ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1041 ไม่สูญเปล่า
ตอนที่ 1041 ไม่สูญเปล่า
มันคือเสียงของหลู่อวี้เออร์
หลินเทียนเฟิงเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะเห็นหลู่อวี้เออร์เดินจ้ำอ้าวอยู่นอกประตูอย่างหุนหันพลันแล่น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
ทว่าเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน นางก็ถูกคนรับใช้ขวางไว้ดังคาด
“นายหญิง โปรดหยุดอยู่กับที่ก่อนขอรับ”
เมื่อถูกขวางกั้น หลู่อวี้เออร์ก็ยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิม
นางเป็นถึงนายหญิงของตระกูลหลิน ทว่าแม้แต่เรือนหลังเล็กๆ นี่ นางก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปเหยียบย่ำด้วยซ้ำ!
หลายปีที่ผ่านมา นางไม่สามารถก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ได้เลย!
…นั่นเพราะเรือนหลังนี้เป็นของหลินจือเฟย!
คนทั้งตระกูลหลินไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเรือนนี้ แม้แต่หลินเทียนเฟิงเองก็ยังต้องส่งคนเข้าไปรายงานเขาก่อนทุกครั้ง
ทว่าก็มีคนในตระกูลหลินหลายคนที่เคยเข้าไปแล้ว แต่นางเป็นคนเดียวที่ไม่เคยได้รับอนุญาตเลยสักครั้ง!
มีหรือที่คนตระกูลหลินจะไม่รู้ว่า หลินจือเฟยกำลังดูถูกและรังเกียจนางผู้เป็นแม่เลี้ยง!?
แม้ว่านางจะกลายเป็นนายหญิงของตระกูลหลินไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับนางอยู่ดี!
แต่ไม่ว่าในใจนางจะเกลียดเขามากเพียงใด หลู่อวี้เออร์ก็ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาต่อหน้าคนเหล่านี้ได้
ดังนั้นนางจึงยืนอยู่นอกประตูอย่างเชื่อฟัง พลางมองเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าท่าทีวิตกกังวล
ไม่นานนัก หลินเทียนเฟิงก็เดินออก
“เป็นกระไรหรือ? มีเรื่องด่วนอันใดกัน?”
หลินเทียนเฟิงเดินเข้าไปหานาง แล้วดึงนางออกไปอีกทาง
หลู่อวี้เออร์พลันอึดอัดใจอีกครา แต่นางไม่ได้แสดงมันออกมา และทำเพียงรีบคว้าแขนของหลินเทียนเฟิงไว้ พร้อมเอ่ยวาจาทั้งน้ำตาคลอเบ้า
“คุณท่าน ปกติอวี้เออร์ไม่เคยขอร้องท่าน แต่คราวนี้อวี้เออร์ไม่มีทางเลือกจริงๆ…”
นางร่ำไห้อย่างน่าสงสาร หลินเทียนเฟิงมองดูภาพนั้นพลันเจ็บปวดไปทั้งใจ
“เจ้าหยุดร้องไห้ก่อน สรุปแล้วมันเกิดอันใดขึ้นหรือ? ข้าจะช่วยตัดสินใจให้เจ้าเอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลู่อวี้เออร์ถึงได้เริ่มเช็ดน้ำตาและชี้แจ้งทีละนิด
“เกี่ยวกับหลู่อี้เจ้าค่ะ…”
เมื่อหลินเทียนเฟิงได้ยินชื่อนี้ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววหงุดหงิดออกมาทันที
“ครั้งนี้เขาถูกคุกคามจริงๆ นะเจ้าคะ!”
หลู่อวี้เออร์ร้องห่มร้องไห้
หลินเทียนเฟิงตอบกลับไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“แต่ไหนแต่ไรมีเพียงเขาที่คุกคามผู้อื่นไปเรื่อย จะมีใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเขากัน?”
หลู่อวี้เออร์รู้มาตลอดว่าเขาไม่ชอบหลู่อี้ ดังนั้นเวลาที่หลู่อี้ก่อเรื่อง นางถึงพยายามตามเก็บกวาดให้ตลอด และไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านั้นถึงหูคนที่นี่
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป!
“คุณท่านเจ้าค่ะ ครั้งนี้ท่านอาจไม่รู้ แต่ลูกน้องของหลู่อี้หลายคนถูกเล่นงานจนบาดเจ็บเจียนตาย พวกเขาถูกจับตัดเส้นเอ็นและเส้นเอ็นร้อยหวายทั้งหมด แล้วจับยัดลงในกล่องและส่งไปที่หน้าประตูเรือนของหลู่อี้! ถ้านี่ไม่ใช่การคุกคามแล้วจะเรียกว่ากระไรล่ะเจ้าคะ?”
ท่าทีของหลินเทียนเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“จริงหรือ?”
ทั่วทั้งผาแดนสวรรค์ มีผู้ที่กล้าทำเช่นนี้อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น…
“อวี้เออร์จักหลอกท่านได้เยี่ยงไร? เมื่อครู่เขาเพิ่งมาพบข้า บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเลือด…”
นัยน์ตาของหลู่อวี้เออร์แฝงไปด้วยความคับแค้นใจ
นางเกลียดพวกหมาลอบกัดที่แอบตลบหลังหลู่อี้เช่นนี้อย่างสุดใจ!
ฉะนั้นครานี้ คนที่ร้องไห้ยากอย่างนางถึงยอมมาบีบน้ำตาขอร้องเขา
ในเมื่อเรื่องมันปานปลายเช่นนี้แล้ว หากนางช่วยกู้ศักดิ์ศรีให้หลู่อี้ไม่ได้ จากนี้ไปผู้คนมากมายในผาแดนสวรรค์จะเยาะเย้ยและข่มเหงเขา!
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้ว
“เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าใครเป็นทำ?”
หลู่อวี้เออร์ชะงักไปครู่หนึ่งและรีบตอบว่า
“คือว่า เรื่องนี้…ข้ายังไม่ได้ถามเขา แต่ผู้ที่กล้าทำสิ่งนี้ในผาแดนสวรรค์ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ! ถ้ามองในมุมของอวี้เออร์แล้ว ครั้งนี้…คนผู้นั้นอาจจะอยู่ในตระกูลหลิน หรืออาจจะเป็น…”
แม้ว่าหลู่อี้จะไม่ใช่คนตระกูลหลิน แต่จะมีใครที่ไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลหลินบ้างล่ะ?
กล้าทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้กับเขา เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นมิได้เกรงกลัวตระกูลหลินแต่อย่างใด!
เข้ามาป่วนคนตระกูลหลินถึงถิ่นเพียงนี้ คิดจะยั่วโทสะคนตระกูลหลินหรือไร?
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วมุ่นยามได้ยินสิ่งนี้
“คุณท่านคะ ให้หลู่อี้มาคุยกับท่านเองตอนนี้เลยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หลู่อวี้เออร์ถามราวไม่แน่ใจ
หลินเทียนเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองในเรือนแล้วส่ายศีรษะ
“วันนี้ไม่ได้”
“เพราะอันใดหรือ?”
“วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เจ้าบอกให้เขากลับไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันอีกที”
ถึงปัญหาของหลู่อี้จะฟังดูไม่ธรรมดา แต่มันไม่ได้สำคัญเท่าโอสถของจือเฟย
ตู๋กูเยว่ขอให้เขาช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยขณะปรุงโอสถ ฉะนั้นเขาไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้
ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้วผู้ใดจักรับผิดชอบ?
ครั้นได้ฟังคำตอบของหลินเทียนเฟิง หลู่อวี้เออร์ก็แทบจะเดาธุระของเขาได้ทันที
นางเผลอมองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง
“ท่าน…ท่านกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของจือเฟยหรือเจ้าคะ?”
หลินเทียนเฟิงไม่ได้ยินความผิดปกติในน้ำเสียงของนาง และพยักหน้าตอบไปตามปกติ
“เจ้าเองก็กลับไปก่อนเถอะ รอพ้นวันนี้ไปแล้ว พรุ่งนี้เจ้าค่อยพาหลู่อี้มาหาอีกที”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเตรียมจะเดินเข้าไปด้านใน
“คุณท่าน…”
หลู่อวี้เออร์ขึ้นเสียงเล็กน้อยราวไม่เต็มใจ
หลินเทียนเฟิงจึงหันไปมองนางแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“มิเช่นนั้นเจ้าก็ส่งคนไปตรวจสอบดูก่อน เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอันใดขึ้น ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาจัดการต่อเอง”
สิ้นสุรเสียง เขาก็ไม่สนใจหลูอวี้เออร์อีกต่อไป และเดินเข้าไปด้านใน
หลู่อวี้เออร์เฝ้าดูแผ่นหลังที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไป พลันกำหมัดแน่น
เล็บที่ถูกแต่งแต้มสีสันสวยงามมาอย่างดี จิกเข้าไปอุ้งมือจนเจ็บแปลบ!
พักหนึ่งนางถึงได้สติ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
…
“อันใดกัน? เขาไม่ว่างพบข้าหรือ?”
ครั้นได้ยินคำพูดของหลู่อวี้เออร์แล้ว หลู่อี้ก็เด้งตัวขึ้นมาบนเก้าอี้ทันที
“ทั้งๆ ที่ข้าถูกใครหน้าไหนก็ไม่รู้หมายหัวเช่นนี้! แต่เขายังทำเฉยอยู่อีกหรือ!? ถึงเขาไม่อยากทำเพื่อข้า แต่ก็ควรคำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลหลินบ้างสิ!?”
“โวยวายกระไรของเจ้า!”
หลู่อวี้เออร์ที่ยังหงุดหงิดไม่หาย ตะคอกออกมาอย่างดุเดือด
“ลูกชายเขาก็ไม่ใช่ เป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่สนใจเจ้า! สองวันมานี้มีเซียนหมอผู้หนึ่งเข้ามาในเรือน และบอกว่าสามารถรักษาอาการป่วยของหลินจือเฟยได้…แน่นอนว่าเขาย่อมตื่นเต้นดีใจจนไม่สนเรื่องอื่น!”
หลู่อี้หัวเราะเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้
“ยืดเยื้อมานานเพียงนี้ มีเซียนหมอมาเยือนแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน? แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้อีก…เหอะ! หลินจือเฟยมันไม่ต่างจากคนที่นอนรอความตายไปวันวัน! บางทีระหว่างทางไปยมโลกอาจจะมี…”
หลู่อวี้เออร์ตวัดตามองเขาเป็นการเตือน
“แม้ที่นี่จะเป็นเรือนของข้า แต่มันก็ยังอยู่ในตระกูลหลิน! พูดอันใดจักระวังปากของเจ้าให้ดี! ถ้าเจ้าว่างมาก ก็จงเล่ามาให้ข้าฟังอย่างระเอียดว่าผู้ที่กล้าทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้มันเป็นใคร!”
หลู่อี้แอบรู้สึกขลาดอาย
นั่นเพราะความจริงแล้ว เขาเป็นคนหาเรื่องฝ่ายตรงข้ามก่อน
ก่อนหน้านี้หลู่อวี้เออร์เคยเตือนเขาหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำอันใดโจ่งแจ้งอีกเด็ดขาด
ถ้าเขารู้เรื่องเข้าล่ะก็…
“ข้า…ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ…อีกฝ่ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยอันใดไว้…”
เขาหลุบตาลงพลางกล่าวเสียงงึมงำ
หลู่อวี้เออร์หงุดหงิดมาก
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี! เช่นนั้นก็รอต่อไปเถอะ!”
รอให้ทางตระกูลหลินตรวจสอบเรื่องนี้เอง ย่อมง่ายดายและสะดวกกว่าหลายเท่า
แม้หลู่อี้จะไม่ค่อยพอใจนัก แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอันใด และทำได้เพียงยินยอมแต่โดยดี
…
ภายในห้อง
อันดับแรกฉู่หลิวเยว่สร้างค่ายกลขึ้นมาครอบคลุมพื้นที่ในห้อง และหลังจากตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ลมปราณและและความผันผวนภายในค่ายกลจะไม่แพร่กระจายออกไปข้างนอก เขาก็อันเชิญหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เจ้าจะใช้สิ่งนี้จริงหรือ?”
เมื่อตู๋กูโม่เป่าเห็นหม้อต้มโอสถอันโปร่งใส ก็พลันกะพริบตาปริบๆ
“มันคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่มั่นคงที่สุดของข้าในตอนนี้”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่
“ไม่เช่นนั้น ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าข้าจะกลั่นโอสถนี่ได้ภายในครั้งเดียวหรือเปล่า”
ตู๋กูโม่เป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าทำได้อยู่แล้ว”
ได้รับยาอายุวัฒนะที่ฉู่หลิวเยว่กลั่นจากหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ หลินเทียนเฟยผู้นั้นช่างโชคดีเสียยิ่งกระไร
ฉู่หลิวเยว่ขบเม้มริมฝีปากเบาๆ
“หากยานี้สามารถใช้เพื่อแลกกับโอกาสในการเข้าร่วมงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของ ‘โอรสสวรรค์’ ได้ เช่นนั้นก็ไม่สูญเปล่าแล้ว”