ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1056 ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
ตอนที่ 1056 ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
พระราชวังเมฆาสวรรค์!
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยย้ำคำนี้ในใจซ้ำๆ
แท้จริงแล้ว…ต้นตระกูลของหรงซิวมีชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้เองหรือ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลายคนที่อยู่รอบด้านก็พลันเงียบเสียงลงทันที
ถึงภายในอุโมงค์จะมืดสลัวขนาดไหน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ฉู่หลิวเยว่จะสังเกตเห็นบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้
แม้แต่หลินเทียนเฟิงเองก็ดูจริงจังขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าทุกคนประหม่ามาก
และไม่นานก็มีคลื่นความผันผวนพุ่งมาจากข้างหน้า!
ฉู่หลิวเยว่เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
เมื่อคลื่นแสงพุ่งเข้ามา ท้องฟ้าด้านนอกก็พลันสว่างขึ้นทันตา!
…
ครั้นปลายเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพสุธา จิตใจของฉู่หลิวเยว่ถึงได้ผ่อนคลายและสงบขึ้นมาบ้าง
แสงจ้าจากดวงอาทิตย์ทำให้นางต้องปรับสายตา แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ
ทิวทัศน์เบื้องหน้าคือท้องทะเลสีคราม
เกลียวคลื่นเหล่านั้นสะท้อนแสงทินกรเป็นประกายแวววับและแผ่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา
และไกลออกไป จะเห็นหมู่เกาะที่มีขนาดต่างกันลอยอยู่ในอากาศเงียบๆ พร้อมกับกลุ่มเมฆาสีขาวที่รายล้อมหมู่เกาะเหล่านี้ไว้ราวกับอยู่ในแดนสวรรค์
ท้องนภาสีฟ้าวาดรัศมีออกไปไกลจรดมหาชลาลัยเบื้องล่าง
จนยากที่จะบอกได้ว่าเส้นขอบฟ้าสีคราม ณ จุดบรรจบของทะเลและเวหานั้น เกิดจากสีฟ้าของท้องฟ้าหรือท้องทะเลกันแน่
ในชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยลมปราณอันหวานหอมจางๆ ชวนให้สดชื่นและสบายตัว
ฉู่หลิวเยว่แอบตกใจกับตัวเอง
พลังปราณแห่งโลกและสวรรค์ที่สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่เกิดมานางเพิ่งเคยเห็นอันใดแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย!
ทว่าขณะเดียวกัน ก็มีเสียงอันองค์อาจดั่งแว่วผ่านใบหู
“ผาแดนสวรรค์หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียง
ที่ด้านข้างค่ายกลเคลื่อนย้าย มีนายทหารในชุดเกราะสีดำหลายคนยืนอยู่
และดูเหมือนว่าเจ้าของเสียงนั้นจะมียศสูงสุดในกลุ่มนี้ ลมปราณของเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างอย่างมาก
แถมบริเวณหน้าอกด้านซ้ายของชุดเกราะ ก็มีรูปภาพบางอย่างสลักไว้ด้วย
มันคงจะเป็นรูปสลักพระราชวังเมฆาสวรรค์ของพวกเขาสินะ
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองมันด้วยความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ
หลินเทียนเฟิงประสานหมัดแล้วโค้งตัวนิดๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าหลินเทียนเฟิงแห่งผาแดนสวรรค์ ได้นำคนของเผ่ามาร่วมงานฉลองพระชนมพรรษาของพระโอรส!”
นายทหารชั้นสูงประสานหมัดระดับอก และตอบกลับอย่างสุภาพ
“คารวะท่านประมุขหลิน”
จากนั้นนายทหารอีกหลายคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
ฉู่หลิวเยว่เฝ้ามองภาพนั้นจากด้านหลัง ด้วยความขบขันหน่อยๆ
ถึงคนเหล่านี้จะกล่าวกับหลินเทียนเฟิงอย่างสุภาพ แต่ท่าทีของพวกเขากลับมิได้โอนอ่อนให้ผู้มาใหม่เลยสักนิด
และกลับเป็นหลินเทียนเฟิงเสียเองที่ต้องยำเกรงพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากทัศนคติของเขาที่มีต่อทหารเฝ้าประตูทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
พระราชวังเมฆาสวรรค์หรือ…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
สาเหตุที่ทหารเหล่านี้ถือยศถือศักดิ์นัก ก็เพราะพวกเขาเป็นคนของพระราชวังเมฆาสวรรค์
เมื่อชนเผ่านั้นแข็งแกร่งและขึ้นสู่จุดสูงสุด พวกเขาก็จะได้รับความเคารพนับถือจากคนที่ด้อยกว่า
มันคือกรรมสิทธิ์ของผู้ที่แข็งแกร่ง!
“ประมุขหลิน ไฉนพวกเจ้าถึงมาช้านัก? งานฉลองของพระโอรสจักเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว! ถ้าช้ากว่านี้นิดเดียว พวกเจ้าจะเข้าไปที่เกาะหลักไม่ได้แล้ว!”
หลินเทียนเฟิงรีบกล่าวทันที
“ต้องขออภัยจริงๆ พวกข้าประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของเราเกิดขัดข้อง จึงทำให้การเดินทางของเราล่าช้า”
นายทหารคนนั้นส่ายหัว
“ช่างมัน อย่างน้อยก็ยังทันเวลาอยู่ ฉะนั้นพวกเจ้า…หือ? เด็กนี่มาได้อย่างใดกัน?”
เขาหันควับไปมองหลินเทียนเฟิง พลันขมวดคิ้วฉับ
“ประมุขหลิน ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้มีลูกวัยเตาะแตะเช่นนี้?”
หลินเทียนเฟิงโบกมือปฏิเสธอย่างไว
“ไม่ใช่ๆ! เด็กคนนี้ไม่ใช้คนตระกูลหลิน แต่เป็นบุตรของสาวม่ายท่านนี้ต่างหาก! นางเป็นเซียนหมอที่คอยดูแลบุตรชายของข้า ดังนั้นนางจึงต้องพาบุตรติดสอยห้อยตามมาด้วย”
ใครๆ ต่างก็รู้เรื่องความรักความห่วงใจของหลินเทียนเฟิงที่มีต่อบุตรชายคนเล็กอย่างหลินจือเฟย
และได้ยินว่า เขาต้องการยกตำแหน่งประมุขแห่งตระกูลหลินคนต่อไปให้กับหลินจือเฟยด้วย
แต่น่าเสียดายที่หลินจือเฟยนั้นร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ประหนึ่งโถยา[1]มีชีวิต
ดังนั้นหลายๆ คนจึงคิดว่าการสืบทอดตำแหน่งที่ว่านั่นคงเป็นไปได้ยาก
ทว่าหลินเทียนเฟิงก็ยังยึดมั่นในทัศนคติของตนไม่เปลี่ยนแปลง แล้วตั้งใจพาหลินจือเฟยและเซียนหมอสัญจรผู้นี้มาด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของเขา
แต่ว่า…แค่เซียนหมอสัญจรคนเดียวก็พอแล้ว ยังจะพาเด็กคนนี้มาด้วยเหตุใดกัน?
“ประมุขหลิน แม้ว่าเด็กคนนี้จะได้สิทธิ์เดินทางโดยมิได้ขัดกับกฎของเขา แต่การที่เจ้าทำเช่นนี้มันไม่เหมาะสม! นี่เป็นงานฉลองวันพระชนมพรรษาของพระราชโอรส และยังเป็นพิธีคัดเลือกพระชายาด้วย แต่เจ้า…”
หลินเทียนเฟิงกระแอมไอ พลางลดระดับเสียงให้เบาลง
“เรื่องนั้น…ท่านอาจจะไม่ทราบ แต่คุณหนูตู๋กูผู้นี้ไร้ญาติสนิทมิตรสหาย และการเลี้ยงดูบุตรเพียงลำพังนั้นแสนจะลำบาก ข้าจึงมิอาจสั่งให้นางทิ้งลูกไว้ที่นั่นได้…ข้าขอสัญญาว่า ข้าจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้สร้างปัญหาเด็ดขาด! เช่นนั้นแล้ว…ท่านจักช่วยผ่อนปรนให้เราสักนิดได้หรือไม่?”
เมื่อเห็นหลินเทียนเฟิงตั้งท่าร้องขอความเมตตาถึงเพียงนี้ นายทหารผู้นั้นก็ถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้น…ก็ขอให้ประมุขหลินรักษาคำพูดแล้วคุมคนของเจ้าให้ดี เจ้าเองก็รู้ว่าที่นี่คือพระราชวังเมฆาสวรรค์”
นายทหารคนนั้นปรับเน้นเสียงให้จริงจังและเข้มงวดขึ้นขณะเอ่ยประโยคสุดท้าย
หลินเทียนเฟิงรีบขอบคุณเขาอย่างไว
นายทหารโบกมือเป็นสัญญาณ
“คนจากเผ่าอื่นมาถึงแล้ว พวกเจ้ารีบไปเสีย!”
แม้หน้าผาแดนสวรรค์จะถูกมองว่าเป็นเพียงชนเผ่าระดับล่าง แต่พวกเขาก็ต้องยึดมั่นในหน้าที่และให้เกียรติอีกฝ่าย
หลังจากพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ พลันมีเครื่องราชโองการที่ทำจากหยกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือ ปรากฏขึ้นบนอากาศ
บนแผ่นหยกนั่นมีรูปพระราชวังเมฆาสวรรค์สลักอยู่ และตรงขอบก็ถูกแกะสลักเป็นลายเมฆ
เหนือแผ่นหยกมีแสงระยิบระยับส่องออกมา
ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ตระกูลหลินแห่งผาแดนสวรรค์มาถึงแล้ว! โปรดส่งทางเชื่อมมาด้วย!”
พอพูดจบก็มีเสียงหึ่งดังออกมาจากด้านบนของแผ่นหยก
พลันมีแสงสีเงินพุ่งออกมา แล้วหักเหปลายแสงไปยังทิศทางหนึ่ง!
ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ต่างมองตามไปยังทิศทางนั้น
ก่อนจะเห็นไกลๆ ว่าทิศนั้นมีเกาะขนาดใหญ่ลอยอยู่อย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเกาะหลักที่เป็นศูนย์กลางของที่นี่ และยังเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดด้วย
ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือพลังปราณของมัน ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้!
ที่นั่น… น่าจะเป็นเกาะหลักที่พวกเขาพูดถึงใช่หรือไม่?
ขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของฉู่หลิวเยว่ จู่ๆ ก็มีแสงพุ่งออกมาจากเกาะหลัก!
เมื่อเทียบกับลำแสงบนแผ่นหยกแล้ว เห็นได้ชัดว่าแสงนั่นงดงามตระการตากว่าหลายเท่า!
หลังจากนั้นไม่นาน ลำแสงทั้งสองก็พุ่งมาบรรจบกันกลางอากาศ แล้วก่อตัวเป็นสะพานเชื่อม!
“เรียนเชิญทุกท่าน!”
หลินเทียนเฟิงกระโดดขึ้นไปบนอากาศเป็นคนแรก และร่อนลงบนสะพาน
จากนั้นคนที่เหลือก็ทำตาม
โชคดีที่เหล่าผู้อาวุโสนั้นผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มาแล้วมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ผิดกับสามสาวเหล่านั้นที่ถึงจะพยายามสงบสติอารมณ์แค่ไหนก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นของพวกนาง ที่ฉายชัดออกมาผ่านดวงตาและเรียวคิ้วเหล่านั้นได้
นั่นเพราะมันเป็นครั้งแรกที่พวกนางมาที่นี่
แต่ก่อนพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นดั่งสถานที่ที่พวกนางมิอาจเอื้อมถึง
ทว่าปัจจุบัน พวกนางได้โอกาสมาเยือนที่นี่แล้ว…
ราวกับฝันไปเลย!
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นไปพร้อมกับตู๋กูโม่เป่า
“ไปกันเถอะ!”
หลินเทียนเฟิงเอ่ยนำและออกตัวเดินนำไปข้างหน้า!
…
ขณะเดียวกัน หรงซิวก็กำลังอ่านตำราอยู่ในห้องทรงงาน
แต่จู่ๆ การเคลื่อนไหวของเขาก็จำต้องหยุดชะงัก ก่อนจะมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางนั่น
“ในที่สุดก็มาถึงแล้วสินะ”
สิ้นสุรเสียง ร่างสูงโปร่งก็พลันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยนชิงก็รีบตามไปติดๆ
“องค์ชาย นี่ท่าน… จะออกไปดูด้วยตัวเองตอนนี้เลยหรือ? มิเช่นนั้นก็ให้ข้า…”
ยามนี้มีคนอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด หากองค์ชายคิดทำเช่นนั้นจริงๆ คงถูกจับได้เป็นแน่
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ชายาของข้า ข้าก็ต้องไปรับนางด้วยตัวเองสิ”
[1] โถยา หรือ药罐子 (สมัยก่อน คนจีนนิยมรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพร การต้มยาสมุนไพรจะใช้โถที่ปั้นด้วยดินค่อยๆ เคี่ยวยาจนได้ที่ คนร่างกายอ่อนแอเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอจึงไม่ค่อยห่างไกลจากโถต้มยา อันเป็นที่มาของคำว่า 药罐子 เพื่อใช้อุปมาถึง’คนขี้โรค’)
—————————-