ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1057 กฎเกณฑ์ ตอนที่ 1058 เลือก
ตอนที่ 1057 กฎเกณฑ์ / ตอนที่ 1058 เลือก
ตอนที่ 1057 กฎเกณฑ์
เยี่ยนชิงได้แต่สบถในใจ
คำพูดเปรียบได้ดั่งทอง วาจาเปรียบได้ดั่งหยก ทั้งๆ ที่ทรงตรัสแล้วว่าเลือกคนผู้นั้นเป็นพระชายา แต่ก็ยังมิวายมีรับสั่งให้เนรมิตตำหนักแล้วจัดงานคัดเลือกสนมเอกขึ้นมา เสมือนประโคมข่าวให้ดูเป็นเรื่องจริง
ถ้าคนผู้นั้นมาเห็นภาพนี้ ไม่รู้เลยว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างใด!
แต่เนื่องจากองค์ชายมีพระประสงค์จะทำเช่นนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเขาจึงทำได้เพียงน้อมรับ และเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดีเท่านั้น
แค่ช่วงสั้นๆ เยี่ยนชิงก็นึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นออกแล้ว
เอ่อ…
บางทีเขาน่าจะคิดเผื่อด้วยว่า ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เขาจะทำอย่างใดเพื่อไม่ให้ติดร่างแหไปกับองค์ชายดี…
แต่ในขณะที่สองนายบ่าวกำลังจะเดินออกไป และยังไม่ทันจะได้ลงมือตามแผน อวี๋มั่วกลับวิ่งพรวดเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน
“องค์ชายขอรับ”
เมื่อเห็นหรงซิว อวี๋มั่วพลันรีบถวายบังคมอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายขอรับ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียงมาถึงแล้วขอรับ ยามนี้นางกำลังรออยู่นอกตำหนัก และกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
ไม่จำเป็นต้องเกริ่นนำหรือเอ่ยนาม
เพียงแค่ได้ยินว่า “คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจียง” ก็รู้แล้วว่าหมายถึงใคร
หรงซิวก้าวเท้าเดินต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ให้นางรอไปก่อน”
อวี๋มั่วถึงกับตกตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงน พลันชำเลืองมองหรงซิวไวๆ
ถ้าองค์ชายปฏิเสธสตรีอื่นคงมิเป็นไร แต่คนผู้นี้…
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีแสงวาบขึ้นในหัวของอวี๋มั่ว ก่อนที่เขาจะนึกอันใดขึ้นมาได้
หรือว่าจะเป็น…
เขาหันขวับไปมองเยี่ยนชิงทันที
เยี่ยนชิงเองก็พยักหน้ากลับมาเงียบๆ
อวี๋โม่เข้าใจทันที
มิน่าล่ะ!
ที่แท้ก็เพราะว่าท่านผู้นั้นมาถึงแล้วนี่เอง!
อวี๋มั่วพลันกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปอย่างไว
ในเมื่อท่านผู้นั้นอยู่ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าคนอื่นย่อมไม่สำคัญเท่า!
ทว่าหลังจากที่หรงซิวเดินออกไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงอันไพเราะนุ่มนวลของสาวเจ้านางหนึ่งดังขึ้นมา
“องค์ชายจะเสด็จไปที่ใดหรือ? แล้วไยจักดูรีบร้อนนัก แม้แต่นัดของข้าก็ยังถูกปฏิเสธ?”
หรงซิวชะงักสีเท้าแล้วเบนสายตาไปมองอีกทาง
ก่อนจะเห็นแม่นางในชุดคลุมตัวยาวสีขาว ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าผ่าเผย
นางเป็นคนรูปร่างสูงโปร่ง บนเรือนกายนั้นไร้ซึ่งเพชรนิลจินดา และมีเพียงเข็มขัดไพลินเส้นเล็กที่พันรอบเอวบางไว้ ช่วยขับให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางได้ชัดเจน
ใบหน้าเรียวเนียนสวยอมชมพูประหนึ่งลูกท้อนั้นช่างสมบูรณ์แบบเกินพรรณนา
และสิ่งที่ทำให้คนมองใจสั่นได้ก็คือ นันย์ตาหวานที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนรื่นน้ำคู่นั้น
เรือนผมนุ่มสลวยถูกยกขึ้นมวยไว้หลวมๆ ดุจก้อนเมฆนุ่มฟู ที่ปักยึดด้วยปิ่นระย้าไพลินอันสวยงาม
เส้นสายที่ห้อยลงมาจากปิ่นปักผมส่ายไปมาเบาๆ เสมือนหยอกเย้ากับใจคน
หรงซิวหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“เจียงจื่อหยวน เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
เขาพูดพลางเบนสายตาไปมองอวี๋มั่ว
อวี๋มั่วตกใจและรีบพูดว่า
“องค์ชายขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้ขอให้คุณหนูใหญ่เจียงรออยู่ข้างนอกแล้ว มิได้เชิญนางเข้ามาแต่อย่างใด ข้าน้อยเองก็มิทราบว่าเหตุใดนางถึงอยู่ที่นี่”
ทหารอารักขาที่ยืนอยู่รอบข้างพลันตกตะลึง ก่อนจะตระหนักได้ว่าพวกเขาทำพลาดไป แล้วรีบคุกเข่าลงทันที
“องค์ชายขอรับ ข้าน้อย…”
“ตำหนักแห่งนี้มีกฎว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า คนนอกจักไม่มีสิทธิ์เข้าออกตำหนักตามอำเภอใจเด็ดขาด แต่ดูท่าแล้วพวกเจ้าคงจะจำไม่ได้สินะ”
“องค์ชายขอรับ! โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด!”
“ปลดออกจากตำแหน่ง แล้วจับไปโบยร้อยที”
หรงซิวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พามันไปโบยที่หน้าตำหนักเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เหล่านายทหารก็พลันหน้าซีดเผือดแล้วทรุดตัวล้มลงกับพื้น
มันจบแล้ว…
รอยยิ้มหวานบนใบหน้าของเจียงจื่นหยวนแข็งทื่อ
“องค์ชาย นี่ท่านกำลังทำอันใดอยู่? พวกเขาแค่เห็นว่าข้ามาเยือน ถึงได้ปล่อยข้าเข้ามา เมื่อก่อนข้าก็เคยเข้าออกที่นี่อย่างอิสระ ไม่เห็นว่าท่านจะ…”
“นั่นมันเมื่อก่อน”
แววตาของหรงซิวหม่นแสงลงอย่างน่ากลัว พลางหันไปมองนางตาเขม็ง
“หากท่านประมุขพำนักอยู่ที่นี่ เจ้าสามารถทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง แต่ปัจจุบันที่นี่คือวังของข้า ฉะนั้นคำสั่งของข้าถือเป็นประกาสิทธิ์”
ตอนที่ 1058 เลือก
ใบหน้าของเจียงจื่อหยวนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นัยน์ตาคู่สวยเอ่อนองด้วยหยาดน้ำตา และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหน่วงๆ ที่ปลายจมูก
นางกัดปากแน่นพยายามสงบสติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังมีเสียงสะอื้นไห้ดังออกมาอย่างชัดเจน
“… แท้จริงแล้วท่านจงเกลียดจงชังข้ามากเลยสินะ…”
ความจริงแล้วครั้งนี้นางมีความสุขมากที่ได้มาที่นี่ และสิ่งเดียวที่ใจของนางเฝ้ารอก็คือการได้พบหน้าเขาอีกครั้ง
หลายปีมานี้นางไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่สักเท่าไร และกับหรงซิวก็นับว่าสองปีแล้วที่นางมิได้พบเขา
นางเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้พบเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่ในฝันนั้นไม่มีภาพใดน่าอับอายเท่าภาพที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้านางอย่างตอนนี้อีกแล้ว
ใบหน้าของนางร้อนฉ่าและเจ็บแสบราวกับถูกไฟเผา
ผู้คนรอบตัวจ้องมองนางด้วยสายตาทิ่มแทงดุจเข็มแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจ จนนางอยากจะหายตัวไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด!
และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะหักหน้านางได้ขนาดนี้!
เมื่อเทียบกับเจียงจื่อหยวนที่กำลังตื่นตระหนกและเสียใจแล้ว หรงซิวกลับไม่เห็นใจนางเลยสักนิด
เมื่อก่อนท่านประมุขสูงสุดนั้นยินยอมและตามใจนางทุกอย่าง จนเขาคร้านที่จะแย้ง
ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว
เจียงจื่อหยวนมิได้มีสถานะต่ำต้อยแต่อย่างใด เพียงแต่ที่นี่คือพระราชวังเมฆาสวรรค์ และนางไม่มีสิทธิ์มาอวดดี
“อวี๋มั่ว เจ้าอยู่ที่นี่ แล้วคอยดูการลงโทษของพวกเขาให้จบเสีย”
“ขอรับ!”
อวี๋มั่วปาดเหงื่อออกจากหน้าผากอย่างยากเย็น และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเจียงจื่อหยวน ด้วยความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นมาในอก
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ ใช่สตรีที่เคยอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์เมื่อในอดีตแน่หรือ?
กล้าบุกเข้ามาในตำหนักเช่นนี้ ช่างโอหังเกินไปแล้ว!
แถมยังไม่สำเหนียกว่าตัวเองเป็นคนนอกอีก!
เมื่อหรงซิวพูดจบ ขายาวพลันก้าวเท้าไปข้างหน้า และกำลังจะออกไปให้พ้นจากตำหนัก
แต่พอเห็นว่าเขากำลังจะจากไป เจียงจื่อหยวนก็ตะโกนเสียงดังลั่นอีกครั้ง
“ช้าก่อน! ฝ่าบาท ท่านมิอยากเจอข้าเลยหรือ? พวกเราไม่ได้พบกันตั้งหลายปี…”
เดิมทีหรงซิวอยากจะพยักหน้าตอบกลับไปให้จบๆ แต่เพื่อเห็นแก่ตระกูลเจียง สุดท้ายเขาก็ยังเมตตาอีกฝ่าย
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ”
เจียงจื่อหยวนชะงักไปเล็กน้อย
“ในเวลาแบบนี้ ยังมีเรื่องใดสำคัญจนท่านต้องไปจัดการด้วยตัวเองอีก?”
อีกไม่นานงานฉลองก็จะเริ่มขึ้นแล้ว นี่เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
แววตาของหรงซิวพลันเย็นวาบ ราวกับถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ
“นี่คุณหนูใหญ่เจียงกำลังเค้นความข้าหรือ?”
หัวใจของเจียงจื่อหยวนแทบหยุดเต้น
“ไม่ ข้าเปล่าทำ…ข้าแค่ถามเฉยๆ ถ้าท่านไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร…”
แต่เมื่อเห็นว่าหรงซิวมิได้รู้สึกรู้สากับคำพูดของนาง และกำลังจะก้าวเท้าออกไป นางพลันกัดฟันกรอดและก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยว่า
“ฝ่าบาท ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน!”
หรงซิวนั้นคร้านจะต่อความกับนาง ร่างสูงหมุนตัวเดินต่อไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสำนักวิชา!”
เจียงจื่อหยวนตะโกนลั่น
หรงซิวชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองนาง ดวงตาที่ลึกล้ำนั้นจ้องมองนางตาเขม็ง ราวสามารถมองอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ว่ามา”
…
กลุ่มของฉู่หลิวเยว่เดินไปตามสะพานเชื่อมสีเงิน และหลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ พวกเขาก็มาถึงเกาะหลัก
ครั้นเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดบนเกาะหลักได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
บนเกาะอันกว้างใหญ่นี้ มีทั้งภูเขาและเนินเขาสลับซับซ้อนเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน
และบนภูเขาเหล่านี้ก็มีพระราชวังน้อยใหญ่กระจายอยู่หลายแห่ง
ซึ่งบนยอดเขาที่สูงที่สุดในใจกลางเกาะนั้น มีพระราชวังหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ส่วนพื้นที่ที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ อยู่ในตอนนี้ คือส่วนล่างและขอบของเกาะหลัก
ฉะนั้นหากใครต้องการชื่นชมพระราชวังเหล่านั้น ก็จำต้องมองลงมาจากฟากฟ้าสถานเดียว
เพราะถ้ามองจากส่วนล่างเกาะแล้ว จักมองแทบไม่เห็นอันใดเลย
ประกอบกับเมฆหมอกสีขาวที่รายล้อมอยู่ ส่งผลให้คนมองนั้นเห็นเพียงเค้าโครงของเกาะรางๆ เท่านั้น
แต่ถึงจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงบีบบังคับอันเก่าแก่และไร้ขีดจำกัดนั่นอยู่ดี!
มันคือพละกำลังและลมปราณ ที่แทบกระชากวิญญาณของคนผู้หนึ่งให้ยอมจำนนเลยก็ว่าได้!
“ประมุขหลิน”
นายทหารผู้ทำหน้าที่ต้อนรับพวกเขาก้าวไปข้างหน้า
เมื่อพิจารณาจากเครื่องแต่งกายและลมปราณของเขาแล้ว เหมือนว่าระดับของเขาจะสูงกว่านายทหารที่ส่งพวกเขามาเมื่อครู่ก่อนเสียอีก
“ข้ามีนามว่า หูหยาง และจากนี้ข้าจะนำทางท่านไปยังที่พักของอาคันตุกะ”
“เช่นนั้นก็ต้องขอขอบคุณใต้เท้าหูแล้ว”
หลินเทียนเฟิงกล่าวพลางหัวเราะ
“ประมุขหลินมิต้องเกรงใจ”
หูหยางกล่าวพลางเก็บแผ่นหยกสีขาวไว้ดังเดิม
“ทุกท่านโปรดตามข้ามา”
…
“ประมุขหลิน พวกท่านเดินทางมาถึงเป็นคณะสุดท้าย ยามนี้เผ่าอื่นๆ กำลังพักผ่อนอยู่ในตำหนักของตัวเอง และรอเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระโอรสที่จะเริ่มขึ้นในตอนเย็น”
หูหยางกล่าวขณะเดินนำกลุ่มคนไปด้านหน้า
“หากช้ากว่านี้ แม่นางทั้งสามคงไปไม่ทันการเป็นแน่”
หลินเทียนเฟิงกล่าวพลางหัวเราะนิดๆ
“ข้ามาช้าเพราะประสบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ โปรดอย่าได้ถือโทษกันเลย”
“เรื่องนั้นประมุขหลินมิต้องกังวล ฝ่าบาทรงมิใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก”
หูหยางส่ายศีรษะเบาๆ
หลังจากนั้นหลินเทียนเฟิงและหูหยางก็แลกเปลี่ยนบทสนทนากันอยู่พักหนึ่ง และไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
มันคือเนินเขาเล็กๆ ที่มีพระราชวังตั้งอยู่บนนั้น
แต่ถึงจะพูดว่าพระราชวัง แต่ทว่าเมื่อเทียบกับพระราชวังที่อยู่บนเขาสูงลูกอื่นแล้ว กลับแตกต่างกันลิบลับ
“นี่คือตำหนักเฟิ่งเหอ และจะเป็นตำหนักที่พวกท่านใช้พำนักขณะอยู่ที่นี่”
หูหยางพาพวกเขาเดินเข้าไป
พลันมีเสียงหวีดแหลมประหนึ่งนกหวีดดังมาจากด้านข้าง
ปรากฏว่ามีแม่นางสองสามนางกำลังพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นอยู่ตรงมุมหนึ่งของตำหนัก
“พระราชวังเมฆาสวรรค์นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ! ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่แพงหูฉี่! ข้าได้ยินว่าชาถ้วยนั้นที่ดื่มไปเมื่อครู่มีราคาหนึ่งถึงสองแสนผนึกศิลาขาวเชียวนะ!”
“จริงหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง…ข้าก็ขออยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยแล้วกัน!”
“จะอยู่ที่นี่ไปไย? วังใหญ่ๆ ด้านบนสิน่าอยู่กว่าเยอะ! เจ้าเห็นวังที่อยู่สูงสุดนั่นหรือไม่? มีข่าวลือว่านั่นคือตำหนักที่พระโอรสใช้บรรทมด้วย!”
“เอ่อ แต่นั่นมิใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้ง่ายๆ เลยนะ…”
“ไม่ง่ายหรือ? ยามนี้ฝ่าบาทกำลังจะเข้าพิธีเลือกพระชายา ขอเพียงถูกฝ่าบาทเลือก…”
“เงียบ! เบาเสียงหน่อย! พวกเจ้าไม่กลัวใครมาได้ยินเข้าเลยหรือไร! ถึงครั้งนี้แต่ละเผ่าจักส่งสตรีผู้โดดเด่นมามากมาย แต่ใครจักไม่รู้บ้างว่าผู้ที่ได้ตำแหน่งพระชายานั้น ถูกคนในวังเลือกไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าหมายถึง… คนผู้นั้นจากเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงหรือ?”
“นอกจากนางแล้วจะเป็นใครได้อีกเล่า? เขาลือกันว่าความงามของนางนั้นตรึงตราตรึงใจนัก แถมยังเกิดมาพร้อมชีพจรเทียนจิงที่หายากเสมือนพระโอรสอีก!”
“แค่นั้นยังไม่พอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียง คือเผ่าที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆ! ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขคนเก่าของพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ยังสนิทชิดเชื้อกับเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงอีก และยังรักใคร่เอ็นดูคุณหนูใหญ่เจียงคนนั้นมาก เห็นว่าตอนที่นางยังเด็ก นางใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์! ทว่าไม่กี่ปีก่อน สืบเนื่องมาจากการสละตำแหน่งของท่านประมุข นางจึงต้องหันไปเคร่งครัดกับการบำเพ็ญเพียร ทำให้นางไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่”
“ประวัติยาวเหยียดเพียงนี้ พวกเจ้ายังคิดว่าตำแหน่งพระชายา จักตกเป็นของตระกูลอื่นอีกหรือ?”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทจึงยังจัดพิธีเลือกพระชายาอยู่อีกเล่า? แค่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่เจียงผู้นั้น ก็น่าจะพอแล้วมิใช่หรือ?”
“เรื่องนั้นใครมันจะไปตรัสรู้ได้? ว่าแต่พวกเราเถอะ ไหนไหนก็มาเป็นตัวเลือกแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าไม่ถูกเลือกให้เป็นชายา ก็ยังมีตำแหน่งนางสนมอยู่นะ? หรือถ้าแย่สุดๆ ก็ยังเป็นนางบำเรอได้! ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอันใด แต่ขอแค่ถูกเลือก ก็สุขสบายไปทั้งชีวิตแล้ว!”
“ข้าได้ยินมาว่าโอรสสวรรค์นั้นงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเทพยดาที่ถูกเนรเทศลงมาจุติ แต่ข้าเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างใด…”
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางของตนไปมา
อืม
พระชายา
สนมเอก
นางบำเรอ?
เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างมีความสุขเสียเหลือเกินนะ?