ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1059 เจ้าไม่เหมาะ
ตอนที่ 1059 เจ้าไม่เหมาะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เผลอยิ้มเยาะออกมาอย่างอดไม่ได้
เดิมทีคนอื่นๆ กำลังแอบฟังสิ่งที่แม่นางเหล่านั้นโพนทะนาออกมาอย่างเงียบเชียบ แต่เสียงหัวเราะของฉู่หลิวเยว่ กลับทำลายความเงียบนั้นเสียก่อน
พวกของหลินเทียนเฟิงหันมามองนางด้วยความสงสัย
และการเคลื่อนไหวนี้ก็ดึงดูดความสนใจของแม่นางเหล่านั้นที่อยู่ไม่ไกล และกำลังสนทนากันอย่างออกอรรถรสได้ทันที
พวกนางปิดปากฉับอย่างว่องไว แล้วหันกลับมามองด้วยความกระวนกระวายใจ
ซึ่งในกรณีนี้ ถ้าพวกนางแอบไปพูดกันลับๆ คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดมีใครได้ยินเข้าคง…
และพอเห็นหูหยางที่ยืนอยู่ด้านหน้า ใบหน้าสวยของแม่นางเหล่านั้นก็พลันซีดเผือดลงทันตา แต่ทว่าลึกๆ แล้วก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เนื่องจากหูหยางผู้นี้มิใช่ผู้รับผิดชอบดูแลพวกนางโดยตรงเสียหน่อย
แม่นางเหล่านั้นสงบสติลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วค่อยเดินมารวมกลุ่ม
“คารวะใต้เท้าหู”
พวกนางทำความเคารพคนตรงหน้าพร้อมกัน
ท่าทีของแต่ละคนล้วนอ่อนช้อยสวยงามน่ามอง
ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผย เห็นได้ชัดว่าพวกนางถูกอบรมเรื่องกิริยามารยาทมาอย่างดี จนทำให้ผู้ที่มองอยู่ตรวจหาข้อผิดพลาดใดใดมิได้เลย
หูหยางพยักหน้าแล้วชี้ไปยังหลินเทียนเฟิงที่อยู่ข้างๆ เขา
“ท่านนี้คือประมุขหลินเทียนเฟิงแห่งผาแดนสวรรค์”
“ผาแดนสวรรค์?”
เหล่าสาวน้อยแสร้งเข้าใจในทันที จากนั้นก็ระบายยิ้มและกล่าวด้วยความเคารพ
“คารวะท่านประมุขหลินเจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสได้พบท่านเสียที ช่างสมกับคำล่ำลือจริงๆ เลยเจ้าค่ะ”
คำพูดเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยการประจบสอพลอ
แต่หากพวกนางสามารถปกปิดร่องรอยการเหยียดหยาม ที่ปรากฏตรงหว่างคิ้วเรียวสวยนั่นได้ คงจะดีกว่านี้
หลินเทียนเฟิงยังคงสงบนิ่ง มิได้เก็บคำพูดของพวกนางมาใส่ใจ สีหน้าของเขานั้นว่างเปล่าและเฉยชาราวไม่รู้สึกรู้สาอันใด
“แม่นางทำข้าเกรงใจยิ่ง หากครั้งนี้คนของข้าถูกเลือก เจอกันคราวหน้า ข้าจักเป็นฝ่ายคารวะทุกท่านเองแล้วกัน”
สีหน้าของแม่นางที่อยู่ตรงข้ามเขาเปลี่ยนไปทันที
นี่เขากำลังเหน็บแนมพวกนางอย่างนั้นหรือ!?
แต่พอนึกถึงสถานะของอีกฝ่าย และผู้คนที่อยู่รอบๆ หูหยางแล้ว สุดท้ายพวกนางก็มิอาจเผยภาพลักษณ์อันน่าเกลียดออกมาได้ และทำได้เพียงกลั้นหายใจแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างไม่เต็มใจ
“กระไรกันเจ้าคะ…ข้าก็พูดตามน้ำไปเช่นนี้ จะไปกล้าหวังสูงเช่นนั้นได้เยี่ยงไร?”
จู่ๆ หลินจือเฟยก็กระแอมไอขึ้นมา
ครั้นได้ยินเสียงไอโขลก หลินเทียนเฟิงก็หันกลับมองทันที แล้วถามอย่างเป็นห่วง
“เจ้าไม่สบายหรือ จือเฟย?”
หูหยางโพล่งขึ้นทันควัน
“เชิญคุณชายสี่หลินทางด้านนี้”
เขากล่าวพลางนำอีกฝ่ายเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะตามไป แต่กลับถูกแม่นางเหล่านั้นหยุดไว้ก่อน
“ท่านผู้หญิงโปรดรออยู่ตรงนี้”
ฉู่หลิวเยว่พลันชะงักฝีเท้าแล้วมองย้อนกลับไป
“พวกท่านมีธุระอันใดหรือ?”
สาวงามผู้สวมใสชุดคลุมลายดอกบัวที่อยู่ตรงหน้านางแย้มยิ้มเล็กน้อย ทว่าสายตากลับมิได้ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้า…หัวเราะอันใดหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“ไม่มีอันใดหรอก แค่นึกถึงอันใดบางอย่างแล้วขำเฉยๆ เหตุใดหรือ คิดว่าข้าหัวเราะพวกท่านหรือไร?”
แม่นางที่อยู่ตรงข้ายิ้มเยาะ แล้วก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เพื่อหวังเข้าไปใกล้ฉู่หลิวเยว่
ทำให้สามสาวที่เดิมทีกำลังจะเข้าไปในห้องพร้อมพวกหลินเทียนเฟิง หันมาเห็นภาพนี้พอดี พลันรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าแล้วยืนอยู่ข้างๆ ฉู่หลิวเยว่
“พวกเจ้าคิดจะทำอันใด!?”
“พวกข้ามิได้ทำอันใดเสียหน่อย เพียงแต่ เหมือนว่าเมื่อครู่สาวน้อยคนนี้จักล้อเลียนพวกข้า ฉะนั้นพวกข้าจึงอยากถามให้กระจ่างเฉยๆ”
แม่นางในชุดกระโปรงลายดอกบัวสีสวยจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาถากถาง
ฉู่หลิวเยว่ส่งสายตามั่นใจให้กับคนรอบข้าง และพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า
“ข้ามิได้ล้อเลียนพวกท่าน แต่กลับคิดว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายพูดมานั้นสมเหตุสมผลมาก ไม่ว่าจักอยู่ในฐานะใด ตราบใดที่ถูกเลือก ย่อมโชคดีไปตลอดชีวิตเป็นแน่ นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของหรง… พระโอรสเองก็…”
เป็นดั่งปีศาจผู้สูงศักดิ์ไร้มลทินและสง่างามจริงๆ นั่นแหละ
นางถึงกับชะงัก
“พระโอรสอันใด?”
แม่นางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถามอย่างกระวนกระวาย
“พระโอรสเองก็เป็นดั่งชายในฝันอันหอมหวานของแม่นางหลายๆ คน เช่นกัน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มและพูดเน้นทีละคำ
“เหอะ เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องให้คนอย่างเจ้ามาพุดด้วยหรือ? แต่ว่านะ สภาพอย่างเจ้าน่ะ ไม่มีทางได้โอกาสนั้นหรอก”
แม่นางในชุดลายดอกบัวกวาดตามองฉู่หลิวเยว่ขึ้นๆ ลงๆ พร้อมสีหน้าเหยียดหยามที่ปิดไม่มิด
“นี่! พวกเจ้าช่วยให้เกียรติกันหน่อยได้หรือไม่! คุณหนูตู๋กูเป็นถึงเซียนหมอระดับแปด และเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของผาแดนสวรรค์ของเราเชียวนะ!”
สามสาวข้างกายฉู่หลิวเยว่โต้กลับอย่างทนไม่ไหว
จากนั้นแม่นางฝั่งตรงข้ามถึงได้เอะใจว่า สตรีหน้าตาบ้านๆ ตรงหน้านาง ดูท่าแล้วจะมิใช่ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาในครานี้แต่อย่างใด
ไหนจะเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างนางอีก…
ทว่าในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเถียงกันต่อ ฉู่หลิวเยว่พลันกล่าวว่า
“ช่างเถอะ พวกเรากลับกันดีกว่า”
นางไม่คิดจะโต้เถียงกับคนที่นี่ให้เสียเวลา
ยิ่งนางเอ่ยปากพูด ในสายตาของอีกฝ่าย นางก็จะยิ่งดูเหมือนคนอ่อนแอไร้ทางสู้
หลังจากที่พวกนางหันหลังและจากไป แม่นางเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมเบาเสียงลง แถมยังหัวเราะเยาะเย้ยกันไม่หยุด
“ก็รู้ตัวเองดีหนิ! สภาพแบบนี้ เกรงว่าออกไปก็ไม่มีชายใดเหลียวแลหรอก!”
“ต่อให้สวยแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์! พวกผาแดนสวรรค์หรือ…เหอะ!”
“ตอนแรกข้านึกว่าพวกเขาจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขายังหน้าด้านมาที่นี่อีก? น่าเสียดายจริงๆ ถ้ามาเร็วกว่านี้แล้วเปลี่ยนไปพักที่อื่น พวกเราคงไม่ต้องมาอยู่ร่วมกับคนพวกนี้หรอกจริงหรือไม่?”
“พอแล้ว ข้าไม่มีอันใดจะพูดกับคนประเภทนี้แล้ว พวกเรากลับไปเตรียมตัวกันเถอะ! งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มแล้ว!”
…
“คนจากหุบเขาหานซานเหล่านั้นทำเกินไปแล้ว!”
สุดท้ายหนึ่งในสามสาวก็โพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้
“ความจริงพวกนางก็ไม่ได้ดีไปกว่าเราเลยนะ แต่เหตุใดถึงหยิ่งยโสเพียงนี้!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“ถ้าพวกนางอยากเอะอะโวยวาย ก็ปล่อยพวกนางทำไป ส่วนพวกเราก็มาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีจะดีกว่า”
“คุณหนูตู๋กู โดนกล่าวหาขนาดนั้นแล้วเจ้ามิโกรธเลยหรือ?”
แม่นางอีกคนถามอย่างสงสัย
“พวกนาง พวกนางถึงขั้นว่าเจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่บีบนวดใบหน้าของตัวเอง และพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“อันที่จริง สิ่งที่พวกนางพูดมาก็ไม่ผิดนะ ใบหน้าแบบนี้ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาหรอก”
แม่นางทั้งสามแอบมองหน้ากันเงียบๆ
ดูเหมือนว่าตู๋กูเยว่จักมิได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปในห้อง แล้วตรวจวัดชีพจรของหลินจือเฟย ก่อนจะส่งยาเม็ดหนึ่งให้เขา
“ยาเม็ดนี้เป็นเม็ดสุดท้ายแล้ว หลังจากนี้ถ้าว่างข้าจะกลั่นให้อีก และอีกประมาณหนึ่งเดือน ร่างกายส่วนใหญ่ของท่านน่าจะฟื้นตัวดีแล้ว เพียงแต่ร่างกายของคุณชายสี่ป่วยเรื้อรังมาหลายปี ทำให้ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี ท่านถึงจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่”
หลินจือเฟยพยักหน้ารับ
“ขอบคุณเจ้ามาก”
“ท่านประมุขหลิน ก่อนหน้านี้คนจากหุบเขาหานซานได้ยึดห้องโถงใหญ่ไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องขอให้พวกเจ้า…อาศัยอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างนี้ชั่วคราว”
หูหยางถอนหายใจ พลางเอ่ย
หลินเทียนเฟิงลังเลว่าจะแย้งดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมอยู่เฉยๆ และทำเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่าย
ทว่าขณะเดียวกันก็มีเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างนอก
ฉู่หลิวเยว่จำได้ขึ้นใจ พลันหันไปมอง
พร้อมกับร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงประตู
เขาคือเยี่ยนชิง!
หูหยางตกตะลึง และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วถามด้วยความเคารพ
“ใต้เท้าเยี่ยนชิง เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?”
เยี่ยนชิงพุ่งตัวเข้าไปอย่างเร่งรีบ แล้วใช้สายตากวาดมองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว และพอเห็นฉู่หลิวเยว่ เขาก็พลัน “ตกใจ” ไปพักหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้เขา ริมฝีปากสีแดงสดของนางเผยอออกเล็กน้อย
“ใต้เท้า… เยี่ยนชิง?”