ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1064 ต่างได้พบเจอ
ตอนที่ 1064 ต่างได้พบเจอ
อยู่ๆ สีหน้าท่าทางของหูหยางก็จริงจังและเคร่งขรึมขึ้นมา
“นั่นคือตำหนักสักการะเทพ พระโอรสเองก็พำนักอยู่ที่นั่น เมื่อเทียบกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว สถานที่แห่งนั้นแน่นหนาแล้วก็สูงส่งกว่ามาก มิใช่เรื่องง่ายที่จะย่างกรายเข้าไป! นอกจากพระโอรสและคนสนิทของพระองค์ ก็ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้!”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย
ถ้าเช่นนั้น…นี่ก็คงเป็นที่ที่หรงซิวอาศัยอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสินะ…
“อันที่จริง เดิมทีนั่นเป็นตำแหน่งของท่านประมุข เพียงแต่ตอนนี้ท่านประมุขเก็บตัวไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด พระโอรสจึงเป็นผู้ถืออำนาจในการจัดการเรื่องต่างๆ ในตระกูลทั้งหมด ดังนั้น…”
หูหยางไม่ได้เอ่ยต่อ แต่ทุกคนก็เข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอันใด
พระโอรสองค์ปัจจุบันเป็นผู้ดำรงสูงสุดในพระราชวังเมฆาสวรรค์!
ทุกคนต่างพากันมองไปยังพระราชวังสีทมิฬด้วยสีหน้าจริงจัง
ถึงแม้จะมีระยะทางที่ยาวไกลขั้นอยู่ แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่เล็ดลอดออกมาจากที่นั่น!
ทันใดนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“เช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าในวันธรรมดาพระโอรสจะทรงยุ่งมาก?”
หัวใจของหูหยางพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารีบมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเขา ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก และมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“คุณหนูตู๋กู ตอนนี้เราใกล้จะถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว นับแต่นี้โปรดอย่าเอ่ยสิ่งใดให้มากความเลย จะได้ไม่มีปัญหา”
เมื่อเห็นใบหน้าประหม่าของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จากนั้น กลุ่มคนก็เริ่มเดินทางต่อไปยังเบื้องหน้า
…
หลังจากเพลาผ่านไปสักระยะ ในที่สุดหูหยางก็หยุดเดิน
ขณะนี้ พวกเขาอยู่บนยอดเขาหนึ่งถัดจากยอดเขาซู่หมิง ซึ่งเป็นจุดที่เกือบจะอยู่ในระนาบเดียวกันกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์
หูหยางนำแผ่นหยกขาวออกมา ก่อนจะถ่ายพลังปราณดั้งเดิมเข้าไป
บนแผ่นหยกทอแสงประกายระยิบระยับ!
“ประมุขหลินแห่งผาแดนสวรรค์มาถึงแล้ว!”
ไม่นานก็มีลำแสงสีเงินลอยมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์กลางภูเขาที่อยู่ห่างออกไป!
และเพียงชั่วพริบตา มันก็ตกลงมาราวกับทางช้างเผือก! สุกใสส่องประกายงดงาม!
ภายใต้ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสีสันเป็นมืดมิด มันยิ่งดูงดงามเป็นพิเศษ!
ขณะนั้นเอง ลำแสงแบบเดียวกันก็ลอยออกมาจากแผ่นหยกขาวที่อยู่เบื้องหน้าหูหยาง และเชื่อมต่อกับมัน!
เมื่อเปรียบเทียบกับลำแสงที่ลอยมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว แน่นอนว่าแสงของหูหยางดูเบาบางกว่า
เห็นได้ชัดว่าผู้รับผิดชอบและป้องกันของทางนั้น แข็งแกร่งกว่าหูหยางมาก!
หูหยางชิงกระโดดขึ้นไปก่อนจะเก็บแผ่นหยกขาวกลับมา
“เรียนเชิญทุกท่าน”
…
นอกเหนือจากกลุ่มคนของพวกเขาเหล่านี้แล้ว บริเวณรอบๆ ยอดเขาซู่หมิงก็ยังมีลำแสงที่ส่องสว่างงดงามคล้ายๆ กันอีกจำนวนหนึ่ง และกลายเป็นสะพานทอดยาว
คนเหล่านั้นเป็นคนจากตระกูลอื่นที่เดินทางมาก่อนเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงด้วย
ยิ่งเข้าไปใกล้ ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่มาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน!
นางจดจ้องมองไปเบื้องหน้า
ด้านหน้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ปูด้วยหินหยกสีขาวทั้งหมด
ส่วนด้านข้างของจัตุรัส บริเวณใกล้กับหน้าผามีระฆังสีดำขนาดใหญ่ใบหนึ่งลอยอยู่อย่างสงบ
ดูเหมือนว่าเสียงระฆังเมื่อครู่จะดังมาจากที่นี่
พื้นที่รอบจัตุรัสมีองครักษ์ในชุดเกราะสีดำยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ
แม้จะมีผู้คนเข้าออกจำนวนไม่น้อย แต่กลับดูเป็นระเบียบยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าผู้คนจะมีภูมิหลังพื้นเพครอบครัวอย่างใด ครั้นมาถึงที่นี่แล้ว พวกเขาล้วนกลายเป็นคนซื่อสัตย์ ปฏิบัติตนตามกฎระเบียบขึ้นมาทันที
อีกอย่าง เมื่อมองทอดไป ก็จะเห็นได้ว่าผู้คนทั้งหมดนั่นล้วนแต่งกายด้วยชุดผ้าแพรหรูหรา ดูขึงขังยิ่งนัก
ในที่สุดกลุ่มคนก็เดินทางมาถึงจุดหมาย
“ยินดีต้อนรับท่านประมุขหลิน!”
ทันทีที่เท้าของทุกคนเหยียบลงบนพื้น ก็มีคนเข้ามาต้อนรับพวกเขาในทันที
ผู้ที่เข้ามาต้อนรับดูอายุราวๆ ไม่เกินสามสิบ เขาสวมชุดเกราะสีดำ มีใบหน้าผอมบาง ดวงตาสดใส ลักษณะดูเป็นผู้มากประสบการณ์ความสามารถ
ถึงแม้เสื้อผ้าบนร่างกายที่เขาสวมใส่จะเหมือนกับของหูหยาง แต่ลมปราณที่อยู่รอบตัวเขากลับแข็งแกร่งกว่ามาก
แม้แต่เฉินถิงที่พบเมื่อครู่ก่อนก็ยังเทียบไม่ได้
มิแปลกใจที่คนที่นี่จักถือยศถือศักดิ์นัก
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ อีกฝ่ายก็มองมาที่นาง
“นี่น่าจะเป็นคุณหนูตู๋กูใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจในทันที
ดูจากลักษณะแล้ว คงจะเป็นคนที่เยี่ยนชิงสั่งการไว้แล้ว
นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
พลันมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายผู้นั้น
“ท่านมาก็ดีแล้ว ทางเราได้จัดเตรียมที่นั่งไว้ให้ทุกท่านแล้ว เชิญด้านใน”
ขณะกล่าว เขาก็หมุนตัวและเดินนำทางไป
หลินเทียนเฟิงอดไม่ได้ที่จะมองฉู่หลิวเยว่
แต่สีหน้าของฉู่หลิวเยว่กลับดูเป็นปกติดี นางเพียงแค่เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเข้าไป
…
โถงใหญ่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์นั้นดูโอ่อ่าวิจิตรงดงามตระการตา
ภายในห้องโถงใหญ่มีบัลลังก์ที่ถูกแกะสลักด้วยหินหยกสีดำตัวใหญ่ดูสง่างาม
ด้านล่างมีโต๊ะหยกสีขาวจำนวนมากถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ พวกมันถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งนับจากตรงกลาง และแบ่งให้ทุกคนนั่งทั้งสองข้าง
ดูเหมือนแต่ละตระกูลจะจัดตำแหน่งไว้ล่วงหน้าแล้ว ด้านข้างโต๊ะต่างก็มีชื่อของทุกตระกูลเขียนกำกับไว้
และด้านหลังแต่ละโต๊ะ ก็ยังเหลืออีกหลายที่ที่สงวนไว้สำหรับคนจากตระกูลต่างๆ ที่มาก่อนโดยพร้อมเพรียงกัน
ขณะนี้ ที่นั่งส่วนใหญ่ภายในห้องโถงเต็มทุกที่
ผู้คนต่างทักทายแลกเปลี่ยนบทสนทนากัน ไม่ก็พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว บรรยากาศดูครึกครื้นไม่น้อย แต่ก็ล้วนมีร่องรอยของความยับยั้ง ไม่ส่งเสียงดังออกมามากนัก
หลายๆ ครั้งที่ผู้คนจำนวนมากลอบมองออกไปนอกห้องโถงบ่อยๆ
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ากำลังรอคอยคนสำคัญที่สุดของค่ำคืนนี้อยู่
ส่วนการมาถึงของหลินเทียนเฟิงนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายอันใดมากนัก
หลายคนเพียงแค่เหลือบมองมาทางนี้บ้าง และก็ต้องเก็บจิตสำนึกกลับไป
ผาแดนสวรรค์หรือ?
ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลสักหน่อย
ด้วยประการฉะนี้ ฉู่หลิวเยว่และผู้ร่วมทางที่เดินตามองครักษ์มา จึงถึงโต๊ะของพวกเขาเงียบๆ
“ท่านประมุขหลิน นี่คือตำแหน่งของผาแดนสวรรค์ เชิญทุกท่านนั่งลง!”
หลินเทียนเฟิงหยุดนิ่ง และมองเขาด้วยแววตาสงสัย
“ตรงนี้น่ะหรือ?”
เข้าใจอันใดผิดกันหรืออย่างใด นี่มันแถวแรกเชียวนะ!
ในโอกาสเช่นนี้ ผู้ที่จะนั่งแถวแรกได้ล้วนแต่เป็นตระกูลชั้นนำ!
ส่วนผาแดนสวรรค์นั้น ปกติแล้วมักจะอยู่แถวสุดท้ายซึ่งเป็นมุมที่ไม่ได้โดดเด่นนัก
ทว่าบัดนี้ ตำแหน่งที่อยู่มันจะเป็นที่จับตาเกินไปเสียแล้ว! ?
ต่อให้เห็นแก่ฐานะของใต้เท้าเยี่ยนชิง การกระทำเช่นนี้ก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไร!
แม้แต่หูหยางเองก็ตกใจ รีบเอ่ยถามทันควัน
“ท่านแน่ใจหรือว่าตรงนี้?”
“แน่ใจขอรับ”
ชายผู้นั้นยิ้ม
“ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป เรื่องเช่นนี้เราไม่มีวันทำพลาด”
หลินเทียนเฟิงมองมาที่ฉู่หลิวเยว่โดยไม่รู้ตัว
ตำ…ตำแหน่งนี้คงต้องขอบคุณในความโชคดีของนาง…
“ในเมื่อจัดแจงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็นั่งลงกันเถอะ”
ขณะฉู่หลิวเยว่กล่าว นางก็เดินมานั่งด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หลินเทียนเฟิงได้แต่พยักหน้าและพาคนที่เหลือมานั่งด้วยความไม่สบายใจ
ทันทีที่พวกเขาสองสามคนนั่งลง ภายในห้องโถงก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างมองมาด้วยสายตาที่แตกต่างกัน
เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนมองออกแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลินเทียนเฟิงกระแอมไอเบาๆ พลางมองไปยังฉู่หลิวเยว่อย่างต้องการมองหาความเห็น พลันกดเสียงเบาๆ แล้วเอ่ยถาม
“…คุณหนูตู๋กู สรุปแล้วเจ้ากับใต้เท้าเยี่ยนชิง…”
“พระโอรสเสด็จ!”
ทันใดนั้นเองเสียงประกาศอันกึกก้องก็ดังขึ้น!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระรัว นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องหน้า
ก่อนจะเห็นชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นนอกห้องโถง!
อีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดผ้าแพรสีดำ รูปร่างสูงโปร่งปราดเปรียว
แสงไฟในโถงใหญ่สะท้อนบนใบหน้าเขา ส่องให้เห็นความงดงามอันน่าทึ่งที่สุดของมนุษย์
แต่ยังไม่ทันที่จะยืนให้มั่น เขาก็สอดส่องสายตามองผู้คนในห้องโถงราวกับว่ากำลังมองหาบางสิ่ง
และราวกับมีกระแสจิตอย่างใดอย่างนั้น เขามองตรงไปยังทิศทางของฉู่หลิวเยว่
ในดวงตาเฉี่ยวคมอันลึกล้ำดุจเหยี่ยวและบริสุทธิ์คู่นั้น ราวกับมีระลอกคลื่นลูกใหญ่วาบผ่านเพียงชั่วพริบตา หางตาและปลายคิ้วคลายตัวลงดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่หลอมละลายก้อนหิมะ โอบอุ้มไปด้วยความคิดถึงและรอยยิ้ม
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ราวกับถูกบางสิ่งกระแทกเบาๆ
ริมฝีปากของนางขยับเล็กน้อย เหมือนอยากจะตะโกนเรียกเขาเสียเดี๋ยวนั้น
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงของแม่นางคนหนี่งดังขึ้น
“ฝ่าบาท เหตุใดท่านจึงเดินเร็วนัก ข้าตามไม่ทันแล้วนะ”