ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1053 ถูกทิ้ง
ตอนที่ 1053 ถูกทิ้ง
แต่ไม่รู้เพราะอันใด หลินจือเฟยถึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงของนาง แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันผิดปกติอย่างใด
ในทางกลับกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่นางเหล่านั้นก็ล้วนแสดงความดีอกดีใจออกมา
แม้พวกนางจะรู้ดีว่าโอกาสในการถูกเลือกนั้นน้อยมาก แต่ใครเล่าจะไม่ชอบฟังคำพูดสวยหรูเช่นนี้?
อีกอย่าง เรื่องแบบนี้มันเอาแน่เอานอนได้ที่ไหนกัน แต่ถ้าเกิดโชคดีบุญบารมีค้ำจุน…เช่นนั้นก็คงได้เป็นใหญ่เป็นโตอยู่อย่างสุขสมบนแดนสุขาวดี!
“ขอบคุณคำชมอันไพเราะของคุณหนูตู๋กู ทว่าการคัดเลือกชายาเอกในครานี้ มีตัวแทนจากหลายชนเผ่าเข้าร่วมมากมาย และทุกเผ่าล้วนแล้วแต่เลือกสรรสตรีที่โดดเด่นและเหมาะสมที่สุด การแข่งขันนี้ช่างดุเดือดนัก ข้าเองก็เดาไม่ออกว่าผลจะเป็นเช่นไร”
หลินเทียนเฟิงหัวเราะเบาๆ
ความจริงแล้วฝ่ายเขาไม่มีความหวังเลย
เนื่องจากในบรรดาเผ่าต่างๆ เผ่าหน้าผาแดนสวรรค์ถือได้ว่าเป็นเผ่าระดับต่ำ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอาณาเขตการปกครอง ทรัพยากร หรือด้านอื่นๆ ล้วนด้อยกว่าอีกหลายเผ่าที่เหลือ
และแม่นางทั้งสามในตอนนี้ ก็เป็นสามคนที่พวกเขาคัดเลือกมาอย่างดีที่สุดแล้ว
ครั้นมองแวบแรกพวกนางอาจจะดูเหมาะสมมาก แต่เมื่อเทียบกับแม่นางผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากชนเผ่าใหญ่เหล่านั้น ก็เกรงว่าคงจะเทียบไม่ติด
เมื่อแม่นางทั้งสามได้ยินเช่นนั้น พวกนางก็รีบขจัดสีหน้ามั่นอกมั่นใจนั่นออกไปทันที
“คุณหนูตู๋กูยังเด็กนัก อีกทั้งยังมาจากนอกพรมแดน คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถช่วยรักษาอาการป่วยของคุณชายสี่ได้…ข้าได้ยินว่า ตอนนี้คุณหนูตู๋กูเป็นเซียนหมอระดับแปดแล้วหรือ?”
แต่ทันใดนั้นชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังเอ่ยแทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งที่ไม่ปิดบัง
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองต้นเสียง
ใบหน้าของชายชราผู้นั้นซูบตอบจนเห็นโหนกแก้ม เส้นผมขาวโพลนทั่วศีรษะ ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายอย่างเฉียบแหลมและไม่แยแส
ตั้งแต่นางและหลินจือเฟยเดินเข้ามา อีกฝ่ายก็แทบจะไม่ยิ้มเลย
และยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนเขาจะแอบตั้งตนเป็นศัตรูกับนางด้วย
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปกตินั้น แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยได้ทะลวงขึ้นสู่เซียนหมอระดับแปดเมื่อสองวันก่อน มิทราบว่าท่านผู้อาวุโส…”
“ท่านนี้คือผู้อาวุโสโหรวหรูไห่”
หลินเทียนเฟิงเฟยเอ่ย
“และยังเป็นผู้อาวุโสหลักที่คอยดูแลเรื่องการแพทย์และเซียนหมอของตระกูลหลินในปัจจุบัน”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจทันที
ที่แท้ก็คือเซียนหมอระดับสูงสุดของตระกูลหลินสินะ?
และหากอิงจากที่หลินเทียนเฟิงกล่าว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ระดับเก้าขึ้นสูงสุดแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อได้รู้จักตัวตนของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ชอบนาง
นั่นเพราะเขาคือเซียนหมอที่มีอำนาจและสถานะสูงส่งกว่าเซียนหมอคนไหนในตระกูลหลิน อีกทั้งยังคอยดูแลรักษาอาการป่วยของหลินจือเฟยมาตั้งนาน แต่นางที่เพิ่งเข้ามารักษาเขาได้ภายในไม่กี่วัน ซึ่งมันไม่ต่างจากการตบหน้าเขาเลยสักนิด?
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่เป็นฝ่ายกล่าวทักทาย
“ข้าน้อยมีนามว่า ตู๋กูเยว่เจ้าค่ะ คารวะท่านผู้อาวุโสโหรวหรู่ไห่…”
แต่โหรวหรูไห่กลับโพล่งแทรกอย่างไม่สนใจ
“ไม่ต้องสุภาพกับข้านักหรอก! บางทีหลังจากนี้ ข้าอาจมีข้อสงสัยอีกมากมาย ที่ต้องขอคำชี้แนะจากคุณหนูตู๋กู!”
ถึงคำพูดเหล่านี้จะฟังดูแปลกๆ แต่ฉู่หลิวเยว่ก็หาได้ใส่ใจไม่ และทำเพียงยิ้มรับ
ผู้อาวุโสหลินโม่ซึ่งกำลังพูดคุยกับหลินเทียนเฟิงในคราแรก พลันรีบแหวกวงสนทนาออกมาไกล่เกลี่ยทันที
“ฮ่าฮ่า! ในเมื่อตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นท่านประมุข พวกเราไปกันเลยดีหรือไม่?”
หลินเทียนเฟิงพยักหน้าตกลง
แต่โหรวหรูไห่กลับพูดขึ้นอีกครั้ง
“จะไปก็ไป แต่ว่า…แล้วจะทำอย่างใดกับเด็กคนนั้น?”
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระส่ำอย่างหวาดหวั่น นางเห็นเขาจ้องมองตู๋กูโม่เป่าด้วยสายตาเย็นชา
นางดึงตู๋กูโม่เป่าไปไว้ด้านหลังแล้วยิ้มอย่างสุภาพ
“ถึงพี่เป่าจะแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ทำตัวว่านอนสอนง่ายมาตลอด ฉะนั้นเขาจะไม่สร้างปัญหาให้ท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
“โอ้? เจ้าแน่ใจหรือ?”
โหรวหรูไห่ขึ้นเสียง
“เจ้าควรรู้ว่าสิทธิ์ในการเดินทางไปที่นั้นในครานี้มีค่ามากแค่ไหน ในเมื่อเจ้าได้รักษาคุณชายสี่และจำต้องตามไปดูแลเขาช่วงหนึ่ง การให้สิทธิ์นั้นแก่เจ้าย่อมไม่ผิด แต่ทว่าเด็กคนนี้…”
“ผู้อาวุโสโหลว หากว่าตามอายุของเด็กคนนี้แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์พิเศษใดๆ” หลินเทียนเฟิงเตือน
“แน่นอนว่าข้ารู้เรื่องนี้ดี แต่ท่านประมุขโปรดอย่าลืมว่าครั้งนี้จะเป็นการจัดงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระโอรส และในขณะเดียวกันก็จะเป็นวันที่พระองค์จะทรงเลือกพระชายาด้วย การพาเด็กไปเข้าร่วมงานประเภทนี้…คงดูไม่เหมาะไม่ควรเท่าใดนัก?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางราวไม่ยิ้ม ทว่าแววตาของนางไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยสักนิด
“ความหมายของท่านก็คือ ท่านต้องการให้ข้าทิ้งพี่เป่าไว้ที่นี่คนเดียว ใช่หรือไม่?”
โหรวหรูไห่ลูบเคราของตนไปมา
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ อย่างใดเสียที่ตระกูลหลินแห่งนี้ก็ยังมีนายหญิงอยู่ แถมยังมีอีกหลายคนที่สามารถดูแลเด็กได้ และจะไม่ทำตัวแย่ๆ กับเขาแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ทุกคนย่อมสะดวกใจกว่ามิใช่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะในใจ
นี่เขาคิดจะเก็บพี่เป่าไว้เป็นตัวประกันอย่างนั้นหรือ?
คิดผิดเสียแล้วกระมัง!
แต่ฉู่หลิวเยว่คร้านเกินกว่าจะต่อรองเรื่องไร้สาระกับเขา ดังนั้นนางจึงหันไปมองหลินเทียนเฟิง พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ท่านประมุขหลินมีความเห็นเช่นไรหรือ?”
หลินเทียนเฟิงส่ายหัวแทบจะทันที
“ไม่จำเป็น เด็กคนนี้ยังเด็กนัก จักแยกออกจากอกแม่ได้เยี่ยงไร? พวกเรามีกันตั้งหลายคน ย่อมมิเกิดปัญหาใดอยู่แล้ว”
เดิมทีตู๋กูเยว่เดินทางมาที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ ก็เพื่อให้ลูกของนางได้เจอกับสามีตัวเอง ฉะนั้นการแยกแม่และลูกออกจากกันนั้น เป็นการกระทำที่โหดร้ายเกินไป
ถึงในใจเขาจะกังวลอยู่บ้าง แต่ในเมื่อตู๋กูเยว่ช่วยรักษาอาการป่วยของจือเฟย เขาก็ยินดีรับผิดชอบทุกอย่างตามคำขอของนาง
“ท่านประมุข! นี่มัน…”
ทว่ายังไม่ทันที่โหรวหรูไห่จะได้พูดจบ ก็ถูกหลินเทียนเฟิงปราบด้วยสายตาเสียก่อน
“พอแล้ว เลยเวลามามากแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันดีกว่า!”
พูดจบ หลินเทียนเฟิงก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
ใบหน้าของโหรวหรูไห่บูดบึ้งไม่สบอารมณ์ แต่เขาโต้แย้งอันใดไม่ได้อีกแล้ว ดวงตาคู่คมจ้องมองฉู่หลิวเยว่กับตู๋กูโม่เป่าตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะสาวเท้าตามท่านประมุขออกไป
ฉู่หลิวเยว่ลูบหัวตู๋กูโม่เป่าเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจักไปที่ใด แต่ข้าจะไม่มีวันทิ้งเจ้าเด็ดขาด!”
ดวงตาของตู๋กูโม่เป่ากระตุกอย่างรุนแรง แต่พอได้ยินสิ่งนี้ ความโกรธเคืองในใจเขาที่กำลังจะระเบิดออกมาก็พลันเจือจางลงทันควัน
คนทั้งหมดไม่ได้พูดอันใดกันอีก แล้วเดินตรงไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย