ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1024 ท่านแม่
ตอนที่ 1024 ท่านแม่
ผู้แข็งแกร่งระดับเทพ!
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่กำลังมองฝ่ายตรงข้าม นางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักยิ่งขึ้น!
นางกำหมัดภายในแขนเสื้อกรอด แล้วยืดหลังตรง
จากนั้นก็สาวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ท่าทางไม่ได้ดูเย่อหยิ่งเกินไปและไม่ได้ดูอ่อนน้อมเกินไป
“ข้าน้อยตู๋กูเยว่ คารวะใต้เท้า”
นางไม่ได้ประกาศฐานะซั่งกวนเยว่ หรือว่าฉู่หลิวเยว่ แต่กลับเลือกใช้แซ่ของพี่เป่า ตั้งเป็นชื่อปลอมขึ้นมา นอกจากนี้นางยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้ด้วย และแต่งตัวเป็นหญิงสาวธรรมดา
เพราะนางไม่แน่ใจว่า อาณาจักรเสิ่นซวี่ที่นางเคยมานั้น นางมาด้วยฐานะใดกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องฉู่หลิวเยว่คือซั่งกวนเยว่
หากมีคนสืบค้นเพียงเล็กน้อยก็จะรู้ได้ทันที
ดังนั้นระหว่างทางที่มานางจึงปรึกษากับพี่เป่าเรียบร้อยแล้ว นางต้องเปลี่ยนตัวตนทั้งหมดเพื่อความสะดวก
หลินเซียว มีหน้าที่รักษาประตูพรมแดน เขากวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า
เหมือนว่านางจะยังอายุไม่เกินยี่สิบปี หน้าตาธรรมดา มีเพียงดวงตาสีดำขลับราวกับหยก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถมองเห็นแววตาที่สว่างไสวของนาง
มันน่าเสียดายเล็กน้อยที่ดวงตางดงามเช่นนั้นมาอยู่บนใบหน้านี้
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ใบหน้าของหลินเซียวเข้มงวด เขาขมวดคิ้วขึ้น
“คนที่ไม่ได้มาจากอาณาจักรเสิ่นซวี่ จะต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้าเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ข้ามอาณาจักรเซียนเทพ เจ้า…มีคุณสมบัติพอหรือ?”
น้ำเสียงที่สูงส่งห่างเหินหยั่งรากลึกเข้ากระดูกดำ
เขาตั้งใจดูถูกฉู่หลิวเยว่ เมื่อมีคนที่ไม่ใช่คนจากอาณาจักรเสิ่นซวี่เข้ามา ก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ
พวกเขาเฝ้ายามอยู่ที่นี่ มีคนจำนวนไม่น้อยต้องการที่จะเข้าไปในอาณาจักรเสิ่นซวี่
บางคนมีทักษะที่แท้จริง อาศัยเพียงฝีมือของตนเอง สามารถทะลวงประตูด่านนี้เข้าไปได้ จากนั้นก็จะได้รับอนุญาต และเข้าไปได้ นี่คือกฎใหม่ในการเข้าเมือง
แต่คนจำนวนนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
สภาพแวดล้อมภายนอกของอาณาจักรเสิ่นซวี่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียร คนที่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นคนอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
ราชวงศ์บางราชวงศ์ ร้อยปีก็ยังไม่สามารถผลิตผู้ที่แข็งแกร่งแบบนั้นออกมาได้เลย
คนที่เหลือส่วนใหญ่ ต่างพยายามอย่างเปล่าประโยชน์ พวกเขาใช้กลวิธีเล็กๆ น้อยๆ ในการโกงเพื่อจะได้เข้ามา
ดังนั้นผู้ที่รักษาประตูอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นคนจากตระกูลใด เขาก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันต่อทุกคน
ตอนที่ได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดว่าตนเองมาจากราชวงศ์เทียนลิ่ง พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจนางมากนัก
สาวน้อยวัยละอ่อนคนหนึ่งจะมีความสามารถอย่างนั้นหรือ?
นางน่าจะมาที่นี่เพื่อความสนุกสนานมากกว่า
หากไม่ใช่เพราะว่าเหมือนว่านางจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปิดระดับลมปราณของผู้ใช้ จึงไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้ระดับพลังของตัวนางได้ เดิมทีเขาคงไม่ถามคำถามกับอีกฝ่ายแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่เองก็หมดความอดทนกับท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว
นางหัวเราะแล้วยกมือขึ้น
พลังดั้งเดิมที่เปล่งประกายปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วชี้ของนาง!
ใบหน้าหมดความอดทนของหลินเซียวแข็งค้างไปทันที แววตามีประกายตกใจปรากฏขึ้น!
นี่…นี่มันคือพลังศักดิ์สิทธิ์!
“เจ้าคือครึ่งเทพ?”
เขามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาตื่นตะลึง และถามออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา
ที่เรียกว่าครึ่งเทพ นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ทะลวงผ่านจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้ว แต่ยังไม่ได้สร้างอาณาเขตเซียนเทพของตนเอง
เหมือนกับองค์ปฐมกษัตริย์ในตอนนั้น
ดังนั้นที่หลินเซียวถามเช่นนั้น นั่นก็เพราะเขามองออกว่า พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของผู้หญิงคนนี้มีจำกัด แต่นางมีพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
โดยพื้นฐานสถานการณ์เช่นนี้ก็เรียกว่าครึ่งเทพแล้ว
ระหว่างทางที่มาที่นี่ ก่อนหน้านี้ตู๋กูโม่เป่าเคยพูดให้ฉู่หลิวเยว่ฟังไปแล้ว
ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์กลับคืน ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ ไหลไปตามน้ำ
“ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าไปหรือยัง?”
ครึ่งเทพ สามารถเข้าไปได้อย่างแน่นอน
หลินเซียวหน้าเปลี่ยนสี การแสดงออกต่อฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไปอย่างมาก ดูเคารพนอบน้อมมากขึ้น
“เจ้ามาที่นี่ครั้งแรกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“หากมาที่นี่เป็นครั้งแรกจะต้องลงทะเบียนใหม่ก่อน”
หลินเซียวพูดขึ้น จากนั้นก็โบกมือขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้นสมุดเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
เขาเปิดสมุดเล่มนั้นออก ในเวลาเดียวกันก็ยื่นพู่กันมาให้นาง
“เจ้าเขียนชื่อแซ่ และวันที่ลงทะเบียนลงไป”
ฉู่หลิวเยว่มองอยู่ครู่หนึ่ง
สมุดเล่มนี้ไม่เหมือนกับสมุดธรรมดาทั่วไป มันหนักเหมือนกับหินขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง นางเกือบจะถือมันได้ไม่นิ่ง
สมุดเล่มนั้นถูกเปิดออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่ คือกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น
แต่ว่านางสามารถมองเห็นรายชื่อที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย มีชื่อบางส่วนแต่สีที่ส่องแสงออกมาจางๆ ก็ไม่เหมือนกัน
ฉู่หลิวเยว่หยิบพู่กันออกมา แล้วเขียนชื่อลงไป
“ตู๋กูเยว่”
หลังจากที่เขียนเสร็จแล้ว นางก็ชะงักมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหลินเซียว
“ไม่ทราบว่าวันนี้คือ…”
“วันที่สิบหก เดือนกันยายน รัชศกซินหยวนลี่ที่สามพันห้าร้อยเจ็ดสิบสี่”
หลินเซียวกล่าวเตือน
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก! พู่กันในมือขีดลงไปที่กระดาษนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หลินเซียวขมวดคิ้วขึ้น
“มีอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่รีบหลุบสายตาลงต่ำ
“ไม่มีอันใด เพียงแค่…รู้สึกแปลกใจกับนามของรัชศกเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หลินเซียวแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความภูมิใจ
“เจ้าไม่ใช่คนอาณาจักรเสิ่นซวี่ หากไม่รู้เรื่องนี้ ก็ถือว่าปกติแล้ว จำเอาไว้ หากเข้าไปในอาณาจักรเสิ่นซวี่ เจ้าจะต้องบอกปฏิทินตามปีรัชศกนี้”
ฉู่หลิวเยว่กำด้ามพู่กันแน่น สะกดกลั้นระลอกคลื่นที่ผันผวนอยู่ในใจ นั่งเขียนบรรทัดนั้นลงไป จากนั้นก็ยื่นพู่กัน และสมุดคืน ก่อนจะยิ้มขอบคุณเขา
“ขอบคุณใต้เท้าที่กล่าวเตือน”
นางหัวเราะขึ้นมา ดวงตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว แววตาเปล่งประกาย กลับทำให้ใบหน้าที่ดูธรรมดา ดึงดูดสายตาผู้คนเพิ่มขึ้น
หลินเซียวมองหน้านางนานขึ้นอีกนิด ในใจก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
แม้ว่าในตอนแรกนางจะดูหน้าตาธรรมดา แต่มองไปนานๆ แล้ว กลับน่ามองมากยิ่งขึ้น คำพูดและท่าทางใจกว้างของนางทำให้คนรู้สึกดีด้วย
หลังจากที่ชำเลืองมองสมุดเล่มนั้นแล้ว เขาก็พยักหน้า
“เจ้าเข้าไปได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขอบคุณหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พาตู๋กูโม่เป่าเดินเข้าไปด้านใน
“ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นหลินเซียวก็ยกมือขึ้นมาขวางทางทั้งสองคนเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
แต่หลินเซียวกลับเชิดคางขึ้น พร้อมมองไปยังตู๋กูโม่เป่าที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“เจ้าเข้าไปได้ แต่เขาไม่”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วขึ้น
“แต่เมื่อครู่นี้ข้าผ่านคุณสมบัติไปแล้ว…”
“นั่นมันเจ้า แต่ไม่ใช่เขา”
หลินเซียวส่ายหน้า ท่าทางยืนหยัด
“พวกเจ้าทั้งสองคนต่างไม่ใช่คนของอาณาจักรเสิ่นซวี่ หากต้องการจะเข้าไป มาตรฐานล้วนเป็นแบบเดียวกัน”
ตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งมาถึงที่นี่ ตู๋กูโม่เป่าก็ได้ระงับระดับพลังของตนเอง ดังนั้นเมื่อมองดูแล้ว เขาก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางตู๋กูโม่เป่าอยู่ครู่หนึ่ง
เขาหลอมร่างกายออกมาแล้ว แน่นอนว่ามีคุณสมบัติที่จะได้เข้าไป
เหมือนว่าเขาจะมีข้อห้ามอยู่เล็กน้อย และไม่เต็มใจที่จะแสดงพลังที่แท้จริงของตนเอง
“ไม่สามารถพาคนในครอบครัวเข้าไปได้หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“ท่านดูสิ เขายังเด็กขนาดนี้…”
ทันใดนั้นลมเย็นๆ สายหนึ่งก็พัดมาจากด้านหลัง!
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอ แล้วขยิบตาให้ตู๋กูโม่เป่า
…อยากจะเข้าไปหรือไม่!
หลินเซียวกวาดสายตามองคนทั้งสอง แล้วพูดขึ้นด้วยความเย็นชา
“ไม่ได้”
“ไม่ได้จริงๆ นำเด็กคนนี้ให้พ่อของเขาก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? คนเป็นแม่ไม่เห็นจะต้องพาเข้าไปด้วยเลย?”
—————————-