรียนหรือฝึกฝนแล้วจึงไม่พบใครเลยระหว่างทางกลับ
“หลิวเยว่เอ๋ย เจ้าอยากเข้าสำนักแล้วทำไมไม่บอกซือฝุเจ้าตั้งแต่แรกเล่า แล้วยังต้องมาสอบสามวิชาให้ยุ่งยากอีกทำไม ข้าได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนเจ้าเข้าร่วมสอบกลางภาคหรือ มีคนรังแกเจ้าหรือไม่ รีบบอกซือฝุมาเดี๋ยวนี้เลย ซือฝุจะช่วยเจ้าเอาคืนอย่างแน่นอน!”
คำพูดหลั่งไหลเป็นสายน้ำ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับค่อยๆ รินน้ำชาให้เขาอย่างใจเย็น
“ท่านค่อยๆ พูดก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอกเจ้าค่ะ”
เยี่ยเหล่าหยุดพักก่อนจะดื่มชาลงไป
จากนั้นฉู่หลิวเยว่จึงเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ
เยี่ยเหล่าก็พอได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่พอมาได้ยินจากปากของฉู่หลิวเยว่ เขาถึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“…ที่แท้เวลาแค่ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ เจ้าเด็กนี่ ก่อนหน้านี้บอกแล้วใช่ไหม หากมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นให้รีบไปหาซือฝุ แต่ยามนี้ข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้ากลับช่วยเจ้าไม่ได้เลยสักอย่าง”
หัวใจของเยี่ยเหล่าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ในสายตาของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง การที่นางเป็นประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลฉู่และองค์ชายรัชทายาทนั้นไม่รู้ว่าลำบากมากแค่ไหน
ฉู่หลิเยว่ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น นางกลับหัวเราะแล้วกล่าวติดตลกว่า
“ตอนนั้นข้าก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของท่านเลยนี่นา หากรู้ตั้งแต่แรก ทำไมข้าจะไม่ไปหาท่านล่ะเจ้าคะ”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้เยี่ยเหล่ารู้สึกผิดขึ้นมา
“เพราะเหวยซือไม่รอบคอบเอง…”
เขามีนิสัยรักอิสระ เขาไม่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องภายในสำนักตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และมักจะฝากฝังให้พวกซุนจ้งเหยียนเป็นคนจัดการแทน
แม้ว่าเขาจะได้ชื่อเป็นหัวหน้าสำนัก แต่เขาร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอกมาหลายปี คนที่เคยเห็นเขาตัวจริงจึงมีน้อยนัก และเขาก็มักจะลืมว่าตัวเองมีตำแหน่งนี้ค้ำคอเอาไว้อยู่
“ทว่า ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” ฉู่หลิวเยว่เอ่ยขึ้น
เยี่ยเหล่าเก็บซ่อนอารมณ์และส่ายหน้า
“หลิวเยว่ บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ว่ารัชทายาทมีใจดำคับแคบ เห็นแก่ผลประโยชน์ของตน เมื่อเจ้าทำเช่นนี้ เขาเสียหน้าไปแล้ว และเขาจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน…”
วูบ!
เยี่ยเหล่ายังพูดไม่จบ ทันใดนั้นก็มีเสียงหึ่งๆ ดังมาจากข้างนอก!
ทั้งสองมองออกไปพร้อมกันแต่ไม่เห็นอะไรเลย
แต่สีหน้าของเยี่ยเหล่าก็ยังดูไม่สบายใจ ทั้งยังขมวดคิ้วจนเป็นปม
เขารีบลุกขึ้น
“หลิวเยว่ ซือฝุมีธุระต้องจัดการก่อน วันหน้าค่อยมาหาเจ้าอีก!”
เมื่อพูดจบ เยี่ยเหล่าเพียงแค่ขยับเท้าก็สามารถหายตัวไปได้อย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางที่เขาจากไปและตาของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ณ ที่แห่งหนึ่งไม่ไกลนัก หอคอยจิ่วโยวอันงดงามตั้งตระหง่านสงบนิ่ง
การเคลื่อนไหวแปลกๆ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่าจะมาจาก…ที่นั่น!
ทว่าความผันผวนกลับมีน้อยมากและคนทั่วไปก็ไม่น่าจะสังเกตเห็นได้
กระนั้นนางกลับสามารถรับรู้ได้เพราะนางอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของพลังแห่งฟ้าดินได้
แม้ว่าพลังความแข็งแกร่งของอดีตจะไม่ได้รับการฟื้นฟู แต่ประสาทสัมผัสการรับรู้ยังคงมีอยู่
ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมีอนใต้หอคอยจิ่วโยวจะเป็นของสำนักเทียนลู่…
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดความคิดของฉู่หลิวเยว่
“ใคร”
นางเอ่ยถามพลางเดินไปเปิดประตู
และใบหน้าของคนคุ้นเคยก็ปรากฏอยู่ด้านนอกประตู
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย
“ซือถิง เจ้ามาได้อย่างไร”
ซือถิงไม่คาดหวังว่านางจะมาเปิดประตูให้เร็วขนาดนี้ เขาจึงผงะไปเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
“เจ้าเลือกอาจารย์แล้วหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบ
ซือถิงนิ่งเงียบไปแต่ก็ไม่ได้ถามว่านางเลือกใคร
“เช้านี้มีเรียนสมาธิ อาจารย์ตงฟังให้ข้ามาดูว่าเจ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียนสมาธิหรือ”
ฉู่หลิวเยว่มีข้อสงสัยบางอย่าง
ซือถิงอธิบายให้นางฟัง
“แม้ว่าการปฏิบัติของปรมาจารย์ส่วนใหญ่จะเป็นอิสระ แต่ก็มีวิชาทั่วไปด้วย ส่วนวิชานี้สอนโดยอาจารย์ตงฟัง”
นางมองสำรวจเขาแล้วเอ่ยแซ็ว
“เรื่องเล็กแค่นี้ อาจารย์ไม่จำเป็นต้องส่งเจ้ามาหรอกมั้ง”
ซือถิงหลบสายตา ใบหน้ารูปงามยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง
“ข้าก็แค่ผ่านด่านแรกมาก่อนก็เลยมีเวลาว่างมา หากเจ้าเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ถามข้าไปซะ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ถามอะไรให้มากความและไปเรียนพร้อมกันกับเขา