ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1040 เห็นอกเห็นใจ
ตอนที่ 1040 เห็นอกเห็นใจ
และเหมือนฉู่หลิวเยว่จะรู้สึกตัว พลันเงยหน้าขึ้นมองเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดหรือ คุณชายสี่?”
ครั้นสบเข้ากับแววตากระจ่างสดใสคู่นั้น หลินจือเฟยก็จำต้องถอนสายตาแล้วส่ายหัวเล็กน้อย
“ไม่มีอันใด ส่วนการรักษาครั้งต่อไป ข้าคงต้องรบกวนคุณหนูตู๋กูแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึก
“คุณชายสี่มิต้องเกรงใจหรอกเจ้าคะ”
หลังจากพูดจบ นางก็เดินไปช่วยวัดชีพจรให้หลินจือเฟย
“ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการปรุงโอสถ ข้าขอตรวจดูสภาพร่ายกายภายในของคุณชายสี่ก่อนว่าเป็นอย่างใดบ้าง”
หลินจือเฟยยื่นมือออกแล้วเลิกแขนเสื้อที่ปักลายใบไผ่ขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือผอมบางขาวผ่องอันงดงาม และมองเห็นแม้แต่เส้นเลือดสีน้ำเงินบนข้อมือที่นูนเด่นขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้น
หลินเทียนเฟิงที่อยู่ข้างๆ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้ววางไว้บนข้อมือของเขา
แต่หลินจือเฟยกลับเงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดเบาๆ ว่า
“ขอบคุณท่านพ่อมาก แต่ถ้าเป็นการรักษาจากคุณหนูตู๋กูล่ะก็ มันไม่จำเป็นต้องใช่สิ่งนี้แล้ว”
หลินเทียนเฟิงผงะไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ
เขาพูดว่า…ไม่ต้องใช้หรือ?
ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดสัมผัสจากคนแปลกหน้ามากที่สุดหรอกหรือ?
เนื่องจากเมื่อก่อนนั้นมีคนปลอมเป็นเซียนหมอเข้ามารักษาเขา แล้วทำร้ายเขาในขณะช่วยให้วัดชีพจร ฉะนั้นแล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลินจือเฟยจึงระมัดระวังในเรื่องนี้มาก
ทว่าตอนนี้…
นี่เขาเชื่อใจตู๋กูเยว่มากขนาดนั้นเชียวหรือ?
แม้ว่าหลินเทียนเฟิงจะรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้เห็นท่าทางอันสงบนิ่งของเขา แต่เขาก็ยอมถอยแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ที่เดิม
“เอาล่ะ…เช่นนั้น…เชิญคุณหนูตู๋กูดำเนินการต่อได้เลย!”
ฉู่หลิวเยว่ที่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าสองพ่อลูกสื่อสารกันผ่านทางสายตา ก็ได้แต่ยิ้มบางแล้วยื่นมือออกไปวัดชีพจรของเขา
เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว ลมปราณของหลินจือเฟยแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ถึงจะเทียบกับคนทั่วไปไม่ได้ แต่มันก็ดีกว่าที่เป็นอยู่เมื่อก่อนมาก
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า ก่อนจะถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมสายหนึ่งเข้าไปในร่างกายของเขา!
จากนั้นนางก็ทำตามขั้นตอนเดียวกันกับเมื่อวานอีกครั้ง
หลินจือเฟยจ้องมองการกระทำของนางทุกขั้นตอน พร้อมอดทนต่อความเจ็บปวดและกลั้นเสียงอุทานไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา
ทว่าสีหน้าของเขากลับซีดลง เหงื่อเม็ดเล็กๆ นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ดูแล้วช่างน่าสงสารเหลือเกิน
หลินเทียนเฟิงที่อยู่ข้างๆ มองดูภาพนั้นด้วยความหวาดผวา
นี่คือ…วิธีที่ตู๋กูเยว่ใช้รักษาอาการของจือเฟยอย่างนั้นหรือ?
เมื่อวานเขารีบผละตัวออกไปก่อน จึงไม่ได้เห็นวิธีการเช่นนี้ แต่พอได้มาเห็นสภาพของบุตรชายในวันนี้ หัวใจของเขาก็แทบจะจะเด้งกระดอนออกมาจากคอหอยเสียอย่างนั้น!
ระหว่างการรักษามีหลายครั้งที่หลินเทียนเฟิงรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก หากไม่ได้จือเฟยคอยปลอบให้เขาสงบสติอารมณ์ลงบ้าง เขาคงตะโกนบอกให้นางหยุดไปตั้งนานแล้ว
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่ช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ฝากฝังอยู่ในชีพจรดั้งเดิมของเขา
สำหรับนางแล้วถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังปราณครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ครั้นชำระล้างเสร็จสิ้น นางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เสร็จแล้ว จากนี้ข้าจะขอตัวไปปรุงโอสถ ส่วนคุณชายสี่ก็นอนพักฟื้นไปก่อน”
เมื่อหลินจือเฟยเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของนาง ก็พลันถามว่า
“คุณหนูตู๋กู เจ้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน…กายข้านั้นป่วยสะสมมานานหลายปีแล้ว รักษาช้าไปนิดก็ไม่เป็นไร ฉะนั้นแล้ว…ให้คุณหนูตู๋กูพักผ่อนก่อน แล้วค่อยมาทำต่อดีกว่า”
หลินเทียนเฟิงเองก็เห็นด้วย
“ถูกต้อง แม้ว่าประมุขหลินผู้นี้จักมิใช่เซียนหมอ แต่ก็รู้ว่ายามที่เซียนหมอกลั่นโอสถนั้น จักต้องใช้พลังปราณจำนวนมาก คุณหนูตู๋กู เจ้าควร…”
“ขอบคุณท่านประมุขหลินและคุณชายสี่สำหรับความห่วงใย ข้ารู้ศักยภาพของตัวเองดี และจะไม่ทำอันใดเกินตัวเด็ดขาด”
ฉู่หลิวเยว่ยืนขึ้น พลางหัวเราะเบาๆ
“ข้าหวังมากกว่าใครอื่นว่าการกลั่นโอสถในครั้งนี้จะสำเร็จอย่างราบรื่น ข้าจึงเตรียมตัวมาอย่างดี ท่านทั้งสองมิต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้ากังวล การปรุงโอสถนี้จะใช้เวลาประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืน ข้าจึงอยากขอให้ประมุขหลินช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของเรา”
หากเป็นคนอื่น คงไม่มีใครกล้าขอให้หลินเทียนเฟิงคอยเฝ้าระวังให้พวกเขาเช่นนี้
และปกติแล้ว จะมีเฉพาะเซียนหมอระดับเก้าที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ขอยืมมือหลินเทียนเฟิงมาช่วยงานได้
แต่เมื่อเผชิญกับคำขอที่แสนจะกล้าหาญของฉู่หลิวเยว่ หลินเทียนเฟิงกลับตกลงทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
“ไม่มีปัญหา!”
ขอแค่สุดท้ายแล้วนางสามารถรักษาจือเฟยให้หายดีได้ เรื่องแค่นี้จะไปหนักหนาสาหัสตรงไหน?
“ก่อนหน้านี้ข้าสั่งคนจัดห้องปรุงโอสถไว้ให้คุณหนูตู๋กูแล้ว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แล้วก็ ไม่ทราบว่าคุณหนูตู๋กูต้องการอุปกรณ์อื่นๆ เช่นหม้อต้มโอสถด้วยหรือไม่?”
หลินเทียนเฟิงถามอย่างลังเล
“ตระกูลหลินของข้ามีหม้อต้มโอสถอยู่มากมาย และมันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการปรุงโอสถมากๆ คุณหนูตู๋กู…”
“ขอบคุณประมุขหลินสำหรับความกรุณา แต่ข้าเองก็มีหม้อต้มโอสถอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยืมหม้อจากท่าน”
ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม
หลินเทียนเฟิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็…ไม่เป็นไร!”
ตู๋กูเยว่เป็นคนจากนอกพรมแดน ฉะนั้นหม้อต้มโอสถที่ใช้จึงควรเป็นหม้อที่มีคุณภาพดีที่สุด
เดิมทีเขาต้องการจัดหาหม้อต้มโอสถที่ดีกว่าให้นาง เพื่อที่นางจะได้ปรุงโอสถได้ราบรื่นมากขึ้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะไม่สนใจข้อเสนอของเขาเลย…
อย่างใดก็ตาม หลินเทียนเฟิงรู้ว่าเซียนหมอส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างเย่อหยิ่ง
ในเมื่อนางพูดเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกลี้ยกล่อมนางอีก
จากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ขนสมุนไพรทั้งหมดไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ สำหรับให้นางใช้ปรุงโอสถ
เมื่อเดินไปถึงประตู หลินเทียนเฟิงก็หันไปมองตู๋กูโม่เป่าแล้วถามว่า
“คุณหนูตู๋กู คงต้องการใช้สมาธิในการปรุงโอสถ เช่นนั้นพวกข้าจักดูแลเด็กคนนี้ให้เองดีหรือไม่?”
ตู๋กูโม่เป่าขมวดคิ้วฉับ
ฉู่หลิวเยว่โต้กลับพัลวัน
“ขอบคุณประมุขหลิน แต่เด็กคนนี้กลัวคนแปลกหน้า ให้เขาเข้าไปกับข้าดีกว่า!”
หลินเทียนเฟิงแปลกใจหน่อยๆ
ไม่ใช่ว่าให้เด็กตัวเล็กๆ แบบนี้เข้าไปด้วย จะลำบากกว่าเดิมหรือ?
“แต่…”
“บังเอิญว่าช่วงนี้พี่เป่าแกสนใจศึกษาด้านเซียนหมอพอดี ให้เขาเข้าไปกับข้าย่อมมิเกิดปัญหาแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเสริม
หลินเทียนเฟิงถึงกับสำลัก
ในเมื่อเด็กน้อยต้องการเรียนรู้จากมารดาอันเป็นที่รัก แล้วคนนอกอย่างเขาจะแย้งอันใดได้
ขณะเดียวกัน หลินจือเฟยที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวว่า
“ในเมื่อคุณหนูตู๋กูยืนกรานเช่นนั้น ก็…ปล่อยไปตามนั้นแหละ”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันตา ก่อนจะหันมาคารวะคนทั้งสอง แล้วหันหลังกลับและเดินเข้าไปพร้อมกับตู๋กูโม่เป่า
ครั้นร่างของทั้งสองคนหายไปจากครรลองสายตา หลินเทียนเฟิงก็เบนสายตาไปมองหลินจือเฟย และถอนหายใจยาวเหยียด
“จือเฟย เหมือนเจ้าจะไว้ใจพวกนางมากนะ…”
หลินจือเฟยจ้องมองบานประตูและหน้าต่างที่ปิดสนิท พร้อมคลื่นอารมณ์บางอย่างที่แวบเข้ามาในดวงตาวาวใสคู่นั้น
“เพราะเป็นแม่ม่ายสาวลูกติดผู้น่าสงสารคนหนึ่ง”
หลินเทียนเฟิงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
เขารู้ว่าที่จือเฟยเป็นแบบนี้ เพราะเห็นภาพของสองแม่ลูกนั้นทับกับภาพของตัวเอง
“…ความจริงแล้วเรื่องแม่ของเจ้าในตอนนั้น ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าเลย อีกอย่าง เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว จือเฟย เจ้าไม่ควรรู้สึกผิดกับมันอีกแล้ว”
หลินเทียนเฟิงพูดพลางโลเลไปพลาง
“อีกอย่างนะ เพื่อเจ้าแล้ว ตลอดหลายปีมานี้อวี้เออร์ไม่เคยคิดที่จะตั้งครรภ์เลยสักครั้ง…เจ้าจะไม่ยอมลดอคติที่มีต่อนางลงบ้างเลยหรือ?”
เมื่อหลินจือเฟยได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดใบหน้าที่นิ่งเฉยไม่แยแสของเขา ก็เริ่มตอบสนอง
ริมฝีปากสีซีดยกโค้งขึ้นเล็กน้อยพลางหันไปมองหลินเทียนเฟิง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มจางๆ
เป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบดวงหน้าขาวกระจ่าง ดุจแสงที่สะท้อนลงบนเศษแก้วอันเปราะบาง
“ท่านพ่ออยากจะพูดเช่นไรก็พูดเถอะ”
“นี่เจ้า…”
หลินเทียนเฟิงถึงกับสำลัก แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดอันใดเพิ่มเติม ก็พลันได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่าและเร่งรีบของแม่นางหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
“คุณท่าน! แย่แล้วเจ้าค่ะ”