ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1063 ตำหนักศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 1063 ตำหนักศักดิ์สิทธิ์
ก๊อกๆ
มีเสียงของหูหยางดังมาจากด้านนอกประตู
“คุณหนูตู๋กู เราควรเริ่มออกเดินทางกันได้แล้ว”
“ข้ามาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ขานตอบและหันไปทางตู๋กูโม่เป่า
“พี่เป่า พวกเราไปกันเถอะ”
ตู๋กูโม่เป่านั่งหันหลังให้นาง ไม่ตอบสนองกับคำพูดเหล่านั้น ไอเย็นแผ่ออกมาจากแผ่นหลังเล็กๆ นั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ แล้วเดินเข้าไป
เมื่อมองจากด้านข้าง ตู๋กูโม่เป่านั้นกำลังกอดอกและหลับตาอยู่ เผยให้เห็นขนตาดกหนางอนงาม แม้นว่าใบหน้าอันเรียวเล็กนั้นจะดูเย็นชา แต่ผิวขาวนุ่มนั้นยังคงแวววาวกระจ่างใส ราวกับตุ๊กตาหิมะผู้น่ารัก
หลังจากที่พวกเขากลับมา ตู๋กูโม่เป่ายังคงอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานถึงสองชั่วยามโดยมิไหวติง
ฉู่หลิวเยว่แอบชื่นชมในความมุ่งมั่นของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็แอบตำหนิว่าชายชราผู้นี้ช่างยากจะเกลี้ยกล่อมเสียจริง
แต่เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ กลับยากที่นางจะโกรธเขาได้ลงคอ
หัวใจของฉู่หลิวเยว่คล้อยตามแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าสัญญาว่า เมื่อไปที่นั่นแล้วข้าจะชี้แจงทุกอย่างเลยดีหรือไม่? เจ้าไม่อยากอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนหรืออย่างใด? หืม?”
ในที่สุดตู๋กูโม่เป่าก็ลืมตาขึ้น
ดวงตาสีม่วงอันน่าหลงใหลนั้นใสสะอาดราวหยกเนื้อดี
“จริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่ยักคิ้วเบาๆ
“ข้าคงมิอาจทนดูคู่หมั้นของตัวข้าเอง ต้องเป็นสามีของคนอื่นได้?”
“แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นไร?”
ตู๋กูโม่เป่าหรี่ตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
ด้วยรูปลักษณ์ที่แสนธรรมดาไม่โดดเด่นอันใดของนางในตอนนี้ เกรงว่าพอเข้าไปแล้วก็คงทำอันใดไม่ได้อยู่ดี
ฉู่หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ลูบผมของเขาอย่างนุ่มนวล มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ข้ามีแผนในใจแล้ว!”
…
เมื่อฉู่หลิวเยว่เดินออกมา หลินเทียนเฟิงและคนอื่นๆ ต่างรออยู่ที่ลานกันแล้ว
แม่นางทั้งสามล้วนแต่งกายด้วยความประณีต เมื่อมองแล้วช่างดูสง่างามกว่าแต่ก่อนยิ่งนัก
“คุณหนูตู๋กู เหตุใดเจ้ายังไม่เปลี่ยนชุดอีก?”
สาวน้อยนางหนึ่งถามด้วยความสงสัย
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“แล้วเหตุใดข้าจะต้องเปลี่ยนชุดด้วย?”
“แต่นี่…คืองานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระโอรส…”
แม่นางผู้นั้นเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
แม้ว่าตู๋กูเยว่จะไม่ได้เข้าร่วมพิธีคัดเลือกพระชายาภายในโถงตำหนัก แต่สำหรับโอกาสเช่นนี้ นางก็ควรจะแต่งกายให้สง่างามมิใช่หรือ?
แต่เมื่อเห็นว่านางดูมิไม่ได้ใส่ใจมากนัก พวกเขาจึงไม่พูดอันใดอีก
“หึ! รูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ เช่นนาง ต่อให้เปลี่ยนเป็นชุดฮั่นฝูแล้วจะสู้ได้หรือ?”
จู่ๆ ก็มีเสียงเสียดสีเหน็บแนมดังขึ้นมา
พวกของฉู่หลิวเยว่เหลือบตามองไปที่เสียงนั้น
เมื่อมองเข้าไปภายในโถงตำหนัก ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางด้านนี้
ซึ่งนำโดยชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่กำยำ ข้างๆ เขาเป็นทหารสวมชุดเกราะสีดำที่มีรอยสัญลักษณ์ของพระราชวังเมฆาสวรรค์อยู่บนอกด้านซ้าย เขาแต่งกายแบบเดียวกับหูหยาง และเห็นได้ชัดว่ามีตำแหน่งเหมือนกัน
และที่ด้านหลังผู้อาวุโสทั้งสอง ก็มีแม่นางเหล่านั้นเดินตามมาติดๆ
มิแปลกที่คนเหล่านี้จักยึดติดในการประทินโฉมมาก
เพราะตั้งแต่เส้นผมจนถึงเล็บมือของพวกนาง ไม่มีส่วนไหนที่ดูไม่ดีเลยแม้แต่น้อย
ประโยคเมื่อครู่นี้ เป็นคำพูดของแม่นางที่เคยปะทะฝีปากกับฉู่หลิวเยว่ในคราแรก
นางจับปอยผมที่ร่วงลงมาข้างแก้มขึ้นไปทัดหลังหู แล้วพึมพำเบาๆ
“สำหรับบางคนแล้ว คงจะดีกว่าถ้าจะรู้จักประเมินตนเสียบ้าง”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
นางไม่เคยกล่าวว่าตนต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาเลย แต่อีกฝ่ายกลับกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังคงจดจำเสียงหัวเราะของนางเมื่อคราก่อนได้เป็นอย่างดี และคงมองว่าคนจากผาแดนสวรรค์นั้นต่ำต้อยน่ากลั่นแกล้ง ทำให้อีกฝ่ายกล้าเหิมเกริมใส่กันเช่นนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าหน้าตาดีหรือไม่ เพียงแค่นิสัยอิจฉาริษยานี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเอือมระอาแล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันได้ตอบโต้ หูหยางก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้า และจ้องไปที่แม่นางผู้นั้นแล้วกล่าวว่า
“คุณหนูหานจื่อจู โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย!”
หานจื่อจูมองไปที่หูหยางด้วยความประหลาดใจ
เกิดอันใดขึ้น? หูหยางผู้นี้ กล้าดีอย่างใดถึงพูดกับนางต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้?
เมื่อก่อนเขาอ่อนน้อมถ่อมตนกว่านี้นัก!
ประมุขแห่งหุบเขาหานซานอย่างหานเฉวียนพลันขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“ฮ่าฮ่า! ใต้เท้าหูหยางอย่าได้ตำหนินางเลย ลูกสาวข้ามักจะคิดอันใดก็พูดไปอย่างนั้น หากสิ่งใดได้ล่วงเกินท่านไป หวังว่าท่านจะให้อภัยนาง!”
หูหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะพูดจาไม่คิดหรือจงใจใส่ร้ายนั้น ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ประมุขแห่งหุบเขา ที่แห่งนี้คือพระราชวังเมฆาสวรรค์มิใช่หุบเขาหานซาน หากลูกสาวของท่านยังระงับอารมณ์ไม่ได้ เช่นนั้น…ก็เกรงว่านางอาจมิเป็นที่พอพระทัยแก่พระโอรส”
“นี่เจ้า…”
เมื่อหานจื่อจูได้ยินเช่นนั้น ใบหน้านางก็ซีดลงด้วยความโกรธ
“เจ้ากล้าแช่งข้างั้นหรือ!?”
หูหยางสบถเบาๆ
“ท่านอย่าได้คิดมาก ข้าเพียงแค่เตือนท่านเท่านั้นเอง จะฟังหรือไม่ฟังนั้นล้วนแล้วแต่ท่านจะตัดสินใจ”
ในขณะนี้ แม้แต่สีหน้าของหานเฉวียนก็ไม่สู้ดีนัก
เดิมทีมันเป็นแค่เพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้นเอง แต่ใครจะรู้ว่าหูหยางนั้นไม่แยกแยะได้! และด่ากราดพวกเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้!
“หูหยาง ทุกคนที่มาล้วนเป็นอาคันตุกะ นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?”
นายทหารที่ยืนอยู่ข้างหานเฉวียนขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งเบาๆ
“ยังไม่รีบไปขอโทษประมุขหานและคุณหนูหานอีก!”
ทว่าหูหยางกลับทำเพียงเย้ยหยันเบาๆ แล้วไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ พลันหันไปมองคณะของหลินเทียนเฟิง
“ท่านประมุขหลิน คุณหนูตู๋กู โปรดเชิญทางนี้…”
จากนั้น คนทั้งกลุ่มก็ได้เดินจากไป โดยเหลือเพียงกลุ่มคนจากหุบเขาหานซานที่ยังยืนไม่สบอารมณ์อยู่ที่เดิม
…
“เขา…เหตุใดเขาถึงอวดดีได้ถึงเพียงนี้!”
หานเฉวียนโพล่งถามด้วยความโกรธอย่าเหลืออด
“ใต้เท้าเฉินถิง เขาเคยพบท่านมาก่อน แต่ในตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้!”
เฉินถิงขมวดคิ้วแน่น
แม้ว่าเขาและหูหยางจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่เพราะสายสัมพันธ์กับเบื้องบน ดังนั้นตำแหน่งของเขาจึงเหนือกว่าหูหยางเล็กน้อย
เมื่อพบกันในวันธรรมดา หูหยางมักจะสุภาพอ่อนน้อมเสมอ
ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้นเขาถึงได้อาจหาญเช่นนี้!?
“หึ หรือเขาคิดว่าผู้คนที่มาจากผาแดนสวรรค์เหล่านั้น จะมีโอกาสได้รับเลือกจากพระโอรสอย่างนั้นหรือ!?”
หานจื่อจูหัวเราะด้วยความโกรธ
เมื่อเฉินถิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า
“จะเป็นไปได้อย่างใดกัน? ผาแดนสวรรค์เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาเผ่าทั้งหมด แค่มองพวกนางพระโอรสยังไม่แม้แต่จะมองเลย นับประสาอันใดกับเรื่องอื่น?”
“ช่างเถอะ! ในเมื่อตอนนี้เขาอวดดีเช่นนี้ ก็ปล่อยเขาไปก่อน! หลังจากนี้…ย่อมมีโอกาสเอาคืนแน่นอน!”
หานเฉวียนเอ่ยเสียงต่ำ
“พวกเรารีบไปกันเถอะ งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของพระโอรสนั้นจะไปช้ามิได้เด็ดขาด!”
…
งานเลี้ยงได้จัดขึ้นบนยอดเขาซู่หมิง…ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะหลัก
“ยอดเขาซู่หมิงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ที่สุดในพระราชวังเมฆาสวรรค์ บนยอดเขามีการป้องกันอย่างแน่นหนาและการเข้าออกที่เข้มงวด นอกจากท่านประมุข พระโอรสของพระองค์และเหล่าบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายนั้น หากใครที่ต้องการขึ้นไปบนยอดเขาซู่หมิง พวกเขาจะต้องได้รับการอนุญาตเสียก่อน”
หูหยางอธิบายในขณะที่นำผู้คนขึ้นไปบนนั้น
“บนยอดเขาซู่หมิงมีทั้งหมดสองตำหนักใหญ่ ทุกท่านเห็นตำหนักกลางภูเขาหรือไม่ นั่นคือตำหนักศักดิ์สิทธิ์และยังเป็นสถานที่จัดงานฉลองในวันนี้อีกด้วย ตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพื้นที่ขนาดใหญ่ และกว้างขวางเป็นอย่างมากอีกทั้งยังมีการออกแบบที่ซับซ้อน หลังจากที่เข้าสู่บริเวณภายใน ทุกท่านจะต้องติดตามข้าอย่างใกล้ชิดและอย่าเดินไปมาตามอำเภอใจเด็ดขาด”
ขณะพูด สายตาของทุกคนก็มองตามไปด้วย และแน่นอนว่าพวกเขาเห็นตำหนักอันงดงามตระการตาตั้งตระหง่านอยู่กึ่งกลางภูเขานั้นจริงๆ
ขณะนี้ พวกเขามองเห็นภาพลานกว้างหน้าตำหนักที่เลือนราง มีผู้คนเดินไปมากันอย่างคึกคัก
“บนสุดนั้นมันคืออันใดกัน?”
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็มองไปยังด้านบนพระตำหนักและถามด้วยความสงสัย
เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้า ก็พลันมีแสงสว่างเจิดจ้าปกคลุมเหนือพระตำหนักสีดำ ดังแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจเอื้อมถึงได้!
—————————-