ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1055 พระราชวังเมฆาสวรรค์
ตอนที่ 1055 พระราชวังเมฆาสวรรค์
“ช้าก่อน!”
แต่แล้วในขณะที่พวกของหลินเทียนเฟิงกำลังจะออกเดินทาง จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนด้วยความร้อนรนดังมาจากระยะไกล
“ตู๋กูเยว่ห้ามไปไหนทั้งนั้น!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หัวใจของฉู่หลิวเยว่พลันเต้นระส่ำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง
เจ้าของเสียงนั้นคือหลู่อวี้เออร์
นางพุ่งตัวเข้ามาด้วยความรีบเร่ง พลางย่ำเท้าด้วยความเกรี้ยวกราด ระหว่างคิ้วและแววตาของนางเต็มไปด้วยโทสะ
นางรีบวิ่งไปดักหน้าฉู่หลิวเยว่ และตั้งท่าจะปีนขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย ทว่าทหารยามที่อยู่ด้านข้างหยุดนางไว้เสียก่อน
“นายหญิง ตอนนี้ท่านไม่สามารถขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้ายได้นะขอรับ”
หลู่อวี้เออร์หงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำได้เพียงยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองหลินเทียนเฟิงด้วยสายตาขุ่นเคืองใจ
“คุณท่าน! ท่านห้ามพานางไปเด็ดขาด!”
หลินเทียนเฟิงขมวดคิ้วฉับ
“เจ้าพล่ามอันใดกัน!?”
“คุณท่านเจ้าคะ นางทำร้ายหลู่อี้ แถมยังวางยาเขาอีก! คนจิตใจเลวทรามเช่นนี้ ข้ามิอาจปล่อยให้นางอยู่ใกล้ตัวท่านได้!”
“พูดบ้าอันใดของเจ้า?”
เดิมทีหลินเทียนเฟิงก็มิพอใจในตัวนางอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ยังมาได้ยินนางตะโกนโหวกเหวกอย่างไร้สำนึก แถมยังเป็นเรื่องของหลู่อี้อีก เขาก็ยิ่งอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
และพอหลู่อวี้เออร์เห็นว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกเปิดใช้การแล้ว นางก็ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
พลันยกมือชี้หน้าฉู่หลิวเยว่ แล้วจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความแค้นเคือง
“ตู๋กูเยว่! เจ้ารู้ดีว่าเจ้าทำอันใดไว้!”
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้ม
“ฮูหยินหลิน ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันใด? ท่านบอกว่าข้าทำร้ายหลู่อี้และวางยาเขา แต่เมื่อคืนข้ากับพี่เป่าต่างก็พักผ่อนกันอยู่ในโรงเตี๊ยม และไม่ได้ออกไปไหน การที่ท่านกล่าวหาข้าเช่นนี้ ท่านมีหลักฐานหรือ?”
“นี่เจ้า…”
หลู่อวี้เออร์โกรธจนควันออกหู
เมื่อเช้านี้นางได้ยินข่าวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหลู่อี้
เดิมทีนางไม่อยากไปดูเขา เพราะนางต้องรอส่งหลินเทียนเฟิงและคณะเดินทางเสียก่อน
แต่พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนใช้แล้ว นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา และตัดสินใจไปดูเขาให้รู้แล้วรู้รอด
เพราะถ้าไม่ไปนางก็จะกระวนกระวายอยู่แบบนี้ไม่หาย
และหลังจากที่นางไปแล้ว ก็ถึงตระหนักได้ว่าสถานการณ์ของหลู่อี้นั้นเลวร้ายเพียงใด
ศีรษะของเขาถูกใครบางคนฟาดจนแตกและมีเลือดไหลซิบ อีกทั้งยังมีไข้สูงและนอนละเมอพูดพล่ามไม่หยุดราวกับคนไม่ได้สติอีก
เมื่อเห็นสภาพของเขาแล้ว นางก็เดาได้ทันทีว่าเขาต้องไปมีเรื่องกับตู๋กูเยว่มาแน่ๆ ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้
สิ่งนี้ทำให้นางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า และถึงขั้นมาตามหาเรื่องตู๋กูเยว่ เพื่อต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่าย
แต่ถ้าจะเอาหลักฐาน…
เช่นนั้นนางก็ต้องเล่าเรื่องทุกอย่างออกไปหมดเลยน่ะสิ?
แถมพวกเขายังเป็นฝ่ายผิดอีก!
ตอนนี้หลู่อี้เป็นพยานเพียงคนเดียวที่สามารถปรักปรำตู๋กูเยว่ได้ แต่ระบบสมองของเขากลับตีรวนเสียจนไม่สามารถอธิบายอันใดได้
เมื่อเห็นว่าหลู่อวี้เออร์พูดไม่ออก น้ำเสียงของหลินเทียนเฟิงพลันแข็งกร้าวขึ้นทันที
“คุณหนูตู๋กูเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของตระกูลหลินของข้า เจ้ากล้าดีอย่างใดมาใส่ร้ายนางลอยๆ เช่นนี้! ช่างไร้แก่นสารนัก หลังจากนี้ห้ามให้ข้าได้ยินเรื่องนี้อีก! มิฉะนั้น…”
หลู่อวี้เออร์กัดริมฝีปากแน่น จนมีกลิ่นคาวเลือดลอยออกมาจากร่องริมฝีปากและไรฟัน
ตู๋กูเยว่ผู้นี้ช่างเหลี่ยมจัดยิ่งนัก!
เพราะช่วยรักษาหลินจือเฟย นางจึงได้รับความไว้ใจและการปกป้องจากหลินเทียนเฟิง!
แต่ถ้าปล่อยนางไปง่ายๆ ตอนนี้ แล้วเกิดคิดอยากจะแก้แค้นทีหลัง คงไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่ๆ!
แต่ตอนนี้นางไม่มีสิทธิ์จะขัดไม่ให้อีกฝ่ายไป…
“ตู๋กูเยว่! ข้าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ! สักวันหนึ่งความจริงจักถูกเปิดเผย! และเมื่อถึงตอนนั้น เราค่อยมาสะสางกันอีกที!”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่พลางยิ้มเยาะ
“ด้วยความยินดี”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางผ่อนคลายราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องของนาง หลู่อวี้เออร์ก็แทบจะกรีดร้องด้วยความโกรธ
ทว่ายามนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ลำแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนค่ายกล พลันห่อหุ้มกลุ่มคนที่อยู่ในนั้นทันที!
“คารวะท่านประมุข!”
ทุกคนโค้งคำนับและส่งพวกเขาออกไปด้วยความเคารพ จากนั้นร่างของพวกเขาก็หายวับไปในพริบตา!
หลู่อวี้เออร์ได้แต่มองไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ว่างเปล่าตรงหน้า พลางกัดฟันกรอด
ตู๋กูเยว่!
อย่าคิดเชียวว่าเจ้าจะรอดไปได้ง่ายๆ!
…
หลินเทียนเฟิงและคณะเดินทางเข้าไปในอุโมงค์มิติแล้ว
โดยรวมแล้วอาจเป็นเพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้เป็นค่ายกลระดับสูง และสร้างขึ้นจากยอดฝีมือชั้นแนวหน้า ดังนั้นมันจึงมีความเสถียรสูงมาก
หลังจากเข้ามาแล้ว ผู้อาวุโสหลินโม่ก็หยิบตะเกียงออกมา
แสงสว่างของมันช่วยทำให้พื้นที่แห่งนี้สว่างขึ้น
“คุณหนูตู๋กู เมื่อครู่นี้… เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวคนหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ และทำลายความเงียบนี้ลง
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ต่างก็พากันหันมามองนางเป็นตาเดียว
ฉู่หลิวเยว่ยังมีสีหน้าปกติดังเดิม ก่อนจะยิ้มแหยๆ ออกมาหนึ่งที
“ข้าเองก็ไม่ทราบ”
“ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่ข้ามาถึงหน้าผาแดนสวรรค์และได้พบกับคุณชายหลู่ผู้นั้น ตอนนั้นพวกเราทะเลาะกันและมีปากเสียงกันเล็กน้อย แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ฮูหยินหลินถึงหุนหันพลันแล่นเช่นนั้น”
แม่นางทั้งสามมองหน้ากัน พวกนางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณเข้าใจ
มีใครในผาแดนสวรรค์ที่ไม่รู้บ้างว่าหลู่อี้นั้นอันธพาลแค่ไหน?
ตู๋กูเยว่มาจากนอกพรมแดน แถมยังพาเด็กมาด้วยและไร้ซึ่งคนพึ่งพิง
คนแบบนี้จะไปสร้างปัญหาได้อย่างใด?
แน่นอนว่าต้องเป็นหลู่อี้ที่ไปหาเรื่องคนอื่นก่อนอยู่แล้ว และตอนนี้ก็คงคิดจะมาเอาคืนตามประสาขี้แพ้ชวนตี
“คุณหนูตู๋กูไม่ต้องกังวลนะ ปัจจุบันสุขภาพของคุณชายสี่ดีขึ้นมากก็เพราะเจ้า ฉะนั้นทุกคนในตระกูลหลินย่อมเกรงใจเจ้า! ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องไปสนใจ!”
“ใช่แล้ว! คุณหนูตู๋กูเก่งกาจถึงเพียงนี้ จักเสวนากับคนแบบนั้นไปไย?”
“หลู่อี้ผู้นั้นเคยรังแกผู้อื่นไว้มาก ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็มีคนจัดการเขา!”
แม่นางเหล่านั้นต่างพากันให้กำลังใจนาง
หลายคนต่างมองฉู่หลิวเยว่สลับกับมองตู๋กูโมเป่าไปมา ก่อนจะแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมาตามๆ กัน
คิดว่าชีวิตแม่ม้ายลูกติดมันง่ายนักหรือไง!?
“ขอบคุณพวกท่านมาก แต่ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้า คือการเดินทางในครานี้ต่างหาก”
แม่นางหลายคนมองนางด้วยสายตาซับซ้อน พลันพยักหน้าเข้าใจ
อันที่จริงพวกนางเคยได้ยินมาว่า ความจริงแล้วสาวต่างแดนอย่างตู๋กูเยว่นั้น พาบุตรชายมาตามหาสามีที่หายไปของนาง
มีข่าวลือว่าสามีของนางมาจากที่นั่น และบังเอิญไปพบรักกับตู๋กูเยว่ที่ต่างแดน จากนั้นก็มีบุตรร่วมกันหนึ่งคน
แต่น่าเสียดายที่ต่อมา เขากลับจากมาแล้วไม่กลับไปอีก แล้วทิ้งสองแม่ลูกให้ตกระกำลำบากกันสองคน!
“บุรุษทั่วโลกล้วนยึดหลักการเดียวกันหมด ครั้นได้แทะโลมจับต้องจนชินมือแล้วก็เขี่ยทิ้งไม่ใยดี!”
“คุณหนูตู๋กู ถ้าครั้งนี้เจ้าไปที่นั่นแล้วพบชายคนนั้นล่ะก็ เจ้าต้องห้ามขี้ขลาด! แล้วสอนบทเรียนให้เขารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด!”
“ถูกต้อง! เจ้าวางใจได้ ถึงเวลานั้นพวกเราจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ!”
“ถึงคุณหนูตู๋กูจะเป็นคนนอกพรมแดน แต่เจ้ามีพรสวรรค์และพละกำลังที่โดดเด่น การที่ชายผู้นั้นทำเช่นนี้กับเจ้า แสดงว่าเขาต้องตาบอดแน่ๆ! คางคกสามขานั้นหายาก แต่บุรุษสองขานั้นมีอยู่ทั่วไปมิใช่หรือ? หากว่าศักยภาพของคุณหนูตู๋กูแล้ว จะไปทนทุกข์กับชีวิตแต่งงานเช่นนั้นเหตุใด?”
แม่นางเหล่านั้นพูดด้วยความโกรธ
ฉู่หลิวเยว่กำหมัดพลางยกขึ้นมาป้องปาก แล้วกระแอมไอ
“เอ่อ…จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น…”
แต่ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะทันได้พูดจบ แม่นางเหล่านั้นก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ
“คุณหนูตู๋กู นี่เจ้ายังมีเยื้อใยให้ผู้ชายเลวๆ พรรค์นั้นอีกหรือ?”
“เจ้าจะคิดแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“ใช่แล้ว! เจ้าอย่าทนกับผู้ชายแบบนี้เลย!”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
คิดไม่ออกเลยว่า หากพวกนางรู้ว่าคนที่กำลังด่าทออยู่นั้น เป็นโอรสสวรรค์ที่พวกนางต่างหมายมั่นอยากพบหน้าสักคราหนึ่งในชีวิตล่ะก็ พวกนางจะแสดงสีหน้าอย่างใดออกมากันนะ?
และถ้าโอรสสวรรค์ผู้นั้นมาได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ จะทำหน้าตาอย่างใด?
“ใกล้ถึงแล้ว”
ทันใดนั้น หลินเทียนเฟิงก็โพล่งขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปข้างหน้า
มีจุดแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นที่ปลายอุโมงค์!
“อีกนิดก็ถึง พระราชวังเมฆาสวรรค์แล้ว!”
—————————-