ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1035 บิดาที่ขาดความรับผิดชอบ
ตอนที่ 1035 บิดาที่ขาดความรับผิดชอบ
หลินเทียนเฟิงพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งที
“เหอะ แน่นอนว่าต้องไปอยู่แล้ว! เพียงแต่ในผาแดนสวรรค์นั้นมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระดับหนึ่งอยู่เพียงเครื่องเดียว แถมยังมาพังในช่วงวิกฤตเช่นนี้ด้วย มันจึงทำให้ทางเราล่าช้า! และกว่าจะซ่อมเสร็จก็ต้องใช้เวลาถึงสองวัน…เจ้ากลับไปแจ้งเช่นนี้ก่อน แล้วข้าจะเขียนจดหมายส่งไปทีหลัง แทนการอธิบายเหตุผลของทางเราให้ฝั่งนั้นเข้าใจอย่างชัดเจน”
“ขอรับ!”
เมื่อองค์รักษ์ได้ยินเช่นนั้น เขาจึงถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลินเทียนเฟิงยืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในเรือน
เขาขมวดคิ้วแน่นไม่คลาย เห็นได้ชัดว่าในใจยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เป็นระยะ
ซึ่งปัญหาแรกก็คือ พิธีเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว หากพวกเขาเลื่อนนัดออกไปอีกคงดูไม่ดีแน่
สถานะภาพของผาแดนสวรรค์นั้นมิได้สูงส่งนัก ถ้าเกิดพวกเขาตัดสินใจพลาดในช่วงเวลาน่าเสี่ยวหน้าขวานเช่นนี้ ก็มีแต่จะแย่ลงกว่าเดิม!
และอย่างที่สองก็คือ แค่ได้รู้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของหลินจือเฟย ก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียมากขึ้นเท่าตัวแล้ว
เขาเดินไปหาทั้งสองคนและทอดสายตามองตู๋กูเยว่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“ม่ายสาว เจ้าน่ะ…ช่วยผ่อนปรนให้ข้ามิได้เลยหรือ? ขอเพียงแค่เจ้ารักษาจือเฟยให้หายดี หลังจากนี้ตระกูลหลินของข้า จะยกยอเชิดชูปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติแน่นอน!”
หลินจือเฟยหลุบตาลงพร้อมสีหน้าเรียบเฉย
“เกิดแก่เจ็บตายคือสัจธรรม ท่านพ่อ ท่านอย่าได้บังคับแม่ม่ายตัวน้อย…”
“แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้หนทาง”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เอ่ยปาก
แววตาของหลินเทียนเฟิงทอประกายวาววับ
“เชิญกล่าวออกมาได้เลยแม่สาวน้อย!”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ พลันย้อนถามกลายๆ ว่า
“เหมือนเมื่อครู่ข้าจะได้ยินว่า ประมุขหลินจะไป…ร่วมงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของโอรสสวรรค์หรือ?”
หลินเทียนเฟิงชะงัก แต่ไม่ได้คิดจะปิดบัง
“ใช่แล้ว”
ยามนี้มีคนทราบเรื่องนี้แล้วไม่น้อย และมันไม่มีสิ่งต้องห้ามที่พูดออกไปไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่ยังคงสงบนิ่ง ทว่ามือเรียวที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับค่อยๆ กำหมัดทีละนิด
ก่อนที่นางจะถามเน้นทีละคำว่า
“มิทราบว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้มีนามว่า…หรงซิวหรือไม่?”
“ม่ายสาวโปรดระวังวาจา!”
หลินเทียนเฟิงตื่นตกใจตาโต พลันตวาดเสียงเข้มอย่างลืมตัว
“นามของโอรสสวรรค์ คิดว่าคนอย่างเราๆ สามารถเรียกได้ตามอำเภอใจหรือ?”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่จมดิ่งลงทันที!
เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!
โอรสสวรรค์ผู้นี้…คือหรงซิวจริงๆ!
เช่นนั้นงานฉลองและการเลือกพระชายาที่พวกเขาพูดถึงเมื่อครู่ ก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมดน่ะสิ?
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
ปรากฏว่าตอนนั้นที่เขาบอกว่ามีเรื่องยุ่งยากต้องจัดการ…ก็คือเรื่องนี้เองหรือ?
“ประมุขหลินโปรดอย่าถือสา ข้าแค่พลั้งปากถาม ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด”
ฉู่หลิงเยว่เอนหลังลงบนเก้าอี้ แล้วใช้มือข้างหนึ่งเคาะที่เท้าแขนเบาๆ พร้อมแย้มยิ้มบางเบา แต่กู๋ตูโม่เป่าที่นั่งอยู่ข้างๆ นางนั้น สัมผัสได้ถึงลมปราณอันเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างของนางได้อย่างชัดเจน!
เขาขมวดคิ้วนิดๆ ดวงตาสีม่วงอันน่าหลงใหลคู่นั้นทอประกายวาววับ
“เมื่อครู่ก่อน ตอนที่ข้ากล่าวว่าข้าต้องรีบไปยังที่แห่งหนึ่ง ความจริงแล้วมันคือสถานที่เดียวกันกับที่ที่ประมุขหลินต้องไป ฉะนั้นหากประมุขหลินและนายน้อยสี่ไม่รังเกียจล่ะก็ เช่นนั้น…พวกเราก็เดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่? เพราะถ้าทำแบบนี้ เราทั้งสองฝ่ายก็จะไปที่นั่นได้ทันเวลา และอีกนัยหนึ่ง ขณะเดินทางข้าเองก็จะได้คอยดูแลสภาพร่างกายของคุณชายสี่ไปด้วย และช่วยให้เขาฟื้นฟูโดยเร็วที่สุด ไม่ทราบว่าท่านทั้งสอง…มีความเห็นเยี่ยงไร?”
หลินเทียนเฟิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกพอใจขึ้นมา
นี่เป็นแผนการเหมาะเจาะมากๆ
ก่อนจะหันไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจอีกครา
“คุณหนูตู๋กู… จะไปที่ใดนะ?”
นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะไปก็ได้เสียหน่อย!
ยิ่งไปกว่านั้น ตู๋กูเยว่ผู้นี้มาจากนอกพรมแดน ทำให้การเข้าไปยิ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม
“มิทราบว่าจุดประสงค์ในการเดินทางของคุณหนูตู๋กูคืออันใดหรือ?”
เรื่องราวในครานี้ใหญ่หลวงนัก หลินเทียนเฟิงเองก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมา
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ พลันเหลือบไปเห็นตู๋กูโม่เป่าที่ด้านข้าง
เจ้าเด็กน้อยถึงกับใจไม่ดี!
และวินาทีต่อมา เขาก็เห็นว่านัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ขึ้นสีแดงเรื่อ พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ถ้าพูดไปก็กลัวว่าพวกเจ้าจะหาว่าข้าเพ้อเจ้อ แต่อันที่จริง สาเหตุที่ข้าพาพี่เป่าติดสอยห้อยตามมาด้วยเช่นนี้ ก็เพราะว่า…”
แต่ก่อนจะทันได้พูดจบ นางก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าแล้วสะอื้นไห้เสียก่อน
เปลือกตาของตู๋กูโม่เป่ากระตุกอย่างรุนแรง!
เขากำกำปั้นเล็กๆ ของตนแน่น นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังยับยั้งชั่งใจได้อยู่ เข้าคงระเบิดทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว!
หลินเทียนเฟิงและหลินจือเฟยจ้องมองพวกเขา ก่อนจะเห็นว่าบนใบหน้าเล็กๆ อันเฉยชาของตู๋กูโม่เป่านั้น กำลังเผยให้เห็นถึงคลื่นอารมณ์บางอย่าง
เสียใจ? โกรธแค้น?
“ตะ…แต่ก่อนพวกข้าเคยครองรักกัน แต่ต่อมาเขาก็บอกว่าเขามีธุระที่ต้องสะสาง และจำต้องจากข้าไปช่วงหนึ่ง แต่รอแล้วรอเล่า เขาก็ไม่กลับมา…ข้าคิดถึงเขามาก เลยพาพี่เป่าออกตามหาเขาด้วยกัน…”
สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างเข้าใจในทันที
…ที่แท้ก็มาตามหาบิดาของเด็กคนนี้นี่เอง!
“แต่ข้าไม่ทราบเกี่ยวกับตัวตนและภูมิหลังของเขาเลย เพียงแต่ข้าเคยได้ยินเขาพูดถึง “โอรสสวรรค์” อันใดสักอย่าง ทว่าหาได้รู้เรื่องรายละเอียดของมันไม่…ดังนั้น หากครั้งนี้ประมุขหลินและคุณชายสี่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือข้า ตู๋กูเยว่ผู้นี้คงรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้แน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่ลั่นวาจาอย่างฉะฉาน แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่ทุกๆ ถ้อยคำและทุกๆ ประโยค ล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าและความคับแค้นใจ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นอกเห็นใจและรู้สึกสะเทือนใจตามไปด้วย
ดวงตาของหลินจือเฟยทอประกายวิบวับ
“คุณหนูตู๋กู…มิทราบว่าคนที่ท่านตามหานั้นแซ่ใดหรือ? หรือบางทีข้าควรจะเรียกท่านว่าฮูหยินดี?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะอย่างขมขื่น
“ทั้งสองท่านโปรดเรียกข้าเช่นเดิมเถิด ผู้ใดเล่าจักรู้ว่า…แซ่ของเขานั้นมีอยู่จริง หรือเป็นเพียงเรื่องจอมปลอม?”
หลินเทียนเฟิงลูบเคราอย่างใช้ความคิด
ความจริงแล้วฝ่ายนั้นเองก็ส่งคนจำนวนหนึ่งออกไปปฏิบัติงานนอกอาณาจักรเสิ่นซวี่เป็นครั้งคราว แต่มันไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นนายทหารคนใดที่ไปหักล้างความไว้ใจของตู๋กูเยว่ผู้นี้…
และเขาเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี่ แต่จือเฟยเองก็จำต้องพึ่งพานาง
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หลินเทียนเฟยก็พูดว่า
“คุณหนูตู๋กู ที่เจ้าว่ามาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่มีข้อแม้ว่า หากเจ้าถึงที่นั่นแล้ว ข้าหลังว่าเจ้าจะรอให้ธุระของพวกข้าเสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องตามหาคนอีกที และเพื่อเป็นการชดเชย เมื่อถึงเวลานั้น ทางตระกูลหลินจะส่งคนช่วยออกตามหาสามีให้เจ้าอีกแรง เจ้าว่าเช่นไร?”
ขอเพียงแค่ไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันประสูติได้อย่างราบรื่น จากนั้นค่อยแอบไปตามหาคน และระวังไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตก็พอแล้ว
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้มช้าๆ
“เช่นนั้นข้ากับพี่เป่าจักมอบของสมนาคุณล่วงหน้า ให้ประมุขหลินและคุณชายสี่ ณ ที่แห่งนี่เลยแล้วกัน! และท่านไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะหาเขาเจอหรือไม่ ข้ากับพี่เป่าจะไม่สร้างปัญหาให้พวกท่านแน่นอน!”
นางพูดพลางขยิบตาให้ตู๋กูโม่เป่า
“พี่เป่า ยังไม่รีบกล่าวขอบคุณอีกหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย
“พี่เป่า? พี่เป่า?”
ฉู่หลิวเยว่บีบมือเขาเบาๆ
ตู๋กูโม่เป่าพลันลืมตาขึ้น ดวงตาของเด็กน้อยแข็งกร้าว แต่ละคำพูดฟังดูราวถูกบีบออกมาจากช่องไรฟันที่ขบกันเสียดสีกันอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอบ คุณ!”
แม้ว่าเด็กน้อยจะทำหน้ามู่ทู่ แต่ดีที่รูปร่างอันอ้วนกลมและน้ำเสียงน่ารักๆ นั่น ได้ช่วยกลบความผิดปกนั่นเสียมิด แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็ทำให้สองพ่อลูกตระกูลหลินสัมผัสได้ว่า เด็กคนนี้โกรธแค้น “บิดา” ผู้ไร้ความรับผิดชอบมากเพียงใด
เมื่อคิดเช่นนี้ หลินจือเฟยก็ได้แค่ถอนหายใจเบาๆ
“การเป็นแม่คนนั้นหนักหนาสากันยิ่งนัก”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง และพอจะสัมผัสได้ว่ารัศมีอันน่ากลัวที่ตู๋กูโม่เป่าปล่อยออกมาค่อยๆ จางลงแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตอบอันใดกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ และเพื่อความรอบคอบ เมื่อไปถึงที่นั่น เจ้าจะต้องไปในฐานะผู้ดูแลส่วนตัวของจือเฟย”
หลินเทียนเฟิงกล่าว
“เนื่องจากการเพิ่มอาคันตุกะโดยพลการ ถือเป็นเรื่องมิได้รับอนุญาต”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบพระคุณท่านประมุขหลิน ขอบพระคุณคุณชายสี่!”